[RE: เขียนได้โดนใจมาก (เรื่องม็อบนะ ไม่ชอบอย่ามาอ่าน)]
Pemberton พิมพ์ว่า:
Spoil
-1-st mir@cle พิมพ์ว่า:
Pemberton พิมพ์ว่า:
Spoil
-1-st mir@cle พิมพ์ว่า:
ใครที่ยังตั้งคำถามว่า รักรัชกาลที่ 9 และเห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม ได้หรือไม่
คำตอบคือ ได้ เรามีสิทธิ์จะรักและรำลึกถึงใครก็ได้
แต่ในขณะเดียวกัน ลองตอบตัวเองดู ว่าความคิดแบบนี้มันย้อนแย้ง และไม่สมเหตุสมผลรึเปล่า
==================================================================================
ผมมีเพื่อน+ผู้ใหญ่แบบนี้เยอะมากเลยนะ..เอาจริงๆมากกว่าคนที่ไม่รักอีก (ที่รู้ก็คือตอนโพสต์ของวันที่ 13 และโพสต์สนับสนุนม็อบ)
ซึ่ง คหสต.ผมก็ไม่คิดว่าแย่อะไร ก็ในเมื่อปลายทางเหมือนกัน คือปฏิรูปสถาบันตามข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุม เราจะมาแบ่งกันทำไม
ในเมื่อเค้ารักคนเก่ามากๆ แต่ยังอยากให้ปฏิรูปสถาบัน..นั่นก็แปลว่าเค้าเห็นแล้วว่าระบบ(สถาบัน)มีปัญหา เพราะระบบไม่ใช่ตัวบุคคล
ขนาดคุณเคยรักคนๆนึงมากและปล่อยให้สถาบันใหญ่เกินกว่าใครๆ แตะต้องไม่ได้ เพราะคุณคิดว่าสถาบันจะดีงามเหมือนคนที่คุณรัก
แต่ในวันนี้คุณเพิ่งตระหนักว่าบุคคลนั้นเปลี่ยนแปลงได้ แต่อำนาจของสถาบันยังอยู่และมันล้นเกินไป..มันจำเป็นต้องปฏิรูป
ผมว่ามันก็ไม่ได้เสียหายป่ะฮะ..เมื่อสถานะของคนเคยรักและคนเคยไม่รัก เป็นจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือต้องปฏิรูปเท่านั้น
มันก็เหมือนระบอบเผด็จการ..สมมติอดีตแม่งมีผู้นำที่มี image แบบ ideal มากๆ ทำประเทศชาติเจริญทุกอย่าง..ประชาชนอยู่ดีกินดี
ประชาชนก็หน้ามืดตามัวหลงคิดว่าระบอบเผด็จการนี้มันดีที่สุด จะเอาประชาธิปไตยทำไม ในเมื่อผู้นำบริหารดีขนาดนี้..
