มูรินโญ่ โน้มน้าว "เมสซี่" ร่วมทีมเชลซีเมื่อปี 2014 ได้อย่างไร?
ลิโอเนล เมสซี่ ตัดสินใจย้ายไปค้าแข้งในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ หลังเฟซไทม์พูดคุยกับโจเซ่ มูรินโญ่ (เขียนโดย ดิ มาร์ซิโอ้); เชลซี พร้อมฉีกสัญญา 250 ล้านยูโรของเขา
ลิโอเนล เมสซี่เล่นที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ในเสื้อสีน้ำเงิน? เชลซีเคยเกือบปิดดีลช็อคโลกเมื่อปี 2014 ตอนที่โจเซ่ มูรินโญ่ กล่อมซูเปอร์สตาร์บาร์เซโลน่าให้ย้ายมาเล่นในพรีเมียร์ ลีกได้สำเร็จ... จานลูก้า ดิ มาร์ซิโอ้ นักข่าวของ Sky Italy เผย
แข้งวัย 33 ปี เคยถูกตามจีบให้ย้ายออกจาก ลา ลีก้ามากกว่าหนึ่งครั้ง โดยหนล่าสุดเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม ตอนที่เขาส่งคำร้องขอให้สโมสรปล่อยตัวอย่างเป็นทางการ
แต่ในปี 2014 เชลซีพร้อมที่จะทุ่มเงินฉีกสัญญามูลค่า 250 ล้านยูโร (ณ เวลานั้น) และทุ่มค่าเหนื่อยหลังหักภาษฤดูกาลละ 50 ล้านปอนด์เพื่อคว้าตัวเขา
การเจรจาเกิดขึ้นในระหว่างที่มีการสอบสวนเรื่องประเด็นการเลี่ยงภาษี ซึ่งรัฐบาลสเปนเปิดประเด็นกับครอบครัวของเมสซี่เมื่อปี 2013 โดยตัวนักเตะเคยยอมรับว่าสิ่งดังกล่าวทำให้เขาคิดที่จะย้ายออกจากแดนกระทิงดุ
ในหนังสือเล่มล่าสุดของ ดิ มาร์ซิโอ้ "Grand Hotel Calciomercato" เขาเล่าถึงการเฟซไทม์ที่ มูรินโญ่พูดคุยเพื่อโน้มน้าวใจเมสซี่
อย่างไรก็ตาม การเข้ามามีส่วนร่วมของ ฮอร์เก้ บิดาและเอเยนต์ของนักเตะ รวมทั้ง เดโก้ อดีตเพื่อนร่วมทีมบาร์เซโลน่า ทำให้ดีลนี้พังลงเหมือนกับฟองสบู่ที่แตกและหายไปในอากาศ แม้ว่าการพูดคุยเงื่อนไขส่วนตัวจะได้ข้อสรุปแล้วก็ตาม
มีการกล่าวอ้างด้วยว่า ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสรเรอัล มาดริด เคยพยายามคว้าตัวเมสซี่หนึ่งปีก่อนที่เชลซีจะติดต่อกับนักเตะ แต่แข้งชาวอาร์เจนไตน์บอกปัดเพราะสถานะของเขากับบาร์เซโลน่า
เชลซีเคยเกือบปฏิวัติวงการลูกหนังได้อย่างไร?
สงครามภาษีกับแชมเปี้ยน เหตุร้ายที่เกิดขึ้นในกรณีของคริสติอาโน่ โรนัลโด้ที่ได้ขึ้นเครื่องไปอยู่กับยูเวนตุส ตัวเมสซี่เองก็ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ และเขาคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับการบอกลาบาร์เซโลน่ารวมทั้งประเทศที่เขาอยู่มาตั้งแต่เด็ก
จะไปไหนล่ะ? เชลซีไง! เหตุผลหลัก ๆ มีสองข้อ: เสน่ห์ของลอนดอนและความเคารพในตัวมูรินโญ่ นายใหญ่เชลซี ณ เวลานั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นในเดือนมกราคม ปี 2014 เราอยู่ในช่วงกลางทางของการสอบสวนเรื่องการหลบเลี่ยงภาษี
"ฉันอยากย้ายไปอยู่กับเชลซี เร็วเข้า"
เขาถูกกระตุ้นจากความเดือดดาลเรื่องภาษีประเทศสเปน ไม่กี่เดือนถัดมา ความรู้สึกดังกล่าวถูกส่งผ่านด้วยการพูดคุยโทรศัพท์กับ เดโก้ อดีตเพื่อนร่วมทีมซึ่งตอนนี้ผันไปเป็นเอเยนต์หลังจากที่ค้าแข้ง 2 ปีที่สแตมฟอร์ด บริดจ์และแขวนสตั๊ด โดยมีโรมัน อับราโมวิชเป็นนายใหญ่
เมสซี่ยังได้ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนของเขาอีกคนหนึ่ง บุคคลที่มีเส้นสายพร้อมเริ่มต้นกระบวนการย้ายทีมในครั้งนี้ เดโก้ให้สัญญากับเลโอว่าเขาจะได้พบกับอับราโมวิชในเร็ว ๆ นี้ ขณะที่เพื่อนของเมสซี่ติดต่อไปหามูรินโญ่ เพื่อขายของให้นายใหญ่ชาวโปรตุกีสอินกับโปรเจ็คต์นี้
มีการนัดรับประทานอาหารมื้อกลางวันในกรุงลอนดอนที่คฤหาสน์ของมูรินโญ่ ในฝั่งหนึ่งของโต๊ะมีตัวกลาง 3 คนที่พูดคุยรายละเอียดและความเป็นไปได้ ส่วนอีกฟากหนึ่งคือนายใหญ่ทีมเชลซีที่ยังไม่อยากจะเชื่อในเรื่องที่เกิดขึ้น
คุณจะทำอย่างไรให้ความกังขาแบบนั้นจบลงไป? เฟซไทม์สิ มูรินโญ่ คุยตรง ๆ กับเมสซี่
"ว่าไงเลโอ โจเซ่นะ!"
