มีท่านไหนเปิดบ้างครับ รายได้ เวิร์คมั้ย

เป็นงานประจำ หรือ งานเสริม

และท่านอื่นๆ คิดว่ามีอะไรที่ขาดหาย อยากเสนอแนะกันมั้ยครับ

เผื่อข้อมูลจะเป็นประโยชน์ กับ คนอื่นๆ ที่มีความสนใจ

ปล.ผมยังงงๆ กับ ค่าส่งใน Lineman ว่าทำไมร้านใกล้ๆกัน แต่ค่าส่งไม่เท่ากัน ไม่รู้ต้องมีเสียอะไรให้ Lineman เพิ่มเปล่า

ปีนี้ ในหมู่บ้านผม มีบ้านที่ เปิดร้านขายขนม(รังผึ้ง) กับ ร้านอาหารอีสาน(ยำ) แบบ food delivery

เท่าที่สังเกต ขายดีทั้ง 2 ร้าน เลยนะครับ

สังเกต จาก รถมอไซค์ ที่มารับของไปให้ลูกค้า เข้า ออก ทั้งวัน

ถ้ามีเวลา มีคนทำ แนะนำ ลงมือทำเลยครับ

เท่าที่ขายในไลน์แมนเป็นงานอดิเรกนะครับ มันแบ่งเป็นประมาณนี้

1. ลงร้านแบบปกติ คือ ไม่เข้าแคมเปญอะไรเลย ร้านเราก็จะอยู่ใน lineman แหละ แต่เวลาลูกค้าซื้อ ค่าส่งจะเป็นแบบปกติคือคิดตามระยะทาง ซึ่งค่าส่งจะแพงมากประมาณ 50+ ลูกค้าจะไม่ค่อยซื้อเพราะค่าส่งแพง

2. ลงแบบเข้าแคมเปญส่งฟรี หรือ ค่าส่งฟรี หรือ 10 / 20 บาท ประมาณนี้ *แต่ทาง Lineman จะหักค่าคอมจากเราประมาณ 30 % ไม่รวมVatอีกมั้ง แต่แลกกับการที่ร้านค้าเราเข้าไปอยู่ในหมวดค่าส่งฟรี ซึ่งจากประสบการณ์การกิน ผมก็จะเข้าหมวดนี้หมวดแรกละ เพราะรู้สึกประหยัดค่าส่งไปเยอะ ฉะนั้นร้านค้าจะต้อง + ราคาค่าอาหารเข้าไปอีก เผื่อให้กำไรยังคงอยู่

3. แบบเสียค่าโฆษณาให้ทาง lineman มีหลายแพ็คเกจตั้งแต่ หลักพัน-หมื่น อันนี้ไม่เคยใช้บริการนะเลยไม่แน่ใจว่าได้อะไรมาบ้าง แต่เท่าที่เห็นคือ ร้านแบบนี้จะขึ้นเป็นร้านแนะนำโพล่มาเห็นลูกค้าเห็นเรื่อยๆ ระหว่างลูกค้าเลือกร้านอาหาร

** ส่วนตัวขายขนมจีนในคอนโด ปกติขาย ชุดละ 50 ขาย lineman ก็ต้องขายไป 65 เพื่อจะได้ไปอยู่ในแคมเปญส่งฟรี ผมมองว่าถ้าแบบปกติไม่เสียให้ linemanเลย ต้องเป็นร้านที่คนรู้จักและขายดีอยู่แล้ว ไม่งั้นโอกาสคนที่จะซื้อน้อยมากจริงๆ

ตามด้วยคนครับ ผมกำลังเรียนชงกาปฟและชงน้ำต่างๆว่าจะลองเปิด delivery เหมือนกัน
ทำเสริมจากงานประจำ

ผมเคยเปิดร้านขายในแอพ foodpanda ครับ ขายแค่หลังเลิกงาน(4 ชม.) โดนแพนด้าหักไป 34.2% (รวม vat. แล้ว) ตอนนั้นยอดขายวันนึงเฉลี่ย 2,500 บาท (ประมาน 20-30 ออเดอร์ต่อวัน) ลองมาคิดหักต้นทุนกับ หัก % ของแพนด้าแล้ว ได้กำไรประมาณวันละ 300 ก็โอเคอยู่ครับ เพราะขายไม่นานและไม่มีหน้าร้าน ถือว่าทำเป็นงานอดิเรกไป แต่ตอนนี้คิดจะมาเปิดขายจริงจังแบบมีหน้าร้านแล้วครับ