ฝั่งประชาธิปไตยก็ให้เหตุผลว่า "แล้วถ้าวันหน้ามึงเจอผู้นำ hereๆล่ะ ระบอบนี้มันยังดีอยู่มั๊ย?..อำนาจมันควรเป็นของประชาชน"
ซึ่งสมมติในวันที่พูดนั้น คนมันยังนึกไม่ออกก็เทิดทูนเผด็จการไป..จนมาวันนึงถึงยุค here เป็นผู้นำขึ้นมาจริงๆ มันถึงตระหนักได้
ซึ่งเมื่อมันนึกได้ มันอยากปฏิรูปให้เป็นประชาธิปไตย..ก็เป็นปลายทางเดียวกันแล้วถูกมั๊ยฮะ มาร่วมกันสู้เพิ่มพลังมวลชน
แล้วจะถอยไปเถียงเรื่องผู้นำคนเก่าทำไมว่า เฮ้ย กูเบิกเนตรมารู้ว่าแม่งสร้างภาพว่ะ แม่งเลวนะ..ไม่ใช่คนดีอะไร
สุดท้ายแทนที่จะได้พวกเพิ่มเพื่อสนับสนุนการปฏิรูปเปลี่ยนระบอบ..กลายเป็นมาทะเลาะกันระหว่างคนที่คิดว่าดี กับคนที่คิดว่าเลว
ผมว่ามันไม่ได้อะไรขึ้นมาเลยอ่ะ กลายเป็น topic นี้เหมือนจะอยากเอาชนะกันอย่างเดียว
เพราะไม่ใช่ทุกคนจะสนับสนุนการปฏิรูปด้วยเหตุผลนั้นครับ เช่นถ้าเขาชอบคนเก่าแต่เกลียดคนใหม่แล้วสนับสนุนการปฏิรูป หมายความว่าคนๆนั้นแท้จริงอาจจะไม่ได้เกิดศรัทธาในความเป็นระบบอะไร เพียงแต่หมดศรัทธาในตัวบุคคลปัจจุบันเฉยๆ ถ้าเราไปถามเขาว่าแบบนี้ถ้าตัวบุคคลที่เขายังศรัทธายังอยู่ ยังคิดว่าต้องปฏิรูปหรือไม่ อาจจะได้รับคำตอบว่า ''ไม่จำเป็น''
ส่วนในบริบทของผู้เขียนบทความ ต้องเข้าใจก่อนว่าถ้าคุณยอมรับว่าระบอบนี้มีปัญหาคุณก็ต้องยอมรับว่าระบอบนี้สร้างขึ้นมาเพื่อทุจริต และตัวบุคคลนั้นเขาใช้คำว่าเป็น ''ฟันเฟืองสำคัญ'' ก็หมายความว่าในเมื่อคุณยอมรับว่าระบอบที่เขาสร้างมามันไม่สุจริต คุณจะยังรักผู้ที่สร้างมันมาได้อย่างไร มันไม่ make sense อยู่แล้ว
หรือถ้าคุณบอกว่า ''ปัญหา'' ของระบบที่คุณว่าไม่ใช่เรื่องการทุจริต แต่หมายถึงเหมาะสมหรือไม่ตามยุคสมัยเท่านั้นก็ยิ่งแปลก เพราะปัญหาที่ม๊อบเรียกร้องกันอยู่ตอนนี้คือการทับซ้อนกันระหว่าง absolute monarchy กับ democracy ผมคิดไม่ออกว่าใครจะบอกว่าเขายอมรับว่าระบอบมีปัญหาโดยไม่ยอมรับว่าเป็นปัญหาเรื่องการทับซ้อนกันของ 2 ระบอบได้อย่างไร(เพราะถ้าเป็นแบบนั้นคนๆนั้นก็ต้องบอกว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยโดย ''สมบูรณ์''อยู่แล้ว)
ดังนั้นการที่คนๆนึงยอมรับว่าประเทศไทยมีปัญหาเรื่องมีกลุ่มคนที่สร้างระบอบ absolute monarchy ในคราบ democracy ขึ้นมา(หรือที่ต่างประเทศแซวว่าเป็น neo-absolute monarchy) แต่กลับรักฟันเฟืองสำคัญที่สร้างระบอบนี้ขึ้นมา จึงเป็นอะไรที่ยิ่งตอกย้ำเลยว่าระบอบ neo-absolute monarchy มันหยั่งรากลึกในประเทศไทยจริงๆ
ก่อนอื่น ที่เป็น
ตัวเล็กสีแดง ผมขออนุญาตตัดทิ้งก่อนเลยนะฮะ คือผมไม่ได้คิดแบบนั้นแน่นอนฮะ..ยุคสมัยไม่มีผลสำหรับผมอ่ะฮะ
สำหรับผมคือ ระบอบมีปัญหาแน่นอนฮะ (เราจะได้คุยกันตรงจุด)
ส่วนอื่นๆที่ผมไม่ได้ทำสีแดง..ผมอยากแชร์ความเห็นแบบนี้ฮะ..
