จากผลการศึกษาที่เป็นที่ตื่นเต้นไปที่วโลกของวัคซีนจาก บ. Pfizer ที่มีประสิทธิภาพกว่า 95% ในการป้องกัน โดยเป็นผลมาจากจำนวนผู้พบการยืนยันติดเชื้อในกลุ่มได้วัคซีนเพียง 9 คน ในขณะที่ในกลุ่มได้ยาหลอกถึง 172 คน

แต่ในเอกสารที่ส่งไปยัง FDA ได้มีการกล่าวถึงกลุ่มผู้ป่วยที่สงสัยว่าจะติดเชื้ออีกกว่า 3400 คน (เช่น อาจมีอาการเป็นหวัด มีน้ำมูก ปอกติดเชื้อ) แต่ไม่ได้รับการตรวจยืนยันว่าติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ หรือได้ตรวจแล้วผลเป็นลบ (ไม่พบเชื้อ ซึ่งอาจเป็นผลจากวัคซีนทำให้ตรวจไม่พบเชื้อได้) เมื่อไม่มีผลยืนยันว่าติดเชื้อ ส่งผลให้ไม่ได้ถูกนำไปคำนวนประสิทธิภาพของวัคซีน

อย่างไรก็ตามยังมีเชื้ออีกหลายตัวที่สามารถทำให้มีอาการดังกล่าวได้ แต่ก็น่าเชื่อว่าน่าจะมีผู้ติดโควิดในกลุ่มดังกล่าวด้วยเช่นกัน ซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพของวัคซีนที่อาจไม่สูงถึง 95% ตามผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ไปก่อนหน้า

ที่มา BMJ

ที่มามันน่าเชื่อถือมั้ยอ่ะ
แล้ว3500ทำไมจะไม่ตรวจให้ชัดว่าโควิดมั้ย งง ดูยังไม่ค่อยเมคเซนส์

ที่มา BMJ เป็นวารสารทางการแพทย์ที่น่าเชื่อถือเลยครับ
อ้างอิงจากเอกสารที่มีให้ดาวโหลดจาก FDA สหรัฐโดยตรงเลยครับ

https://www.fda.gov/media/144245/download#page=42

วัคซีนเชื้อตายแบบจีนน่าจะเวิร์คสุดละ ไม่มีอันตราย ถึงจะประสิทธิภาพต่ำกว่า

อธิบายงี้ครับ

ไม่ใช่บอกไม่หมด แต่การศึกษาวัคซีนโดยปกติจะเทสจากคนมีอาการเป็นหลักครับ ไม่ค่อยมีการเทสในเคสที่ไม่มีอาการ (เรียกอีกอย่างว่า asymptomatic case)

ทำไมถึงไม่นิยมตรวจคนไม่มีอาการละ ?

การสัมผัสโรคแต่ละคนไม่เท่ากันครับ อย่างเช่น นาย A ใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ได้ไปพื้นที่เสี่ยง แต่นาย B อยู่ในพื้นที่เสี่ยง

ถ้าการกำหนดตรวจเชื้อทุกเคส แสดงว่าต้องกำหนดกรอบเวลาในการตรวจครับ เช่น 30 วันหลังฉีดวัคซีนเข็ม 2 จับตรวจเลย ! อะไรแบบนี้

แต่ปัญหาใหญ่ๆก็คือ เวลาทรากำหนดเนี่ย ควรรอหลังฉีดกี่วัน?

ถ้ากำหนดไวไป กลุ่มตัวอย่างอาจจะไม่ทันได้สัมผัสเชื้อ ทำให้จับตรวจมาเจอคนติดเชื้อน้อยกว่าความเป็นจริง

แต่ถ้ากำหนดนานๆหลังฉีดละ >> แบบนี้ก็ยิ่งแปลผลยาก เพราะกลุ่มที่ไม่มีอาการเนื่ย อาจจะติดเชื้อไปแล้ว และหายแล้วก็ได้ ผลที่ได้ก็ไม่แน่นอนอีก

ดังนั้นการออกแบบการทดลอง เลยเลือกที่จะจับคนที่ “มีอาการ” แล้วมาตรวจเท่านั้น ซึ่งทั้งสองกลุ่มทั้งวัคซีนจริง วัคซีนหลอก ก็ใช้เกณฑ์เดียวกัน ทำให้การหาประสิทธิภาพค่อนข้างแม่นกว่าการกำหนดเวลาตรวจเชื้อชัดเจน ที่สำคัญคือง่ายต่อการทดสอบด้วย เพราะสามารถเก็บไปได้เรื่อยๆ จนกว่ากลุ่มตัวอย่างจะหมด

ถามว่าเรื่องเคสที่ไม่มีอาการเนี่ย ทีมวิจัยเขารู้แหละ คิดว่าน่าจะมีการทำวิจัยเพิ่มภายหลัง

ส่วนวัคซีนที่ทำ asymptomatic cases เนี่ย เห็นจะมีแต่ของ astrazeneca ทำนะ จำไม่ได้ละป้องกันได้กี่ % แต่คุ้นๆว่าได้ไม่เยอะมาก อาจจะด้วยประสิทธิภาพวัคซีนในคนที่มีอาการก็ด้อยกว่าไฟเซอร์ระดับนึงด้วยครับ

