เป็ด = generalist
เก่งทางเดียว = specialist

ต่อให้ตอนแรกคุณจะเป็น specialist แค่ไหน สุดท้ายในฐานะ director งานมันก็คือ general management หรือไอ้ที่เราเรียกว่าเป็ดนั่นแหล่ะครับ

เอาแค่งานผมทุกวันนี้ก็ได้ ผมทำสาย IT ก็จริง แต่ไอ้ความ specialist ที่เคยมีมา ทุกวันนี้ได้ใช้ไม่ถึง 20% ที่เหลือคือการ manage budget, manage resource (คน) และ stakeholder management ที่จริงๆแล้วไม่เคยมีสอนตอนเรียน หรือกระทั่งตอนเริ่มทำงานหรอกครับ ฉะนั้นไอ้ความ specialist จริงๆ สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ครับ มันใช้สกิลอื่นๆที่เป็น soft skill อีกมากมายเลยครับ

ผมเชื่อในความเป็นเป็ดครับ 555

ถ้าคุณต้องการทำธุรกิจคุณต้องเป็นทั้ง 2 อย่างครับ คือเป็นเป็ดกับทักษะหลักที่ต้องมีให้พอใช้และเป็นผู้เชี่ยวชาญในตัวธุรกิจที่ทำ

ทักษะที่คุณควรมีและฝึกให้พอใช้ได้แต่ไม่ต้องเก่งที่สุดมี

1. บริหารคน รู้ว่าคนไหนควรใช้อำนาจด้านบวกหรือลบหรือทั้งสองในบางจังหวะ เพราะบางคนคุณไม่สามารถให้ผลประโยชน์อย่างเดียวได้ครับเพราะเค้าจะคิดว่าคุณอ่อนแอ

2. อ่านงบบัญชีเบื้องต้น

3. ทักษะการเจรจา

4. อ่านคนให้ออกครับเพราะทุกคนที่คุยกับเราตรงหน้า ในทุกปฏิกริยาของร่างกายเค้าตั้งแต่สายตา น้ำเสียง การวางมือ ขยับเท้า ท่านั่ง เหล่านี้คือคำตอบสะท้อนภายในออกมาว่า ณ เวลานั้นเค้ารู้สึกจริง ๆ กับคุณยังไง หลายอันสามารถปลอมได้แต่สายตาโกหกยากสุดครับ

และเป็นผู้ชำนาญเฉพาะทางในสายธุรกิจ เข้าใจว่าธุรกิจที่ทำมีส่วนประกอบไหนและเรียงลำดับความสำคัญออกมาครับ ตัวอย่างเช่นถ้าคุณอยากทำร้านอาหารแต่คุณไม่เข้าใจการรันธุรกิจอาหาร อย่างน้อยสุดควรขอคำปรึกษาจากคนทำธุรกิจร้านอาหารครับไม่ใช่ที่ปรึกษาทั่วไป เพราะถ้าคุณไม่เข้าใจมากพอคุณจะโดนหากินจากคนวงในที่รู้มากกว่าคุณไม่หยุดจนเจ๊งครับ

แต่ถ้าเป้าหมายคุณคือเป็นผู้ชำนาญรับงานทั่วไป เช่น นักปรุงน้ำหอม ทนายความ วิศวกร สถาปนิก แบบนั้นการชำนาญเฉพาะทางให้สุดคือดีกว่าครับ

มันก็คงดีทั้งคู่ครับ แต่ผมชอบเป็ดมากกว่านะมันดูเปิดกว้างไปไหนก็ได้ ฟังอะไรก็รู้เรื่องคุยกับคนได้หลากหลาย ดูคล่องตัวกว่า แล้ว Special มันปรับเปลี่ยนได้และบางครั้งก็มาจากการเป็นเป็ดนี้แหละครับ สำหรับผมอะไรก็ได้ที่ตอบโจทย์ผม ณ ตอนนี้ฮะ

มันต้องมี Minimum ระดับนึงทั้งคู่อะถึงสำเร็จได้

คนที่ประสบความสำเร็จหลายๆคนที่บอกว่าตัวเองเป็นเป็ด จริงๆแล้วสกิลเขาคือ 9 8 8 8 8

ในขนาดที่บางคนที่บอกตัวเองเป็น Specialist อาจจะสกิลแค่ 4 1 1 1 1

ผมไม่ค่อยเข้าใจหรอกนะคับ 555+

แต่เรื่องอาหาร ระหว่างตามสั่ง กับ ข้าวมันไก่

ตามสั่งถ้าไม่ได้ทำมานานหรือร้านขึ้นหิ้ง ทำคนเดียวก็มีหลงเป็นธรรมดา

เช่นสั่งไป

- กะเพราไก่เผ็ดน้อย ไข่ดาวไม่สุข
- ข้าวผัดหมูสับไม่ใส่มะเขือเทศ ต้นหอม

คิดว่าถ้าเป็นร้านข้างทาง คงมีหลงบ้างแหละ กระบวนการเริ่มทำมันหลายอย่าง อย่างอันแรก