คนกลุ่มนั้นอาจจะเป็นแบบที่ท่านว่า คือยังยึดติดกับบุคคล เผอิญบุคคลในยุคปัจจุบันห่วย เค้าถึงมีความคิดจะเปลี่ยนแปลง
แต่สำหรับผม ถือว่ารับได้ครับ (มันไม่สมบูรณ์จริงฮะ ผมเข้าใจที่ท่านจะสื่อ..คือจริงๆถ้ามองเข้าไปที่รากลึกกว่านั้น ควรจะรู้ตั้งนานแล้ว)
แต่อย่างน้อยเค้าก็รู้แล้วว่าระบอบนี้มันมีปัญหา (ถึงมันจะช้า..ไม่ควรต้องรอให้เพิ่งมาเกิดแบบวันนี้ถึงตาสว่าง)
แน่นอนฮะ ว่าถ้าสมมติมีโลกคู่ขนาน ที่คนใหม่กับคนเก่าไม่ต่างกัน เรียกว่าสืบทอดอำนาจไร้รอยต่อ..
คนพวกนี้ก็คงจะยังไม่ยอมปฏิรูปเหมือนที่ท่านว่าแหละฮะ
แต่ในเมื่อ ณ วันนี้พวกนี้ได้เห็นประจักษ์ถึงปัญหาแล้ว..ผมเลยมองว่าปลายทางเรามาบรรจบที่เรื่องเดียวกันแล้วฮะ
ส่วนเรื่องความ make sense หรืออยากจะสอนให้คนพวกนี้รู้ถึงรากแท้ของปัญหาจริงๆ (จะได้เปลี่ยนทัศนคติเรื่องความรักคนเก่า)
สำหรับผม คือรอให้เป้าหมายหลักเสร็จสมบูรณ์ก่อน(ปฏิรูปสถาบันสำเร็จ) แล้วยังอยากจะ educate คนเหล่านี้เพิ่มก็ไปทำตอนนั้นฮะ
ก็เหมือนกับสมัยคณะราษฎรยุคนู้นครับ เลือกที่จะปฏิรูปแบบรักษาน้ำใจคนไทยไว้ก่อนแล้วหวังว่าจะไป educate กันทีหลัง ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าไม่ได้ผล เพราะไม่ใช่มีแค่ฝั่งเราที่ทำได้ เขาก็ทำได้และทำได้ดีด้วย ก็เริ่มมาก็รอมชอมแล้ว ตอนจะปฏิรูปจริงจะทำได้อย่างไรก็ต้องรอมชอมต่อไปสุดท้ายก็ออกมาแบบที่เห็น
และจริงๆแล้วตั้งแต่ผมประสาเรื่องการเมือง ผมก็เห็นทุกคนต่อสู้ในแนวทางที่คุณว่ามาตลอด คือไปทีละขั้นอย่ารีบร้อน พังเพดานไปเรื่อยๆ ตั้งแต่สมัยทักษิณไปจนถึงเสื้อแดงก็สู้ด้วยแนวทางนี้ซึ่งไม่เคยได้ผลเลย อย่างเสื้อแดงนี่ทำแบบที่คุณพูดเป๊ะๆ คือรับเอาทั้งกลุ่มคนที่ต้องการปฏิรูปและคนที่ภักดีมาโดยกำหนดเป้าหมายร่วมกันแค่ว่าเรียกร้องประชาธิปไตยก่อนที่เหลือค่อยว่ากัน สุดท้ายก็ไม่ได้มี impact อะไรต่อสังคมเลย
แต่คนที่ทำให้ประเทศไทยมาถึงจุดนี้ได้กลับเป็นคนที่เลือกที่จะพูดแบบตรงไปตรงมาไม่มีเพดานอะไรทั้งนั้น อ.สมศักดิ์ อ.ปวิน ฟ้าเดียวกัน อ.ปิยบุตร มาจนถึง ท.อานนท์ เพนกวิ้น รุ้ง คนพวกนี้ไม่มีอำนาจอะไรเลย แต่กลับ educate คนได้มากกว่าฝ่ายการเมืองที่พยายามทำมาหลายสิบปีเสียอีก
