[RE: ถ้าหมอบี ทูตสื่อวิญญาณเห็นผีจริงๆ]
namoputtaya พิมพ์ว่า:
momozee11 พิมพ์ว่า:
namoputtaya พิมพ์ว่า:
momozee11 พิมพ์ว่า:
namoputtaya พิมพ์ว่า:
ผมไม่รู้จักหมอบีนะ
แต่ดูจากความเห็นของฝ่ายที่ไม่เชื่อเรื่องผีสาง มักจะมีทิฏฐิของตัวเอง เป็นอคติที่แบบว่าเจอเรื่องพวกนี้กุต้องไม่เชื่อไว้ก่อน แล้วหาเหตุผลมาซัพพอตความไม่เชื่อ
ส่วนตัวไม่ 50/50 อะไรที่เราไม่เคยสัมผัสมันอาจจะมีอยู่หรือไม่มีอยู่ก็ได้
ตรงกันข้ามเลยครับ ก็เพราะว่าไม่เคยเจอก็เลยไม่เชื่อไงครับ มันง่ายแค่นี้เลย สมัยก่อนเคยเจอคนเถียงกันเรื่องพิสูจน์ผีในเว็บม่วง
คนไม่เชื่อ เขาไม่เชื่อก็เพราะเขาไม่เคยเจอด้วยตาตัวเอง เขาเลยต้องท้าให้คนเชื่อหาหลักฐานมาแสดงว่ามีจริงๆ มันควรจะเป็นแบบนี้
แต่ตรรกะส่วนใหญ่ที่ผมเคยเจอมันกลายเป็นว่า คนเชื่อให้คนไม่เชื่อไปหาหลักฐานมาว่าผีไม่มีจริง อ่านแล้วกุมหัวเลย ก็เขาไม่เชื่อว่ามีจริง เขาจะไปหาหลักฐานมาจากไหน
คนไม่เชื่อเขาไม่ต้องไปหาเหตุผลมาซัพเลยครับ เหตุผลมันก็แค่เขาไม่เคยเจอ ถ้าคนเชื่อไปหาหลักฐานหรือพาคนไม่เชื่อไปเจอได้ อันนี้ค่อยว่ากัน หรือไม่ก็คนไม่เชื่อเจอด้วยตาตัวเอง แบบนี้ยังไงก็เชื่อครับ
ส่วนตัวผมไม่เชื่อเพราะสมัยก่อนเคยเชื่อแล้วกลัว พอเริ่มท้า เริ่มทำใจกล้า พอไม่เจอก็เลิกกลัวไปเอง ผมกล้าท้านะ แต่ก็ไม่เคยเจอซักที
แบบนี้ไม่ถูกหรอกครับ ไม่ใช่แนวคิดวิทยาศาสตร์ ถ้าเรื่องไหนที่ยังพิสูจน์ไม่ได้คุณไปบอกเต็มที่เลยว่าไม่เชื่อ คุณก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าสิ่งนั้นมีอยู่จริงไม่จริง การสงสัยว่าสิ่งนั้นมีอยู่หรือไม่มีอยู่ มองความเป็นไปได้ และหาวิธีพิสูจน์จึงเป็นmindsetของนักวิทยาศาสตร์ ถ้านักวิทยาศาสตร์เชื่อแต่แรกว่าสิ่งนั้นไม่มีก็คงไม่มีการพัฒนาพิสูจน์สิ่งต่างๆมากมายหรอกครับ อย่างเช่นกัมมันตรังสีสมัยก่อนคนยังไม่เชื่อเลยว่ามีอยู่จริง แต่มีคนสงสัยว่ามีอยู่จนหาวิธีพิสูจน์จนได้ความจริง
ที่ผมจะสื่อก็คือ ตรรกะที่ว่า ไม่เคยเห็น=ไม่มีอยู่จริง=ไม่เชื่อ มันเป็นตรรกะที่ตื้นเขินมากๆ มันเหมือนกับคุณเกิดมาตาบอดแล้วคุณก็บอกว่าไม่เชื่อว่าบนท้องฟ้ามีดวงดาว มีพระอาทิตย์ มีพระจันทร์ เพราะคุณไม่เคยเห็น มันเป็น mindset ที่แคบแล้วก็ปิดกั้นตัวเองมาก
ก็เพราะมันไม่มีอยู่ไงครับเลยต้องพิสูจน์ ปัจจุบันพิสูจน์มากี่พันปีแล้วครับเรื่องผีอะ
