- การแข่งขันยูโร 2020 เข้าสู่ Matchday 3 คงถึงเวลาที่จะต้องพิพากษากันแล้วครับ ว่าจะมีชาติใดบ้าง ? ที่ดีพอจะตบเท้าเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย...

- 12 ทีมแรก แน่นอนว่า มาจากแชมป์กลุ่มและรองแชมป์กลุ่ม A-F ซึ่งตอนนี้จากผลการแข่งขันเมื่อคืน ทำให้เราได้ยลโฉมของทีมที่เข้ารอบอัตโนมัติ 6 ทีมด้วยกัน ได้แก่ อิตาลี(แชมป์กลุ่ม A), เบลเยี่ยม(แชมป์กลุ่ม B), เนเธอร์แลนด์(แชมป์กลุ่ม C), เวลส์(รองแชมป์กลุ่ม A), เดนมาร์ก(รองแชมป์กลุ่ม B), ออสเตรีย(รองแชมป์กลุ่ม C)


- รวมกับอีก 5 ทีม ที่แม้ยังไม่รู้ชะตาว่าจะได้ไปต่อในนามแชมป์กลุ่มหรือรองแชมป์กลุ่ม แต่ด้วย 4 คะแนนที่กุมไว้ในมือ ก็ดีพอจะการันตีว่าพวกเขาจะยังคงอยู่รอดในเวทีนี้อีกอย่างน้อย ๆ ก็ 1 นัดในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์, อังกฤษ, สาธารณรัฐเช็ก, สวีเดน และฝรั่งเศส

- ขวัญใจ Underdog อย่าง ฟินแลนด์(ที่ 3 กลุ่ม B) และ ยูเครน(ที่ 3 กลุ่ม C) เป็น 2 ทีมที่อยู่ในสถานะของลูกผี ลูกคน คือพวกเขาแพ็คกระเป๋ารอไว้ได้แต่ยังไม่มีสิทธิ์กลับบ้านตอนนี้ เพราะถามว่าพวกเขายังมีลุ้นเข้ารอบในโควต้า "อันดับ 3 ที่ดีที่สุด" หรือไม่ ? คำตอบคือ ในทางทฤษฎีนั้น ยังพอมีหวังครับ

- ท้าวความสั้น ๆ แบบนี้ก่อนครับ เกณฑ์ในการใช้วัดเพื่อหา "อันดับ 3 ที่ดีที่สุด" จะเรียงลำดับจาก
1. คะแนนในรอบแบ่งกลุ่ม ตอนนี้ฟินแลนด์และยูเครน ตุนเอาไว้ในมือที่ 3 คะแนนเท่ากัน
2. ถ้าคะแนนเท่ากัน ก็จะวัดกันต่อที่เรื่องของ "ผลต่างประตูได้เสีย" ซึ่งข้อนี้แหละจะเป็นข้อเสียเปรียบของทั้งฟินแลนด์และยูเครน เพราะผลต่างอยู่ที่ -2 และ -1 ตามลำดับ ถือว่าสุ่มเสี่ยงที่จะได้กลับบ้าน
3. ผลต่างประตูได้เสีย บวกลบแล้วยังเท่ากันอีก ก็วัดกันต่อที่เรื่องของ "ประตูที่ยิงได้" ถ้าวัดที่ตรงนี้ยูเครนจะมีหวังขึ้นมาหน่อย เพราะตุนไว้ที่ 4 ประตู จะต่างกับฟินแลนด์ ที่ยิงได้แค่ลูกเดียว
4. ถ้า 3 ข้อดังกล่าวด้านบนยังเท่ากันหมด ก็จะวัดกันที่อันดับ "ยูฟ่าแรงค์กิ้ง" ดังนี้ครับ...


- ด้วยความที่ตอนนี้ สวิตเซอร์แลนด์ คว้าได้ถึง 4 คะแนนในมือ นั่นหมายความว่าพวกเขาคือทีมที่จองสัมปทาน "อันดับ 3 ที่ดีที่สุด" แน่ ๆ แล้ว 1 ที่นั่ง ทำให้เหลือที่ว่างให้กับผู้อยู่รอดอีกแค่ 3 ทีมเท่านั้น