- ข้าว เนื้อไก่ น้ำมันหอย พริก กะเพรา ไข่ ผงชูรส น้ำตาล น้ำปลา 9 ขั้นตอนก็ว่าได้

จะบอกว่าร้านตามสั่งมันกึ่งสำเร็จรูปก็ว่าได้ มีวัตถุดิบให้ แล้วทำเอง


แต่ข้าวมันไก่ คือเค้าเตรียมมาพร้อมไง ข้าว ไก่ น้ำซุป น้ำจิ้ม ทำมาพร้อมเหลือแต่ ตักให้ลูกค้าเลย

คงไม่มีที่ไหนหรอกนะ ทำน้ำจิ้มระหว่างหั่นไก่ หรือตักข้าวไปต้มไก่ไป แทบไม่มี

ถ้าเทียบจำนวนคน ข้าวมันไก่ยังงัยก็ต้องทำ 2 คน ขึ้นไป ไม่งั้นทำไม่ทันแน่นอน ซึ่งต่างจาก ตามสั่ง ทำคนเดียว เซิฟคนเดียวก็ได้(ในบางครั้ง)

สุดยอดผู้นำ ก็มีลักษณะความเป็นเป็ดทั้งนั้น ไม่ขนาดต้องเก่งจ๋าทุกเรื่อง

แต่ต้องเข้าใจเรื่องอื่นๆนอกจากความถนัดตัวเอง ระดับนึง ถึงจะตัดสินใจได้ฉลาดและเหมาะสมสุดในสถานการณ์

ถ้าจะเป็น Specialist แบบสุดๆซักทาง มันก้คงตอบโจทย์ในเรือ่งของความมั่นคงของอาชีพได้แหละครับ

แต่ความรู้ในเรื่องอื่นๆนอกจากเรื่องที่ตัวเองถนัด จะทำให้ชีวิตคุณ โตขึ้นได้อย่างแน่นอน

ก็เป็นมันทุกอย่างไปเลยสิ

Specialist = คุณค่าเพิ่ม มูลค่าก็เพิ่มตาม กว่าปกติหลายเท่า
แต่ยุคนี้ควรฝึกหลาย Skill ให้กลายเป็น Special ที่สองที่สามครับ
คือถ้ามี เรื่องเก่ง 1 เรื่องแล้ว
ก็ฝึกสกิลเป็ดอื่นๆของตัวเอง ให้ขยับเป็นเป็ดทอง เพิ่มช่องทางโอกาส และรายได้
เท่าที่อ่านกระทู้ เหมือนจะมีเรื่อง Branding มาด้วย
สรุปว่า เลือก Specialist ที่สอดคล้องกับ Personal Branding
+ เพิ่ม Skill ที่ไม่ขัดกับ Character หลักครับ

ผมเป็น specialist อยู่ครับ ในประเทศไทยถ้าพูดถึงเรื่องนี้ ทุกคนจะรู้ว่าจะต้องวิ่งเข้ามาปรึกษากับผม

แต่ generalist ผมก็ไม่ได้ทิ้ง เพราะหลังจากเป็น specialist แล้วก็มาเรียน MBA ต่อให้คุยกันคนอื่น บริหารงานเป็นด้วยนะครับ

ตอนนี้ชีวิตก็อยู่ดีมีสุข ใช้ทักษะทั้ง specialist และ generalist ก็แล้วแต่บริบทครับ

ยุคนี้ต้อง expert generalist คับ

อ่านเพลิน

ผมว่าเป็นเป็ดรู้รอบด้านกับ specialist ด้านเเดียวแบบโหดๆ ดีกว่าครับ ดังนั้นผมแนะนำว่าคนที่เป็นเป็ดอยู่ตอนนี้ควรมองหาความชำนาญติดตัวไว้สักเรื่องนึงก็คงจะโหดมากๆเลยครับ

หลายๆ คนจะเข้าไปผิดว่าต้องก้าวขึ้นไปเป็น Management position สูงๆ คือประสบความสำเร็จ ร่ำรวย เลยมองว่าเป็น generalist อาจจะไปทางนี้ได้ดีกว่า

แต่ในบริษัทที่มีคุณภาพจริงๆ ทั้งสองทางสามารถเป็นระดับสูงได้พอๆ กัน เพียงแต่ระดับ management มันจะเริ่มได้ต้องมีอายุงานประมาณหนึ่ง เลยมักจะเห็นว่า manager ระดับต้นๆ ได้เงินมากกว่า operator ระดับต้นๆ ทั้งที่ความจริงถ้าดูอายุงานเท่าๆ กัน ทั้งสองตำแหน่งมักจะมีเงินเดือนระดับที่ไม่ต่างกัน บริษัทผมตำแหน่ง principal (เทพด้าน tech) เงินเดือนเยอะกว่า management แทบจะทั้งบริษัท แบบต้องไปวัดกับพวกตัวตัว C ได้เลย

ดังนั้นเป็นอะไรก็ได้ในแบบของเรา แค่ไปอยู่ให้ถูกบริษัทก็พอครับ

เคยเจอคนที่ specialist หลายด้าน แบบไม่เป็ดด้วยนะ แต่จะว่าไปยุคนี่ specialist แค่ด้านเดียว คงไม่พอละมั้ง

จริงๆควรเป็น specialist แล้วไปฝึกเพิ่มด้านอื่นด้วยผมว่าดีกว่านะ