ดูดพวกเชื้อชาติเก่งๆไปหมดเลยครับ พวกยิว พวกเยอรมันนี้ อพยพไปเมาเยอะมากๆ แล้วก็ไม่ได้กีดกันเชื้อชาติด้วย

"คน"ครับ ประเทศนี้ค่อนข้างซับซ้อนมากๆใครไม่น่าrespectจริงนี่เป็นผู้นำไม้ได้เลยมั้งช่วงแรกๆตอนก่อตั้ง อีกอน่างคือพอฝ่ายเหนือชนะการกีดกันเชื้อชาติน้อยลงผู้คนเบื่อโลกเดิมไปแสวงหาทางใหม่เยอะ ความหลากหลายเยอะ

การเมืองโลกมันลงล็อคต่อประเทศเค้าพอดี ไม่นับกลุ่มอำนาจเก่า อังกฤษ ฝรั่งเศส ประเทศที่เก่งๆก็แพ้เค้าหมด เยอรมัน ญี่ปุ่น เหมือนนวัตกรรมแข่งกันเองในประเทศพอดีก็ค่อยส่งออก ความเป็นเบอร์ 1 ในโลกเป็นอำนาจต่อรองของประเทศเค้าแหละ ปัจจุบัน จีน แหละที่คิดว่าไกลเคียงที่สุด แต่จีนจะยิ่งใหญ่ไปได้นานแค่ไหน เหมือนรู้สึกตอนนี้พี่สีอำนาจล้นฟ้าเหลือเกิน กลายเป็นจักรพรรดิสี

หลายปัจจัยหลักครับแต่ 1 ในนั้นคือวัฒนธรรมเรื่อง freedom/individualism (ความเป็นอิสระ/ปัจเจกนิยม) และ self-reliance (การพึ่งพาตนเอง) ที่เป็นจุดประสงค์หลักของการอพยพคนเข้าไปในยุคแรกและก่อตั้งประเทศเลย

เป็นประเทศพัฒนาแล้วที่ใหญ่ที่สุด มีทั้งทรัพยากรและประชากรคุณภาพเยอะมาก แถมมีแต่คนเก่งๆย้ายเข้ามา

น่าเสียดายที่สลิ่มจะไม่ใช่แบรนด์พวกนี้

ผมจะลิสต์เป็นข้อๆที่นึกออกละกันนะ

1. อเมริกาโฆษณาตัวเองว่าเป็นดินแดนแห่งโอกาส the land of opportunity ประเทศมีเงินทุนมหาศาล มีทุนการศึกษามากมาย มีโครงการ work & travel และมีความได้เปรียบทางด้านค่าเงิน ทำให้คนอยากเดินทางมาเรียนต่อที่อเมริกา จบกลับไปประเทศก็ดูดีหางานดีๆได้หรือถ้าเก่งมากเผลอๆก็ได้ทำงานที่อเมริกาเลย ทีนี้มันเลยมันสมองของคนหลายเชื้อชาติมาที่อเมริกา ยิ่งถ้าเกี่ยวกับเทคโนโลยีและวิศวกรรม MIT คือ no.1 ของมหาลัยโลก อีกอย่างนึงมันก็มีสิ่งที่ทำให้สมองไหลมาที่อเมริกาแต่ไม่ไปที่อื่นเท่าไหร่ นั่นคือ soft power