สองตำนานฟุตบอลเผชิญหน้าผ่านโทรศัพท์ แม้เคยเป็นคู่อริแต่ทั้งสองคนก็มีความเคารพในตัวกันและกันมาเสมอ
"เป็นไงบ้างแชมป์?" มูรินโญ่เปิดก่อน "พวกเขาเพิ่งเล่าความต้องการของนายให้ฉันฟัง นายไม่รู้หรอกว่าฉันนี่นอนไม่หลับมากี่คืนกับการหาวิธีหยุดนาย ฉันลองใช้แผนที่จะได้ผลมานักต่อนักเอาไว้หยุดวิธีการเลี้ยงบอลและการยิงประตูของนาย นายคือเดอะ เบสต์ จบนะ"
หลายคนเริ่มประหลาดใจว่า มูรินโญ่ จะเดินหมากยังไงต่อ
"นี่ รู้ไหม ฉันจะบอกอะไรให้ นายต้องอยู่กับบาร์เซโลน่าต่อไปสิ!" ทุกคนในห้องที่กำลังคิดถึงเงินส่วนแบ่งค่าเอเยนต์ต่างกำลังช็อค
ปลายสายโทรศัพท์ ใบหน้าของเมสซี่ถอดสี เขานึกถึงกล้องที่ถูกซ่อนและการแกล้งที่ถูกวางแผนมาอย่างดี เขาหลงกลแผนของเดอะ สเปเชี่ยล วันหรือเปล่า? แต่น้ามูยังไม่จบ
"อย่าย้ายเลย พวกเขาจะสร้างรูปปั้นให้นาย อยู่กับบาร์เซโลน่าต่อไปแหละ นี่คือสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับเบอร์หนึ่งอย่างนายนะ แต่ว่า..." นี่คือคำที่ทุกคนในห้องรอฟัง มันคือแผนการเล่นเกมสวนกลับที่ไม่มีใครจะสามารถหยุดยั้งได้
"ถ้าเช้าวันหนึ่งนายตื่นขึ้นมา กินข้าว ไปสนามซ้อม กาแฟรสชาติไม่เหมือนเดิม อยู่ดี ๆ ท้องฟ้าก็ดูหม่นหมอง นายไม่ชอบรถที่ตัวเองขับอีกต่อไปแล้ว นายรู้สึกเศร้าตอนกำลังกลับบ้าน นายไม่มีความสุข ครอบครัวของนายไม่มีความสุข นายอยู่ในช่วงเวลาตกต่ำของชีวิต ถ้างั้นละก็นะ ใช่เลย นายต้องเปิดประตูความสุขอีกครั้ง หลังประตูนั้นนายจะได้เจอกับฉัน โจเซ่ มูรินโญ่รออยู่!"