คนไม่เชื่อก็เพราะเขาไม่เคยเห็น เขาก็ไม่เชื่อ เกี่ยวไรกับคนตาบอด อันนี้คนทั่วไปมีร่างกายครบเหมือนคนทั่วไป
เรื่องแนวนี้คนที่ต้องพยายามพิสูจน์อะ คือคนที่จะเปลี่ยนความคิดของคนที่ไม่เชื่อ อีกฝั่งไม่เชื่อ คุณมีหลักฐานอะไรให้เขาเชื่ออะ อย่างโลกกลมโลกแบน ฝั่งเชื่อเขามีหลักฐาน มีภาพ มีวิดีโอ มีข้อโต้แย้ง ทำให้คนเชื่อว่าโลกแบนเถียงไม่ออกแม้แต่นิด
แล้วเรื่องพิสูจน์ คนไม่เชื่อเขาไปพิสูจน์มาเยอะแยะแล้วครับ บ้านร้างเฮี้ยน มีคนตายนั่นนี่ มีคนเคยไปลองของเจอดีนั่นนี่ ปัจจุบันคนที่ไปท้าแบบลบหลู่ก็ยังมีชีวิตสุขสบายดี
ไม่ว่าจะสิ่งไหน ต่อให้ไม่เคยเห็น แต่ถ้ามันมีเหตุผลมารองรับมากพอ ยังไงคนก็เชื่อ แต่ที่คนไม่เชื่อเพราะมันไม่สมเหตุสมผล
ทำไมคนที่ตั้งไจไปลบหลู่ไปท้าถึงไม่เจอหรอครับ ทำไมคนที่กลัวมากๆไม่กล้าลบหลู่ถึงเจอบ่อยจัง
Spoil
มันก็ง่ายๆเลย ฝ่ายนึงกลัวจนสร้างภาพหลอนไปเอง อีกฝั่งไม่กลัวไม่คิดว่ามีอยู่จริงเลยไม่เจออะไร
จะมาบอกว่าปิดกั้นตัวเองมันใช่หรอครับ ผมไม่ได้ปิดหรอกเรื่องนี้ ถ้าในอนาคตมีหลักฐานมีข้อมูลน่าเชื่อถือออกมาผมจะเชื่อเลย แต่ปัจจุบันมันมีหรอครับ
ทฤษฎีที่ยังไม่พิสูจน์ไม่ควรยกมาบอกว่าคือเรื่องจริง ตรรกะง่ายๆเลย นรกสวรรค์มีจริงหรือไม่?? ทุกวันนี้ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ดังนั้นถ้ามีคนมานั่งเถียงเป็นจริงเป็นจังว่า นรกสวรรค์มีจริงๆนะ มันใช่หรอครับ ก็ในเมื่อมันยังไม่มีหลักฐาน ข้อพิสูจน์อะไรเลย คนที่มาบอกว่าไม่เชื่อกลายเป็นโลกแคบและปิดกั้นเลยหรอครับ
คนที่โลกแคบและปิดกั้นควรจะเป็นคนที่ต่อให้มีหลักฐานข้อพิสูจน์แล้วก็ยังไม่เชื่อ เช่นพวกเชื่อว่าโลกแบนตอนนี้ หลักฐานครบ แต่ก็ยังเชื่อว่าโลกแบน แบบนี้นี่แหละคือปิดกั้น
แต่คนที่ไม่เชื่อว่าผีมีจริงกลายเป็นโลกแคบเพียงเพราะเขาไม่เคยเจอ และก็ไม่มีหลักฐานข้อพิสูจน์ซักอย่างว่ามีจริง มันใช่หรอครับ ผมว่าคนโลกแคบอะคุณมากกว่า ไปตีกรอบให้อีกฝั่งเฉยเลย
ไม่ได้บอกให้เชื่อนะครับ แต่ให้มองว่าอย่าปักใจเชื่อร้อยเปอเซ็นต์ว่ามันไม่มีอยู่จริง เพราะการเทไปอีกฝั่งตีว่าสิ่งนี้ไม่จริงเป็นความงมงาย มันก็คือความงมงายในความไม่เชื่อ ถ้าคุณสงสัยว่ามันจริงหรือไม่จริงก็แค่ตั้งสมมติฐาน มองหาความเป็นไปได้ และไอการที่บอกว่าพิสูจน์มาเป็นพันปีพิสูจน์ยังไงหรอครับ คุณนั่นแหละโลกแคบ