ม๊อบนี้มาไกลที่สุดตั้งแต่ผมติดตามการเมืองมา ทั้งๆที่ตอนแรกยังเหนียมๆกันอยู่เลยจนกระทั่งทนายอานนท์พูดเรื่องแฮรี่พ็อตเตอร์ ตั้งแต่นั้นก็มีการพูดแบบไม่มีเพดานกันมาตลอดจนถึงจุดนี้ ถ้ากลับไปใช้วิธีแบบเดิมก็อาจจะได้มวลชนส่วนนั้นเพิ่ม แต่ต้องเสียคนที่ร่วมต่อสู้มาตั้งแต่แรกแล้วแน่นอน ถ้าวันนึงกลับไปตั้งเพดานอีกว่าตอนนี้เอาแค่นี้ก่อนหรือแย่กว่านั้นอย่างการที่ต้องแกล้งเออ-ออห่อหมกไปกับเรื่องที่ผิดเพื่อเรียกมวลชนมาเยอะๆไว้ก่อน แล้วหวังว่าจะค่อยๆพังเพดานต่อๆไปในอนาคต จะทำให้เรากลับไปวนลูปเก่าๆหรือไม่ ในเมื่อคุณแกล้งลืมตาข้างหลับตาข้างกับเรื่องบางเรื่องตั้งแต่แรก ในอนาคตคุณจะไปสอนเขาว่าจริงๆมันผิดได้อย่างไร สมมุติ อ.สมศักดิ์เลือกที่จะพูดแค่ในจุดที่เขาคิดว่าคนไทยยอมรับได้ แล้วหลังจากนั้นก็เปลี่ยนทีหลังว่าสิ่งที่เขาพูดมันไม่จริงทั้งหมด คิดว่าจะมีผลอย่างไร เราคงไม่ได้เห็นปรากฎการแบบที่เห็นอยู่ตอนนี้
ส่วนตัวผมมั่นใจว่าถ้าวันนึงม๊อบต้องสร้างเพดานใหม่ขึ้นมา ทำแบบที่คุณว่าคือเลือกที่จะไม่ทำร้ายจิตใจคนกลุ่มนึงไปก่อนเพื่อให้เป้าหมายขั้นแรกสำเร็จ เพราะเมื่อคุณยอมรับคนที่ยังศรัทธาในตัวบุคคลหรือสิ่งที่ผิดเข้ามา คุณก็ต้องเลี่ยงที่จะกระทำพูดถึงคนที่เขาศรัทธาแบบเสียๆหายๆอยู่แล้วแม้ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ควรทำ เมื่อนั้นคงเป็นวันที่ม๊อบล่มสลายจริงๆ เพราะคนที่ร่วมสู้กันมาแต่แรกคงไม่เอาด้วยอีกต่อไป เรื่องนี้เหมือนจะปลายทางเดียวกันแต่จริงๆไม่ใช่ เพราะคนกลุ่มหนึ่งกำลังเรียกร้องความถูกต้อง แต่อีกกลุ่มหนึ่งมีแค่ชอบหรือไม่ชอบเท่านั้น ถ้าความถูกต้องต้องรอมชอมกับความรักชอบส่วนบุคคล เมื่อนั้นความชอบธรรมของความถูกต้องนั้นจะค่อยๆหายไปเอง เรื่องนี้เกิดขึ้นซ้ำจนไม่ควรจะซ้ำแล้ว
อันนี้ผมไม่แน่ใจว่าเราเข้าใจตรงกันรึเปล่านะฮะ
คือถ้าจะแบ่งเป็นขั้นๆตามที่ว่า ผมลองแบ่งเป็นขั้นตามนี้แล้วกันนะฮะ
ขั้น 1.นายกลาออก แก้รัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง และเลือกตั้งใหม่