- ทีนี้มาเช็คสถานการณ์ล่าสุดในมินิลีกของเหล่า "อันดับ 3" ทั้งหมด โปรตุเกส ขึ้นแท่นเป็นลำดับที่ 2 (ต่อจากสวิตฯ) ด้วยผลต่างประตูได้เสีย +1 ลูก พร้อม 3 แต้มในมือ แต่นี่แหละ คือสิ่งที่ฟินแลนด์และยูเครนรอส่งพลังแช่งอยู่ เพราะนัดส่งท้ายกลุ่ม F "แชมป์เก่า" รายการนี้จะดวลกับฝรั่งเศสที่แม้ว่าจะลอยลำเข้ารอบแน่นอนแล้ว แต่ว่ากันตามตรงครับ ด้วยศักดิ์ศรีของยักษ์ชนยักษ์ แล้วยิ่งเป็นทัวร์นาเมนท์ระดับนี้ ใครจะยอมเข้ารอบเป็นอันดับที่ 2 ของกลุ่มกันล่ะ ? ทีนี้ลองมอง Worst Case ว่าโปรตุเกสเกิดแพ้ให้ฝรั่งเศสด้วยสกอร์ตั้งแต่ 3 ประตูขึ้นไปจนผลต่างลูกได้เสียติดลบ ก็น่าจะเป็นการสร้างความหวังให้ทั้งฟินแลนด์และยูเครนขึ้นมาไม่น้อย
(*อันที่จริง ผมจะไม่หยิบประเด็นนี้มาอ้างถึงให้เสียเวลาเลย ติดตรงที่เกมเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาโปรตุเกสดันทะลึ่งโชว์ความเปื่อยยุ่ยเป็นทิชชู่ในแนวรับให้โลกรู้เสียก่อน)


- ที่เพิ่มดีกรีความเข้มข้นไปมากกว่านั้นคือ ในค่ำคืนเดียวกันนั้น เยอรมนี ที่ขวัญกำลังใจเริ่มกลับคืนมา รอเปิดรังอัลลิอันซ์ อารีน่า หวังเชือดฮังการีให้ตายคามือเพื่อคว้า 6 คะแนนลุ้นเข้าป้ายอันดับ 1 กลุ่ม F นั่นยิ่งเป็นตัวกระตุ้นชั้นดีให้กับฝรั่งเศสเข้าไปอีกว่า ผลเสมอของพวกเขานั้น ไม่เพียงพอต่อการเป็นแชมป์กลุ่ม

- แต่ช้าก่อน นี่ยังไม่รวมว่าหลังเป่านกหวีดจบ 90 นาทีใน "กรุ๊ปออฟเดธ" แล้วนั้น อาจเกิดเหตุช็อกโลก ที่เยอรมนีพลาดท่าพ่ายคาบ้านให้กับฮังการีอีกนะครับ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง หากว่าอีกสนามฝรั่งเศสก็สามารถล้มโปรตุเกสได้เหมือนกัน เรื่องราวทั้งหมดจะพลิกล็อคครั้งยิ่งใหญ่ เพราะนั่นหมายถึงฝรั่งเศสกับฮังการีจะกอดคอกันเข้ารอบทันที ทิ้งให้เยอรมนีและโปรตุเกสไปเสี่ยงเป็น เสี่ยงตายในสังเวียน "อันดับ 3 ที่ดีที่สุด" ต่อไป


- ขยับกลับมานิดนึงในกลุ่ม D ที่เดิมทีนั้น เกินกว่าครึ่งคงฟันธงให้ อังกฤษและโครเอเชียขับเคี้ยวแย่งแชมป์กลุ่ม ทะลุเข้ารอบน็อคเอาท์ไปพร้อม ๆ กันได้ไม่ยาก ทว่า พอเอาเข้าจริงจนถึงตอนนี้คงไม่เกินความเป็นจริงเลยครับ หากจะบอกว่า สาธารณรัฐเช็กมีสิทธิ์ที่จะฉวยโอกาสตบ อังกฤษ ในนัดสุดท้ายที่เดิมก็กำลังเมาหมัดกับการจัดตัวให้ตรงกับแผนการเล่นอยู่แล้ว ยังต้องมาพะวงเพิ่มอีกว่าในแคมป์จะมีใครติดโควิดบ้าง

- กลุ่ม D เนี่ย จริง ๆ มองให้เกิดดราม่าน้ำตารื้นก็ย่อมได้นะครับ เพราะถ้าหากโครเอเชียหรือสก็อตแลนด์เก็บ 3 คะแนนพร้อมยิงเป็นกอบเป็นกำได้ แล้วเช็กหรืออังกฤษดันพลาดท่าแพ้แบบชนิดที่แนวรับเกิดผิดฟอร์มขึ้นมา ก็จะทำให้ทีมนำทั้ง 2 ต้องไปตกที่นั่งลำบากในโควต้าอันดับที่ 3 ทีนี้ความแตกต่างคือ ก็จะมีโอกาสหลุดเข้าไปเจองานหินอย่างเนเธอร์แลนด์, เบลเยี่ยม หรือแชมป์ในกลุ่ม E นั่นเอง