และต้องพิสูจน์ยังไงหรอครับ
"ผีตัวนี้เฮี้ยนมาก" "สถานที่นี้เฮี้ยนมากใครไปกลับมาไม่ปกติซักคน" "อย่าไปลบหลู่นะเดี๋ยวจะเจอดี" "ตำนานที่นั่นอย่างงั้นอย่างงี้"
ผ่านการพิสูจน์มานับครั้งไม่ถ้วน เจออะไรเป็นชิ้นเป็นอันไหม ก็ไม่
แล้วจะให้พิสูจน์ยังไง คนที่คิดว่ามีอะต้องบอกว่าต้องให้ทำอะไร ไปเจอมาแบบไหน ทำไมเขาทำแล้วไม่เจอ ที่เจออะมีหลักฐานหรือเปล่าว่าจริงๆ มั่นใจแค่ไหน
ผีผมก็เจอบ่อยในฝัน เจอจนเบื่อ พอเลิกเชื่อเรื่องแนวนี้ก็ไม่เจออีกเลย ยิ่งมารู้จัก Lucid dream แล้ว ฝันกลายเป็นความคิดไปหมดละ
อ้างอิงจาก:
ไม่ได้บอกให้เชื่อนะครับ แต่ให้มองว่าอย่าปักใจเชื่อร้อยเปอเซ็นต์ว่ามันไม่มีอยู่จริง เพราะการเทไปอีกฝั่งตีว่าสิ่งนี้ไม่จริงเป็นความงมงาย มันก็คือความงมงายในความไม่เชื่อ ถ้าคุณสงสัยว่ามันจริงหรือไม่จริงก็แค่ตั้งสมมติฐาน มองหาความเป็นไปได้
ตลกดี งมงายในความไม่เชื่อ ไม่เชื่อเรื่องที่ไม่เคยมีการพิสูจน์เจอ ไม่เชื่อเรื่องที่ไม่มีหลักฐานมีแต่คำบอกเล่ากลายเป็นงมงายเฉย
พระพุทธเจ้าเดินได้ 7 ก้าว อันนี้ถ้าไม่เชื่อก็คืองมงายในความไม่เชื่อปะครับ
พระเจ้าแยกน้ำแยกแผ่นดิน อันนี้ถ้าไม่เชื่อก็คืองมงายในความไม่เชื่อปะครับ
นรกสวรรค์ อันนี้ถ้าไม่เชื่อก็คืองมงายในความไม่เชื่อปะครับ
เวรกรรม อันนี้ถ้าไม่เชื่อก็คืองมงายในความไม่เชื่อปะครับ
วิชาคาถา อันนี้ถ้าไม่เชื่อก็คืองมงายในความไม่เชื่อปะครับ
"และไอการที่บอกว่าพิสูจน์มาเป็นพันปีพิสูจน์ยังไงหรอครับ คุณนั่นแหละโลกแคบ"
เก่งจริงๆกับการด่าคนอื่นว่าโลกแคบ แต่พอเจอสวนกลับดันรับไม่ได้
https://theconversation.com/victorian-scientists-thought-theyd-found-an-explanation-for-ghosts-but-the-public-didnt-want-to-hear-it-126153
ต่างประเทศเขามีพิสูจน์ตำนานของเขาเรื่อง Ouija พลังจิต
และก็การเจอผีผมกลัวแปลผิด ขอยกมาเลยแล้วกัน
อ้างอิงจาก:
These pioneering physicians interpreted sightings of ghosts not as external entities, but as the product of glitches in the brain or “afterimages” from overstimulated optical nerves. For such theorists, the supernatural originated in the darkest recesses of the mind, with all its self delusions.