ขั้น 2.ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ให้เข้ามาอยู่ใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง ไม่ใช่มีอิทธิพลและแทรกแซงการเมืองเหมือนที่ผ่านมา
(ไม่เคยมีใครมาถึงขั้น 2...ไม่เคยมีใครพาดพิงถึงสถาบันกษัตริย์ แม้แต่สมัยทักษิณ,เสื้อแดงก็ตาม ถึงอาจจะบอกว่าในม็อบมีพูดบ้าง
แต่ตัวแกนนำหรือทักษิณเองก็ไม่เคยยอมรับตรงนี้ ว่าต้องการปฏิรูปสถาบัน)
แต่ ณ วันนี้มีการพูดถึงเพดานสถาบันเรียบร้อยแล้ว(ไม่ได้ต้องเกรงใจใครเหมือนแต่ก่อน) และมีมวลชนกลุ่มนึงที่ใหญ่มากๆเห็นด้วยแล้ว
ขั้น 2. นี้แหละฮะที่ผมกำลังพูดถึงตั้งแต่เมนต์แรก..และมวลชนที่เค้ามาถึงขั้นนี้ เมื่อซอยย่อยลงไปจะพบว่ามีส่วนนึงที่ยังรักคนเดิม
(ถึงจะต้นเรื่อง จะพยายามอธิบายว่า เห้ยมันไม่ make sense นะเว้ย..ถ้าเห็นว่าเป็นปัญหา แล้วไปรักต้นตอปัญหาได้งัย
แต่ fact ก็คือคนกลุ่มนี้มีจริงๆอ่ะ คนที่รักด้วยแต่อยากปฏิรูปด้วย ผมยืนยันมีแน่นอน และไม่น้อยเลย)
แต่ถึงจะรักคนเดิม(อาจจะมองว่ายังไม่เบิกเนตรหรืออะไรก็ตาม) ผมมองว่าไม่เป็นปัญหา เมื่อคนพวกนี้ก็มองภาพใหญ่กว่านั้น
นั่นคือ"สถาบัน"มีปัญหา ไม่ใช่แค่ตัวบุคคล(คนเก่า หรือ คนใหม่) ซึ่งต้องแก้คือร่วมกันปฏิรูปสถาบันเหมือนกัน
จะไปบังคับให้เค้าตาสว่างเบิกเนตรให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ ก็จงออกจากกลุ่มไป ไม่ต้องมาร่วมทางเดียวกันแบบนี้หรอฮะ
ถ้าแบบนั้นเราก็ไม่ผ่านขั้น 2 ซักทีรึเปล่า
สิ่งที่ผมสื่อไม่ได้จำเป็นต้อง โกหกเออ-ออห่อหมก เห็นดีเห็นงามไปกับเค้าเพื่อเอาเค้าเป็นพวกนะฮะ (อันนี้เข้าใจผิดเลยฮะ)
ผมต้องการแค่ว่า ฝั่งนึง(ที่บอกว่าเบิกเนตรแล้ว ไม่รักคนเก่าแล้ว) ก็บอกไปตรงๆ มีจุดยืนของตัวเองแบบวันนี้แหละฮะ..
ส่วนคนที่ยังไม่พร้อมจะรับความจริงในทุกๆเรื่องไม่เป็นรัย แต่เค้ายอมรับใช่มั๊ยว่าตัวสถาบันคือปัญหาของประชาธิปไตย
ถ้าใช่ ก็อยู่ร่วมกันได้ และมาช่วยแก้ไขช่วยปฏิรูปตรงนี้ให้ผ่านให้ได้ แค่นั้นแหละฮะ..
(แต่ถ้าเป็นอย่างอื่นเช่น แก้แต่รัฐธรรมนูญได้มั๊ย เพราะรักสถาบันอยู่..อันนั้นแหละฮะ ร่วมทางกันไม่ได้ เพราะแก่นปัญหามันคนละทางกัน)