- ถ้ามองแบบนิยายน้ำเน่าที่ผมภาวนาว่าอย่าให้มันเกิดขึ้นเลยคือ ทั้ง 2 คู่ในกลุ่ม D จบด้วยผลเสมอทั้งคู่ และเช็กกับอังกฤษกอดคอกันเข้ารอบแบบโรแมนติค มันคงจะเป็นสถานการณ์ที่สิ้นเปลืองค่าไฟที่ขึ้นเอา ๆ ในยุคโควิดแบบนี้มาก ๆ เลยล่ะครับ


- ปิดท้ายด้วยกลุ่ม E ที่ผมไม่แน่ใจว่าสมาชิกในกลุ่มนี้เขาทำอะไรกันอยู่ หรือเขากำลังเกี่ยงกันเพื่อเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย เพราะเท่าที่ดูผ่าน ๆ ตามา ผมยังมองไม่เห็นเลยด้วยซ้ำว่าจะมีใครที่ดีพอจะเข้าไปเขย่าขวัญทีมของกลุ่มอื่น ๆ ได้ในรอบน็อกเอาท์ อย่างไรก็ตาม ว่ากันตามกติกายังไงก็จะมีแชมป์และรองแชมป์กลุ่มที่ได้สิทธิ์เข้ารอบอย่างแน่นอน

- ซึ่งสวีเดนเป็นชื่อแรกที่ได้การันตีตั๋วตรงนี้ไป (ผิดคาดไหมล่ะ ?) ทำให้พลพรรคไวกิ้งจะลงเล่นนัดส่งท้ายกับโปแลนด์ด้วยบรรยากาศที่รีแลกซ์กว่าทุกทีมในกลุ่ม เพราะขอแค่ผลเสมอพวกเขาก็ยังยึดที่นั่ง 2 อันดับแรกในกลุ่มได้อย่างเหนียวแน่น

- ทิ้งให้สเปนต้องขึ้นสังเวียนกับสโลวาเกียเพื่อสาวหมัดแลกกันอย่างไม่มีทางเลือก ซึ่งถ้ากองหน้าของพวกเขาเฉียบคมพอและเก็บชัยชนะได้สำเร็จ (ซักที) ก็จะได้เข้ารอบโดยอัตโนมัติทันที ส่วนจะได้เป็นแชมป์กลุ่มไหมนั้น คงต้องปรึกษาสวีเดนอีกทีนึงว่าจะยอมหรือไม่ ? ทั้งนี้ทั้งนั้นถ้าสเปนยังคงเล่นกันแบบใน 2 นัดแรกนั้น ก็สุ่มเสี่ยงเหมือนกันที่จะโดนทีเด็ดกลุ่มเพื่อนฮัมซิคน็อคคาบ้าน ซิวโควต้าเข้ารอบเอาได้ง่าย ๆ

- ส่วนโปแลนด์ ที่ใครหลายคนกำลังเอาใจช่วยให้เลวานดอฟสกี้เข้ารอบลึก ๆ เพื่อสานฝันบัลลงดอร์ ก็ใช่ว่าจะหมดหวังนะครับ เพราะถ้าหากพวกเขาสามารถเอาชนะสวีเดนได้สำเร็จก็จะมีลุ้นเข้ารอบทันทีซึ่งจะได้เข้ารอบในโควต้าไหน ก็ต้องว่ากันที่ผลการแข่งขันของคู่ระหว่างสเปนกับสโลวาเกียกันอีกที

- เดิมทีนั้น ย้อนไปเมื่อยูโร 2016 ผมเคยเกิดเป็นข้อครหาในใจว่า ยูฟ่า คิดอะไรอยู่ ทำไมถึงเปลี่ยนฟอร์เมชั่นใหม่ ที่ทำให้ทีมอันดับ 3 ของกลุ่มยังมีโอกาสลุ้นเข้ารอบน็อกเอาท์ได้อีก แต่พอเอาเข้าจริงผ่านมาสองทัวร์นาเมนท์ ผมกลับยอมรับแต่โดยดีเลยครับว่า รูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น บีบให้ทั้ง 24 ชาติจำยอมต้องหวดกันแบบเอาเป็นเอาตายจนถึงหยดสุดท้ายของการแข่งขัน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นความคุ้มค่าอย่างยิ่งกับแฟนบอลทั่วโลกที่อดใจรอกันมา 4 ปี จริง ๆ ครับ