2. Soft Power หรือ พวกพลังของสื่อ ภาษา ไม่ว่าจะหนังฮอลลีวูด เพลง pop culture ที่คนทั่วโลกก็ฟังและอินกับมันได้ หรือแม้กระทั่งการให้ทุนก็เป็นส่วนหนึ่งของพลังนี้ ถามว่ามันเกี่ยวกันยังไง? มันทำให้เราคุ้นชินกับความเป็นอเมริกามากขึ้น เห็นด้านที่ดีๆของอเมริกา คุ้นเคยกับภาษาอังกฤษ ทำให้คนมีความรู้สึกอเมริกานี่เป็นประเทศที่เจริญ ส่วนเด็กที่ได้ทุน คุณก็มาเรียนมาซึมซับความรู้กับแนวคิดต่างๆเป็นเวลาหลายปีมันก็มีแนวโน้มว่าคุณจะโปรอเมริกามากขึ้น ในขณะที่เมื่อเทียบกับจีนแล้ว หรือรัสเซีย ทำไมคนถึงไปที่นั่นไม่เยอะเท่า ก็เพราะว่า Soft Power ของจีนกับรัสเซียยังไม่แข็งแรงพอ ภาพลักษณ์หรือความเท่ ความเฟี้ยว ของประเทศพวกนี้ยังไม่เท่า และติดเรื่อวกำแพงภาษาด้ว ไม่เชื่อลองถามตัวเองดูว่าสมมติคุณได้ทุนเปล่าเรียนฟรีเลย เลือกได้ 3 ประเทศ อเมริกา จีน รัสเซีย อยากไปที่ไหน? และพลังอำนาจในการที่ทำให้คุณรู้สึกว่าสิ่งๆหนึ่งมันเจ๋งโดยที่ไม่ต้องมีใครมาบอก มาบังคับคุณ นี่แหละคือความสุดยอดและน่ากลัวของ Soft Power (hint ลองมองประเทศตัวเองดูว่ามีอะไรที่คล้ายๆกันมั้ย แต่ตอนนี้เริ่มไม่ค่อยเนียนระ )

3. ทุนนิยม อเมริกาเป็นประเทศที่แข่งขันกันสูงมาก เน้นแนวคิดใครทำคนนั้นก็สมควรได้รับ สนับสนุนนักธุรกิจและนวัตกรรมใหม่ๆ ทำให้คนอยากคิดอะไรใหม่ๆเพราะอยากรวย แต่ก็มีปัญหาที่โดนวิจารณ์เหมือนกันคือความเหลื่อมล้ำที่ตามมา เพราะคนที่คิดอะไรใหม่ๆได้ก็จะรวยมากๆเลย แต่คนที่อาจจะเป็นคนธรรมดา หรือเติบโตมาไม่ได้มีต้นทุนสูงก็จะเป็นผู้แพ้ อยู่อย่างจนๆกันไปตามความสามารถที่ตัวเองทำได้

ส่วนทำไมประเทศที่มีการศึกษาดีมากอันต้นๆของโลกพวกสวีเดน นอร์เวย์ แต่เทคโนโลยีไม่เท่า พวกนี้อาจจะด้วยขนาดของประเทศและประชากรที่น้อยด้วยแหละครับ ประชากรเขาน้อยกว่าไทยเราอีก ประมาณ 10 ล้าน บางประเทศไม่ถึง 10 แต่เมกามีประชากร 300 ล้านอะครับ จำนวนคนเก่งที่ทำงานให้ก็ย่อมมีน้อยกว่าเมกาเป็นธรรมดา

ขายอาวุธนี้แทบไม่ได้อะไรเยอะเลยเยอะเลยครับ

ไม่ถึง 0.5% ของ GDP ของอเมริกาทั้งหมดด้วยซ้ำ

ผมหมายถึงความเป็นมา ที่ทำให้ยิ่งใหญ่จนถึงปัจจุบัน ที่ทำให้มีเงินทุนในการทำวิจัยต่างๆ จนทำให้เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี
และผู้นำด้านอื่นๆ ด้วยเงินทุน ณ ตอนนั้น จนทำให้มีวันนี้ครับ