** เวรกรรม พิมพ์ตั้งนาน 55 ผมเข้าใจผิดเอง ถ้าหมายถึงเคสที่ไม่ได้ถูกนำมาคิดรวมใช่ไหมครับ ตอนอ่านเปเปอร์ก็ไม่เจอตรงนี้แหะ น่าจะถูกคัดออกด้วยเหตุผลบางอย่าง เช่น มีอาการในช่วงฉีดวัคซีนยังไม่ครบ 2 เข็ม พวกนี้ก็โดนคัดออกเพราะต้องการเทสแต่คนที่ฉีดครบเท่านั้นครับ

ถ้ารอได้ผมก็จะรอนะ(แต่ฉีด) คนรอบๆตัวบอกไม่ฉีดกันเยอะ ยังนั่งคิดแล้วใครมันจะฉีดเพื่อให้ครบตามจำนวน (เริ่มมีคนที่อยากเป็นคนที่เหลือเพื่อไม่ต้องฉีด) จับฉลากไหมเนี่ยเดี๋ยวก็มีปัญหา จะกลายเป็นหาคนมาฉีดไม่ได้ไหม ซื้อยามาไม่มีคนฉีดยุ่งเลย เพราะมีปัญหาหลายยี่ห้อ (ไม่โทษยา ของมันรีบ ได้แค่นี่ก็ต้องถือว่าดีละ)

อันนี้ผมก็ฟังมาจาก mission daily report ข้อมูลตรงกันนะว่ากลุ่มทดลองไม่มีมีจำนวนเยอะอะไร มีแค่หลักสิบ้นี่ยแหละ

เดี๋ยวรอเวลาเลย อิสลาเอล ก็เอาไฟเซอร์ไปฉีดจำนวนมาก คงสรุปผลในอีก 2-3 เดือนว่าประสิทธิภาพได้เท่าไหร่

ปวดหัวกับเรื่องวัคซีนจริง วันนึงบอกดีมาก สักพักบอกไม่ได้ดีขนาดนั้น

ตอนนี้ตัวไหนดีสุดก็ไม่รู้

ให้เพื่อนบ้านฉีดกันไปก่อนดีกว่า อันไหนดีสุดค่อยสั่ง

เรื่องวัคซีนผมขอรอดูผลระยะยาว ก่อนจะฉีดดีกว่า ไม่ตั้งธงว่าจะฉีดยี่ห้อไหน หรือ ไม่ฉีดยี่ห้อไหน ถ้ามันมีประสิทธิ์ภาพ ปลอดภัย ก็ค่อยฉีดครับ

คือผมว่าเรื่องวัคซีนโควิดเนี่ย ยังสรุปไม่ได้ง่ายๆ หรอกครับ

เพราะว่าเป็นการเร่งผลิตวัคซีนแบบพิเศษ ไม่ได้ตามขั้นตอนปกติ

เพราะฉะนั้นถ้าอยากรู้ผล + ภาวะแทรกซ้อน ระยะยาว ก็ต้องรออีกสักพัก

รวมถึงต้องให้มีข้อมูลเยอะสักนิดก่อน

เพราะฉะนั้นอย่ารีบ ค่อยๆ ดู และเก็บข้อมูลกันไปก่อน

แต่ถ้าใครอยากได้ก่อน ก็ต้องยอมรับว่าผลอาจไม่ดีเท่าที่ควร หรืออาจมีภาวะแทรกซ้อนได้

ความลับอีกอย่างที่วงการแพทย์ไม่ได้บอก

วัคซีนนอกจากจะใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ติดโรคแล้ว จุดประสงค์อีกอย่างคือ ถ้าเกิดว่าไม่ได้สร้างภูมิถึงขนาดไม่ติดโรค แต่ถ้ามีภูมิบ้างแล้วติดโรคแล้วขอให้อาการไม่รุนแรง

ตามนี้นะครับ

ผมยังสงสัยว่ามันเป็นการฉีดแบบครั้งเดียวทั้งชีวิต หรือเป็นทีก็ฉีดที หรือฉีดครั้งนึงอยู่ได้ช่วงหนึ่ง หรือแล้วแต่ตัวบุคคล
ถ้าฉีดครั้งเดียวอยู่จะแพ้บ้าง (ผมก็เป็นภูมิแพ้บางอย่าง เป็นหวัดง่ายด้วย แต่กับยายังไม่เคย) มันก็พอถูไถ จะแพ้บ้างครั้งเดียวในชีวิตก็ยังพอทน

แต่ถ้าต้องฉีดอยู่เรื่อยๆ เช่น5ปี ฉีดทีนึง หรือเป็นทีก็ไปฉีดทีระบาดทีก็ไปฉีดทีเหมือนพวกยาฉีดแก้ไข้ อันนี้น่าจะต้องคิดหนักมากหน่อย

ตรงนี้ตัวผู้ผลิตยา+นักข่าว ก็ยังประชาสัมพันธ์น้อย อย่างน้อยถ้าต้องรอเวลาทดลอง บอกหน่อยก็ได้ว่าเรื่องพวกนี้ยังไม่ชัวร์