Blue Sh!t

คิดเหมือนผมเลยครับ ผมว่าการเอาอันดับ3ที่ดีที่สุดเข้ารอบไปด้วย ทำให้นัดสุดท้ายสนุกมาก โดยเฉพาะกลุ่มบีเมื่อคืนใส่กันยับ ถ้าเป็นเมื่อก่อน นัดสุดท้ายทีมไหนไม่มีลุ้นก็ปล่อยจอยแล้ว

ผมคิดต่างนะ การมีที่สามเข้ารอบสี่ทีมนี่ทำให้เกมรอบแรกหมดคุณค่าไปเยอะเลย เพราะแข่ง 24 เอาทีมเข้า ตั้ง 16 ทีม ทีมไหนชนะนัดนึงก็มีลุ้นแล้ว

สมมติถ้าให้เข้ารอบแค่ 2 ทีม เกมทุกเกมนัดสุดท้ายก็ยังมีความหมายอยู่ สวิสก็ยังแย่งที่สองกับเวลส์ เดนมาร์กก็เล่นแบบเมื่อคืนอยู่ดีเพราะลุ้นที่สอง แถมลุ้นหนักกว่าเดิมด้วยเพราะฟินแลนด์ก็คงสู้สุดใจไม่ให้แพ้

แต่พอเข้าได้สามทีม อิตาลี-เวลส์ก็แทบจูงมือกันเข้าไปแล้ว ยูเครนแพ้ไปก็ยังมีลุ้นอยู่ แถมเกมสายอื่นๆ หมดความหมายไปหลายคู่มากกว่าอีก อังกฤษ-เช็ค ก็จูงมือเข้าไปแล้ว เผลอๆปล่อยสำรองมาแย่งกันแพ้หนีเยอรมัน ฝรั่งเศสที่ยังมีโอกาสหลุดที่สามถ้าแพ้ก็กลายเป็นเข้ารอบไปง่ายๆ แถมโปรตุเกสอุดไม่ให้แพ้เกิน 1 ลูกก็เข้า (กรณีเยอรมันไม่แพ้) สวีเดนก็ลอยลำแทนที่จะยังต้องมาเน้นแย่งที่สอง

คือทวีปยุโรปมีประมาณ 50 ประเทศ คัดมา 24 ก็เยอะแล้ว แถมยังมาเอาเข้ารอบสองอีก 16

ถ้าจะเอาแบบเจ๋งๆ ผมว่าควรมีรอบสุดท้าย 16 ทีมเหมือนเดิม แล้วเอาที่ 1 กับ 2 เข้านี่แหละ
แล้วแข่งรอบแรกเสร็จ พัก 3-4 วัน จะได้ไม่มีทีมเสียเปรียบ ช่วงพักก็จับฉลากไปเลยว่าแชมป์กลุ่มจะเจอรองแชมป์ทีมไหน อย่าไปล๊อกล่วงหน้า ให้มันลุ้นเหมือนแบบ UCL และไม่ต้องมีเรื่องที่ว่ามีใครจะหนีใคร

ผมชอบอันดับ 3 ตรงที่มันจะทำให้มีทีมรองไปคอยสร้างเซอร์ไพรส์ในรอบต่อไป มีทีมให้สายเอาใจช่วยทีมรองสนุกไปด้วย ส่วนกลุ่ม E ดูมา 4 นัด ไม่มีนัดไหนที่มีทีมเล่นได้น่าพอใจเลย เดายากจิงๆว่านัดสุดท้ายจะออกหน้าไหนกันแน่ๆ

เข้าใจว่าที่เอามา 24 ทีม เพราะถ้า 16 มันจะมีทีมใหญ่ๆหลุดไปซักทีม
เอาที่ 3 เข้าด้วยก็อย่างท่านว่า แค่ยันเสมอ 3 นัดก็ได้ลุ้นแล้ว
โปรตุเกสรอบก่อนได้แชม ก็เข้าที่ 3 แบบ เสมอ 3 นัดอะ ผมว่าตลกดี
ผมว่าเอามา 24 ทีม แบ่ง 4 สาย สายละ 6 ทีม
แล้วเอาเข้าแค่ 1-2 ของ 4 สายเป้นรอบ knock-out 8 ทีม น่าจะมันกว่า ใส่กันยับตั้งแต่แบ่งกลุ่มแน่นอน

จำนวนนัดมันจะเยอะไปน่ะสิครับ