ตอนนี้อาวุธไม่ได้เป็นที่ต้องการมากแล้ว ถ้าเทียบกับสิ่งอื่นๆ

1.มีคนเก่งเยอะตั้งแต่ชาวยุโรปอพยพ

2.ประเทศมีพื้นที่ใหญ่ไม่ว่าแต่ใช้ประโยชน์ได้เกือบทุกตารางนิ้ว

3.พื้นที่ทางทะเลเยอะ แถมมีทรัพยากรน้ำมันกับก๊าซธรรมชาติมีมาก

4.เมื่อมีพวกนี้เยอะก็นำไปสร้างความมั่งคั่งได้

5.ประชากรมีสิทธิ์มีเสียงสูงของประเทศ แถมมีคุณภาพ ถึงไม่มีคุณภาะเยอะด้วย

หลังWW2 ได้เปรียบเรื่องเงินตราสำรองต่างประเทศลอยตัวเหนือประเทศอื่นจากการเป็นผู้ชนะสงคราม มีสกุลเงินดอลลาร์เป็นตัวกลางแทรกซึมแทบทุกสินค้าบนโลก บวกเปิดเสรีภาพ มีกฏมายที่เอาจริงเอาจัง จะพัฒนาไปในรูปแบบใดมันก็ง่ายขึ้น ไม่มีตัวถ่วงคอยผูกขาด ประชากรจึงแย่งกันแข่งขันพัฒนา

ความเป็นมาของอเมริกา ประเทศนี้เป็นมหาอำนาจตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 ด้วยครับ รวยก่อนขายอาวุธอีกครับ

เพียงแต่ไม่ได้แผ่อิทธิพลแบบอังกฤษกับฝรั่งเศสในยุคล่าอาณานิคมครับ จำไม่ได้แล้วว่านโยบายอะไรถึงไม่ทำแบบอังกฤษ ฝรั่งเศส มาสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็อยู่เป็นกลาง ทำเป็นเสือซุ่ม แต่ก่อนนิวเคลียร์จะลงเขาก็รู้อยู่แล้วละครับว่าตอนนั้นอเมริกามีกองกำลังทหารแข็งแกร่ง ทรัพยากรพร้อม รวมทั้งยุทโธปกรณ์ แต่พอจัดนิวเคลียร์ก็เลยแสดงให้เห็นว่านอกจากมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ก็โชว์อำนาจทางกองทัพครับว่าคือมหาอำนาจทางทหารด้วยคู่กับโซเวียตแทนที่ อังกฤษ ฝรั่งเศสส

อาวุธนี้แทบไม่ใช่สาเหตุรองด้วยซ้ำครับที่ขายจนเป็นมหาอำนาจทั้งทางเศรษฐกิจครับ

แต่เทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ยกตัวอย่างมาใช่ครับ รวมทั้งทรัพยากรที่อเมริกาม ที่ทำให้อเมริการวยอันนี้ใช้ครับ

สภาพภูมิศาสตร์ อเมริกาดีที่สุดในโลกเลยครับ มีแทบจะทุกสภาพภูมิอากาศ

ซึ่งจริงๆก็คล้ายๆจีน แต่ที่เหนือกว่าจีนคือ ติดมหาสมุทรทั้ง 2 ฝั่งครับ

ในยุคศตวรรศ 19-20 การเดินเรือนั้นสำคัญกับการค้า ทำให้อเมริกามั่งคั่งขึ้นมาเป็นผู้นำโลกแทนอังกฤษ

อีกอย่างคือ หากเทียบกับจีนแล้ว จีนจะมีจุดอ่อนอยู่ที่ความเจริญประชากรกระจุกตัวอยู่ที่ฝั่งตะวันออก

แต่อเมริกา จะอยู่ทั้ง 2 ฝั่ง จะมีแค่ทางเหนือตอนกลาง ที่ค่อนข้างกันดาร แต่ก็เข้าถึงง่ายกว่าทางตะวันตกของจีน