เพิ่มเติมให้ครับ พอดีลงขายกับทาง Lineman อยู่ครับ

1. ลงแบบปกติ ร้านเราแทบจะไม่ขึ้นให้เห็นในแอพเลยถ้าลูกค้าไม่ค้นหาชื่อร้าน ค่าส่งที่ลูกค้าต้องจ่ายเริ่มต้นที่ 55บาท กิโลต่อไปกิโลละ 9บาทครับ ซึ่งถือว่าแพงมาก แต่เราไม่ต้องเสียค่าบริการใดๆให้กับทาง Lineman

2. สมัครเป็นพาร์ทเนอร์ (GP) เสียค่ามัดจำ 1,000บาท (ได้คืนเมื่อยกเลิก) จะเพิ่มการมองเห็นของร้านเราครับ ถ้าลูกค้ากดหาร้านใกล้เคียง+หมวดหมู่ตรงกับที่เราตั้งไว้ ร้านเราก็จะเด้งมาอยู่อันดับแรกๆ(ต่อจากร้านที่ลงโฆษณา)เลยขึ้นอยู่กับระยะทาง แลกกับการโดนหัก 30%(รวม vat เป็น 32.1%)ของยอดขายครับ ส่วนค่าส่งจะฟรี 3กม.แรก กิโลต่อๆไปก็ถูกลงกว่าปกติครับ

3. อันนี้ยังไม่เคยลงโฆษณาเองนะครับ แต่เคยสอบถามไป ราคาอยู่ที่ 9,900/เดือน สิ่งที่ได้คือเมื่อลูกค้าเซิร์ชหาอะไรสักอย่างแล้วมันตรงหรือใกล้เคียงกับร้านเรา ร้านเราก็จะเด้งขึ้นมาให้เห็นอันดับแรกๆเลย รายละเอียดๆอื่นๆยังไม่แน่ใจครับเพราะยังไม่เคยลองสมัครครับ

สอบถามหน่อยครับ ไม่มีหน้าร้านลง Foodpanda ได้ใช่มั้ยครับ?

พอดีผมลงขายเป็นเดลิเวรี่อย่างเดียว ลงไปหลายแอพแล้ว แต่พอจะสมัคร Foodpanda เห็นเค้าเขียนไว้ว่าต้องมีหน้าร้าน แถมราคาขายออนไลน์กับราคาหน้าร้านต้องเป็นราคาเดียวกันด้วย ก็เลยงงๆว่าต้องยังไงกัน

เราสามารถทำเป็น home cooking ได้ครับ ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน ส่วนเรื่องราคา ผมก็เห็นหลายเจ้าอัพราคาอยู่นะ อย่างเช่นอาหารตามสั่ง หน้าร้านขายจานละ 40 แต่ในแอพขาย 50 ท่านต้องคุยกับเซลล์อะครับ เค้าจะมีข้อแนะนำให้

อ่อ ครับผม ขอบคุณครับ

กระทู้นี้มีประโยชน์มาก

ผมก็กำลังสนใจจะทำอยู่เลยครับ ยังติดสินใจไม่ได้เลย จะทำเป็นแนวไหนขายดี มีแนะนำกันไหมครับ ปกติสั่งอะไรกินกันบ่อยๆครับ

ในยุคปัจจุบัน หากมีร้านอาหาร แนะนำให้ลงแอพ food,grab,line อื่นๆ และ ลงคนละครึ่งด้วย

ผมสังเกตมา

ผมแนะนำว่าอย่าขายอาหารตามสั่งหรือพวกน้ำชาเย็น โกโก้อะไรพวกนี้ครับ เพราะคู่แข่งเยอะ นอกจากว่าท่านจะมั่นใจฝีมือรสชาติจริงๆ และปริมาณในกล่องกำลังดี ห้ามให้น้อย เพราะคะแนนรีวิวมีส่วนในการตัดสินใจครับ หรือไม่ก็พยายามทำอาหารให้หลากหลาย ที่ผมสังเกตร้านที่ขายเมนูหลากหลายอะ แบบไม่เหมือนใคร จะขายดีถึงแม้จะเปิดทีหลัง แล้วก็ขายน้ำไปด้วยเลยก็ดีครับ เพราะเวลาลูกค้าสั่ง จะสั่งน้ำพ่วงมาด้วย

ส่วนจะขายอะไรนั้น ผมมองว่าท่านควรจะดูประเภทอาหารที่มีคู่แข่งน้อยดีกว่าในจังหวัดของท่าน

มีประโยชน์สำหรับคนจะเอาไปต่อยอด ขอบคุณฮะ