จากบทความของ NY Times ฉบับนี้

ได้พูดถึง 4 ประเทศหลักที่ได้รับ-ฉีดวัคซีนของจีนทั้ง 2 ตัวคือ Sinopharm และ CoronaVac (Sinovac)
ซึ่งเมื่อ 2-3 เดือนก่อนหน้านี้ ทั้ง 3 ประเทศ ประกอบด้วย ชิลี, มองโกเลีย, บาห์เรน, และหมู่เกาะซิเลเนส
ได้ให้คำมั่นสัญญาว่า จะเปิดประเทศจากการ Lockdown และทำให้เศรษฐกิจฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว

แต่กลับกัน กลายเป็นว่าประเทศต้องเข้าสู่ Half-Full lockdown อีกครั้ง เนื่องจากวัคซีนที่ได้รับการฉีดให้กับประชาชน ไม่สามารถป้องกันการแพร่กระจายเชื้อได้ ประเทศทั้ง 4 ประเทศนี้ ได้ทำการฉีดไปแล้วถึง 50%-68%

ซึ่งตอนนี้ทั้ง 4 ประเทศติด 10 อันดับ World Worst Covid Outbreaks
อ้างอิง: https://www.nytimes.com/interactive/2021/world/covid-cases.html

นักไวรัสวิทยาประเทศฮ่องกงได้ให้ความเห็นสำหรับเรื่องนี้ด้วยว่า "ถ้าวัคซีนมันดีจริงๆ Outbreak แบบนี้จะไม่มีให้เห็นแน่ๆ" "ประเทศจีนต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้"

นักวิทยาศาสตร์บางคนก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าทำไมบางประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนค่อนข้างสูงจึงกำลังประสบกับการระบาดครั้งใหม่ ซึ่งอาจจะมีตัวแปรเช่น การควบคุมทางสังคมที่ผ่อนคลายเร็วเกินไปและพฤติกรรมที่ไม่ระมัดระวังหลังจากได้รับวัคซีน อาจจะทำให้เกิดการระบาดนี้ขึ้นมา

ซึ่งถ้าให้เปรียบเทียบกับ USA, Israel, หมู่เกาะซิเลเนส นั้น

USA ฉีดไปทั้งหมด 40% เป็น Pfizer และ Moderna > ทำให้เคสการติดเชื้อลดลงไปถึง 94% ในช่วงที่ผ่านมา

Israel ฉีดเป็นอันดับสอง และเป็น Pfizer ซะส่วนใหญ่ > อัตราการติดเชื้ออยู่ในสัดส่วน 4.95 ต่อ 1 ล้านคน

กลับกันหมู่เกาะซิเลเนส ที่ฉีด Sinopharm เป็นส่วนใหญ่ > อัตราการติดเชื้ออยู่ในสัดส่วน 716 ต่อ 1 ล้านคน

จริงๆ อาจจะเป็นเพราะความเหลื่อมล้ำของเศรษฐกิจ ที่ทำให้ประเทศยักษ์ใหญ่ในโลกมีโอกาสได้รับ/จัดซื้อวัคซีน Pfizer - Moderna ได้รวดเร็วกว่าประเทศอื่นๆ ซึ่งทำให้ประเทศมหาอำนาจสามารถลดการติดเชื้อได้อย่างรวดเร็ว ต่างกับประเทศพัฒนาและยากจนนั้น ยังไม่สามารถควบคุมการระบาดได้ ถึงแม้ว่าวัคซีนที่ฉีดไปจะป้องกันได้ส่วนหนึ่ง

ซึ่งในช่วงก่อนหน้านี้ ทางประเทศจีนก็ได้ออกมายืนยันศักยภาพของตัววัคซีนว่าสามารถป้องกันการติดเชื้อ, การเสียชีวิต และป้องกันการแพร่กระจายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในแถลงการณ์กระทรวงการต่างประเทศของจีนกล่าวว่า "ไม่เห็นความเชื่อมโยงระหว่างการระบาดครั้งล่าสุดกับวัคซีน" โดยอ้างอิงถึง WHO ว่าอัตราการฉีดวัคซีนในบางประเทศยังไม่ถึงระดับเพียงพอที่จะป้องกันการระบาด จึงจำเป็นต้องคงการควบคุมต่อไป

และเน้นย้ำด้วยว่า "วัคซีนมุ่งเป้าไปการป้องกันความร้ายแรงของโรค มากกว่าการแพร่เชื้อ"

ในขณะเดียวกันทางการของประเทศมองโกเลีย และหมู่เกาะซิเลเนส ก็ได้ออกมาปกป้องวัคซีน Sinopharm ว่าเป็นวัคซีนที่สามารถป้องกัน Covid-19 แบบรุนแรงได้ และยังบอกว่า Sinopharm สามารถทำงานได้ดีกว่า AstraZenca และ Sputnik V ของรัสเซีย


แม้กระทั่งหน่วยงานสาธารณสุขของสิงคโปร์ก็ออกมาตั้งคำถามถึง CoronaVac (Sinovac) ในการประชุมเมื่อวันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมาโดย A/Prof. Kenneth Mak ผู้อำนวยฝ่าย Medical services, เกี่ยวกับข้อมูลที่ได้รับ และยังได้มีการพูดถึง Real world data ที่ Indonesia และตั้งคำถามเกี่ยวกับประสิทธิภาพของมัน (นาทีที่ 53 เป็นต้นไป เริ่มพูดถึง Sinovac ประมาณนาทีที่ 55) >> https://www.youtube.com/embed/x2uqVu6OTGE

แต่ถึงยังไง เมื่อเดือนที่ผ่านมา ประเทศบาห์เรน และ UAE ได้ประกาศที่จะต้องฉีด Booster (เข็มที่ 3) ซึ่งกำลังตัดสินใจว่าจะใช้ตัวไหนระหว่าง Pfizer หรือ Sinopharm
---------------------------------------------------------------

Credit: https://www.nytimes.com/2021/06/22/business/economy/china-vaccines-covid-outbreak.html?referringSource=articleShare&fbclid=IwAR1Bgl0hqD_ov6LgS0atw7T6e70yVB62foc4yt9NzePltK7qPjl_xehvzkI
---------------------------------------------------------------

มีแปลข้ามๆ ไปบ้างนะครับ ของอ่านตัวเต็มได้ในลิงค์ เผื่อใครอยากได้อรรถรส
ประเทศเรานี่ คล้ายๆ เลยนะครับ Official ออกมา Defended ให้กับวัคซีนตัวหนึ่งอย่างออกนอกหน้า

ถ้าเป็นประเทศในบทความ ก็พอเข้าใจว่าทำไมต้อง Defended แต่เประเทศเรานั้น..........

เชื่อว่า mRNA เราน่าจะได้เกือบสิ้นปีแน่ๆ ครับ (แต่ถ้า สธ. ทนไม่ไหว หรือได้รับคำสั่งให้นำเข้าโดยด่วน อาจจะได้มีมาก่อน)

หรือไม่ก็อาจจะมีอะไรบ้างอย่างเชื่อมโยงกับกรณีของวัคซีน ChulaCov19

มณฑลไทกั๋ว : ผลประโยชน์ทางการเงิน+การเมือง+เอาหน้า+เอาบุญคุณ > ประชาชน

จะอะไรก็แล้วแต่ สิ่งที่ควรจะมีคือ ความหลากหลาย

ถ้าจะไม่หลากหลาย มันก็ควรเป็นตัวที่ได้ผลดีที่สุดป่าววะ