อีกเรื่องที่ผมสังเกต ในแง่ของเศรษฐกิจ อเมริกามีการบริโภคขนาดใหญ่ในประเทศสูงมาก

ด้วยความที่ในประเทศมีถึง 50+ รัฐ แต่ละรัฐนี่สเกลสามารถนับเป็น 1 ประเทศได้เลย

เท่ากับว่า มีห้าสิบกว่าประเทศ ที่สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนทรัพยากร สินค้า และคน ได้อย่างเสรีโดยไม่มีกำแพง

แต่ที่ไม่นับเป็นประเทศ เพราะอำนาจอธิปไตยของรัฐนั้น ยังอยู่ภายใต้ รธน ของสหรัฐฯ

เพราะว่า
1.เมกา มีประมุข คือ ปธน.
2.เมกา ไม่มีทหารทำรัฐประหาร
3.เมกา มีพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง
4.เมกา ไม่มีคนโง่มาบริหารประเทศ
5.เมกา มีคนแบบพิมรี่พาย มากกว่าสลิ่ม

1. ผมว่ามันเริ่มตั้งแต่การสร้างประเทศแล้วหละครับ
คนที่ไม่พอใจอำนาจการเมือง อำนาจกษัตริย์ในยุโรป แต่มีความสามารถ ก็ย้ายไปอเมริกา
รวมถึงนักแสวงหาโอกาสต่างๆ ก็ไปรวมตัวกันที่เมกา ทำให้มีแต่คนเก่งๆ คนขยันๆมากมาย
ยุโรปก็พยายามจะแผ่อำนาจไป แต่สุดท้ายฝั่งเมกาก็รบจนชนะ และก่อตั้งประเทศมาได้

2. จากนั้นเกิดสงครามโลก คนก็อยากหนีจากยุโรป หลายคนก็ต้องหนีไปเมกา
ซึ่งก็รวมไปถึงคนเก่งๆในยุโรป ทั้งยิวที่ฉลาดมากต้องหนีตายเพราะจะถูกฮิตเลอร์ฆ่า ก็ต้องหนีตายไป

3. ประเทศคู่แข่งอย่างยุโรป ก็ทำสงครามกันหนัก รวมถึงญี่ปุ่น ส่วนจีนไม่ต้องพูดถึงประเทศกำลังพังยับ
เมกาก็ขายอาวุธ ซัพพลายคนอื่นไป ในขณะที่ตัวเองแทบไม่มีบาดแผล
จนญี่ปุ่นห้าวไปรบกับเมกา เสือใหญ่มันเลยจำเป็นต้องตื่นมาสู้ สรุปคือชนะด้วย

4. หลังจากชนะสงคราม ภายนอกประเทศเมกาก็แผ่อิทธิพลไปเยอะมาก เนื่องจากทำสงครามเย็นกับรัสเซียด้วย
ส่วนในประเทศ ก็ใช้ระบบทุนนิยมเต็มรูปแบบ ทำให้เกิดการแข่งขันเสรี คนเก่งก็เจริญตามๆกันไป
รวมถึงระบบการศึกษาที่ยอดเยี่ยมด้วย ทำให้ประชากรมีคุณภาพสูง
ในขณะที่ก็รับคนเก่งๆ คนอพยพจากภายนอกเข้ามาเรื่อยๆด้วย ซึ่งคนเก่งๆก็อยากมา เพราะประเทศสงบและเจริญ

5. ทำให้ประชากรเมกา มากเป็นอันดับต้นๆของโลกเหมือนกัน ด้วยประเทศใหญ่และคนเยอะ
ก็เป็นอีกเหตุผลนึงที่ประเทศเจริญเหมือนกัน ถ้าคนส่วนนึงคิดอะไรดีดีได้ มันก็ต่อยอดได้เยอะ