รุกฆาต เมสซี่หัวเราะ เขาอินกับรักครั้งใหม่เข้าแล้ว สิ่งเดียวที่ขาดไปคือแหวนเพื่อฉลองการสู่ขอครั้งนี้
แผนการต่อไปคือการประชุมหารือในสำนักงานของเชลซี มาริน่า กรานอฟสกาย่า ผู้ซึ่งมีหน้าที่จัดการรายละเอียดของการซื้อตัวนักเตะได้รับแจ้งจาก อับราโมวิช เจ้านายของเธอ
รถยนต์เมอร์เซเดสความยาว 20 เมตรขับพาตัวกลางเข้ามา คนหนึ่งเริ่มมองออกนอกหน้าต่าง มองหาบ้านสวย ๆ สักหลังที่เขาจะซื้อเป็นเจ้าของจากเงินค่าเอเยนต์ที่จะได้รับ
รถหยุดด้านหน้าสแตมฟอร์ด บริดจ์ ก่อนที่ตัวกลางทั้งสองคนจะก้าวลงมา เมสซี่แสดงความชัดเจนของเขาอีกครั้ง
"กับมูรินโญ่ กับวิธีที่เขาพูดกับฉัน ฉันจะคว้าแชมป์อะไรก็ได้ หมอนี่คือผู้ชนะ ไปเลย ลุยเลย จัดการปิดดีลซะ"
สมบูรณ์แบบ แผนได้ผล ไม่มีอะไรมาขวางแล้วจริง ๆ ตอนนั้นเป็นเวลาบ่าย 3 โมง การมีตติ้งกับ กรานอฟสกาย่า เริ่มต้นขึ้น เธอจ้องตาไม่กะพริบ เธอได้กลิ่นของดีลที่จะเปลี่ยนแปลงหน้าประวัติศาสตร์
ค่าฉีกสัญญา 250 ล้านยูโร? เรียบร้อย ค่าเหนื่อยแพงระยับ? เรียบร้อย ค่าลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์? เรียบร้อย สำหรับรายละเอียดต่าง ๆ ฮอร์เก้ โฮราซิโอ้ พ่อของเลโอ ซึ่งดูแลผลประโยชน์ของแข้งเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ 6 สมัย กำลังจะได้มีส่วนร่วมเร็ว ๆ นี้
และนี่คือจุดสำคัญ ฮอร์เก้ เมสซี่ เป็นคนที่ไม่ได้ถามคำถามอะไรมากนัก แต่ในตอนนั้นเขาไม่ทราบความต้องการของเลโอ เขาไม่รู้เรื่องแผนการนี้ ไม่รู้ว่าจะมีคนพรากลูกชายไปจากบาร์เซโลน่า
เดือนกรกฎาคมแล้ว มาริน่ากำลังเตรียมรายละเอียดในข้อเสนอ ขณะที่มูรินโญ่ยิ้มปากจะฉีกที่ค็อบแฮม ก่อนการซ้อมช่วงบ่าย เชสก์ ฟาเบรกัส ที่เพิ่งย้ายจากบาร์เซโลน่ามาอยู่กับเชลซี วิ่งมาหาเขาและฉลองเหมือนเพิ่งทำประตูได้
"บอส เลโออยากย้ายมาที่นี่! สุดยอดไปเลย! เราเป็นเพื่อนกันมานานแล้ว สุดยอด... เดโก้โทรมาหาผม โทรหาคุณด้วยแต่คุณไม่รับสายเขา" มาแล้ว ฟันเฟืองสำคัญที่สามารถทำให้ดีลพังลง เดโก้ คือคนที่ถูกล่อลวงและละทิ้งในดีลนี้
"ใช่ ฉันรู้หมดแล้ว วันก่อนเพิ่งคุยกับเมสซี่เอง" มูรินโญ่ตอบเชสก์ โดยไม่ได้คิดถึงผลกระทบที่จะตามมา ฟาเบรกัสเตือนเดโก้เรื่องการติดต่อของทั้งสองฝ่าย สถานการณ์ควบคุมไม่อยู่ทันที เดโก้ตัดสินใจส่งข้อความไปฟ้องคุณพ่อซึ่งเป็นเอเยนต์ของเลโอ
เรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้น ในขณะที่ฝั่งเชลซีมอบไฟเขียวให้กับตัวกลางสำหรับคำร้องของนักเตะเรื่องค่าเหนื่อยฤดูกาลละ 50 ล้านปอนด์ บวกกับค่าลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์ 70% หายนะบังเกิด ฮอร์เก้โทรหาเลโอเพื่อขอคำอธิบาย
"ผมไม่รู้ว่าพ่อพูดเรื่องอะไร สาบานเลย" แข้งหมายเลข 10 กล่าวกับปลายสาย เซย์กู๊ดบายกับความปรารถนา แผนการย้ายไปอังกฤษต้องถูกพับเก็บไป
ฟองสบู่ลอยกระแทกพื้น สลาย มลาย หายไป ไม่เหลือร่องรอย เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น เหตุการณ์นี้เหมือนการจ่ายบอลคืนหลังขณะที่คุณกำลังจะเข้าแท็บอินหน้าปากประตูโล่ง ๆ อาจดูไม่ใช่เมสซี่ แต่ไม่น่าแปลกใจหากพิจารณาถึงอิทธิพลการตัดสินใจในตัวพ่อของเขา
"หากพ่อบอกผม ผมก็พร้อมหลับตาเซ็นเลยครับ" เมสซี่กล่าวกับผู้พิพากษาของสเปนระหว่างการไต่สวนเรื่องภาษี ถึงจุดนี้คุณอาจจะเสริมได้ว่า "ผมคงไม่กล้าหาญพอที่จะทำอะไรสักอย่างโดยที่เขาไม่เกี่ยวข้อง" อย่าว่าแต่การยอมรับความจริงที่ถูกปิดบังเลย...
แก้ไขล่าสุดโดย น้า เมื่อ Thu Oct 15, 2020 20:05, ทั้งหมด 1 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