หัวข้อลิงค์ที่ผมยกมาคือนักวิทยาศาสตร์พิสูจน์ไปแล้ว แต่ไม่มีใครอยากได้ยินเรื่องนี้
ช่วงปี 1850 เป็นช่วงที่เรื่องการคุยกับผีเริ่มดัง เขาพิสูจน์มาทุกยุคครับไม่ต้องห่วง
เข้า Google บ้างครับ อย่ามัวแต่หาว่าคนอื่นโลกแคบถ้าตัวเองยังหาข้อมูลไม่ได้ แบบคุณนี่แหละงมงายของแท้ ถ้าผมงมงายในความไม่เชื่อคงไม่ต้องไปนั่งหาข้อมูล
ขอยกเม้นจากเว็บม่วงในตำนานมาหน่อย
อ้างอิงจาก:
...มองแบบมุมกลับ
คนที่เชื่อว่าผีมีจริงเนี่ย ทำไมถึงไม่มีใครกล้าพอที่จะพิสูจน์ว่าผีมีอยู่จริงล่ะ ???
มันไม่ใช่วิทยาศาสตร์หรอกนะที่จะให้ฝ่ายที่เชื่อว่าไม่มีเป็นผู้พิสูจน์
ถ้าเป็นทางวิทยาศาสตร์ ต้องฝ่ายที่เชื่อว่ามี ฝ่ายที่นำเสนอทฤษฎีนั้นต่างหากที่ต้องเป็นผู้พิสูจน์ว่าสิ่งนั้นมีอยู่จริง
เพราะหากมันไม่มีอยู่จริง พิสูจน์ให้ตายยังไงก็ยืนยันไม่ได้ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง ดังนั้นเป็นการกระทำที่เสียเปล่า
และคนที่อยู่ฝ่ายเชื่อว่าไม่มี ไม่ได้ประโยชน์อะไรหรอกนะกับการที่พิสูจน์ว่าสิ่งนั้นไม่มีอยู่จริง
กลับกันคนที่อยู่ฝ่ายเชื่อว่ามีต่างหากที่จะได้ประโยชน์เต็ม ๆ กับการพิสูจน์ว่าสิ่งนั้นมีอยู่จริง
ดังนั้นอย่าเห็นแก่ตัว อย่าขโมยน้ำพักน้ำแรงของคนอื่นเพื่อได้ประโยชน์ในสิ่งที่ต้องการแต่ฝ่ายเดียว
ในเมื่อเชื่อว่ามันมีอยู่จริงก็สมควรเป็นผู้ที่จะลงมือพิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่ามันมีอยู่จริง อย่าไปยืมมือคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ของตน
แน่นอน... จะให้คนที่เชื่อว่ามีพิสูจน์ว่าไม่มีมันคงใช่เรื่องใช่ไหม ?
ดังคนที่ไม่เชื่อว่ามีก็คงไม่ควรจะต้องไปพิสูจน์ว่ามันมีด้วยเช่นกัน