6. มีการสนับสนุนคนเก่งตลอด มีโปรเจคช่วยเหลือ อัดฉีดเงินในภาคเศรษฐกิจสม่ำเสมอ
รวมถึงภาคธนาคาร ก็มีการลงทุนในธุรกิจ tech start-up มานานแล้ว เช่น Morgan Stanley
ที่ลงทุนในบริษัทของเอดิสันที่ทำหลอดไฟ หรือโปรเจครถ เครื่องบิน พวกนี้ต้องอาศัยเงินทุน
พอทั้งการเกษตร เหมืองแร่ เหมืองเหล็ก เครื่องบิน รถถัง อาวุธ ของกินของใช้มันบูม

7. พอเศรษฐกิจมันบูม รัฐบาลก็มีคุณภาพ ได้ภาษีไปก็เอาสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ
มีการลงทุนช่วยเหลือนักธุรกิจ สร้างงาน สร้างคุณภาพชีวิตที่ดีได้ค่อนข้างมากกว่าประเทศอื่น
พอรายได้ประชากรสูง คุณภาพชีวิตมันก็ดีขึ้นตาม พอชีวิตดี สมองมันก็โล่ง
เพราะไม่ต้องมานั่งคิดว่า พรุ่งนี้จะกินอะไร ปลายเดือนจะเอาตังไหนไปจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าเช่านู้นนี่
มันก็เลยมีความคิด การสร้างธุรกิจอะไรต่างๆได้มากเป็นธรรมดา รวมถึงการต่อยอดถึงรุ่นลูกหลาน

และพอคิดอะไรดีดีได้ ด้วยความที่ประเทศมันใหญ่ ประชากรเยอะ แถมมีกำลังซื้อสูง
พอทำอะไรสำเร็จ มันก็ย่อมมีฐานกำลังที่เหนือกว่าคู่แข่งประเทศอื่นๆ ที่โอกาสที่จะมีฐานสูงเท่าเมกาแทบจะไม่มี
เช่นถ้าคนไทยทำมันฝรั่งทอดมาขาย ตลาดเริ่มต้นก็มีแค่คนไทย 60 70 ล้านคน
แต่เมกาตลาดเริ่มต้นมัน ก็ 200 300 ล้านคนไปแล้ว พอทำสำเร็จในประเทศ การจะไปต่อ มันก็มีฐานทุนเยอะ

8. หลังจากนั้นก็เป็นเรื่องการเมืองโลกละแหละครับ พอเศรษฐกิจดี กำลังรบเข้มแข็งกว่าประเทศอื่น
ใครลองของก็ต้องโดนสั่งสอนหมด มันก็กลายเป็นมาเฟียไปโดนปริยาย
ตำรวจจะมาจับก็ไม่กล้าเพราะสู้ไม่ได้ สู้รับส่วยไปดีกว่า มาเฟียแก๊งอื่นก็สู้ไม่ได้เหมือนกัน ก็ต้องหนีไปสนามอื่น

9. เค้าเปลี่ยน Model แทนที่จะไปล่าอาณานิคม ก็ใช้การเอาแบรนด์พวกนั้นแหละไปช่วยชิงทรัพยากรมาแทน
ด้วยสินค้าเหล่าพวกนั้น ก็เอาไปจ้างประเทศอื่นให้ผลิตให้ จ่ายค่าแรงงานต่ำๆ ต้นทุนต่ำๆ
เสร็จปุ๊ปแปะแบรนด์ แล้วก็ขายให้คนเหล่านั้นในราคาแพงๆ กินตลาดไปเรื่อยๆ ทำแบบนี้วนไปเรื่อยๆ
ได้กำไรก็เอากลับบ้าน ส่วนนึงก็เอาไปลงทุนต่อเรื่อยๆ ซึ่งจริงๆมันก็เป็น win-win

แต่แทนที่จะไปรบ เพื่อให้ส่งส่วยให้เหมือนเมื่อก่อน ก็ทำแบบนี้แทน ผลลัพธ์ก็ใกล้เคียงกัน
คือสุดท้ายก็ได้ส่วยเหมือนกัน แต่คนจะรู้สึกว่ามัน win-win แล้วแบบนี้มันจะไม่ล้ำได้ไง