‘ดุสิตธานี’ เมืองจำลองประชาธิปไตย
จมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุทรเวช) บันทึกในเรื่อง ดุสิตธานี: เมืองประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ถึงสภาพบ้านเมืองในดุสิตธานีว่า
“บ้านแต่ละหลังมีขนาดโตกว่าศาลพระภูมิ สร้างขึ้นด้วยฝีมือประณีต ฉลุสลักลวดลายอย่างวิจิตร ทาสีสวยงาม ทุกๆ บ้านมีไฟฟ้าติดสว่างอยู่กลางบ้าน
“ถนนหนทางในเมืองดุสิตธานีส่วนมากเป็นถนนสายเล็กๆ มีบางสายที่ใหญ่โต พอที่จะเดินได้ ถนนทุกสายสะอาดสะอ้าน สวยงาม ปลูกต้นไม้เล็กๆ ไว้ร่มรื่นสองข้างทางถนนที่เป็นสายสำคัญ”
ผู้คน วิถีชีวิต และกฎหมาย
นอกจากบ้านเมืองจะมีสภาพเหมือนเมืองจริงๆ แล้ว ดุสิตธานียังมีรัฐบาลและราษฎรอยู่อาศัยภายใต้บทบาทสมมติที่ตราไว้ในกฎหมาย ‘ธรรมนูญลักษณะปกครองคณะนคราภิบาล (ดุสิตธานี) พระพุทธศักราช 2461’
โดยผู้ปกครองในดุสิตธานีเรียกว่า “นคราภิบาล” ที่ได้มาจากการเลือกตั้งทุกๆ ปี
มีราษฎรที่เรียกว่า “ทวยนาคร” ที่มาจากมหาดเล็กรับใช้ใกล้ชิด มีทั้งเชื้อพระวงศ์ ชั้นหม่อมเจ้า โดยแต่ละคนจะสมมติชื่อตัวเอง มีอาชีพ มีบ้าน โดยเจ้าของบ้านทุกคนจะมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยของบ้านตัวเอง เสียค่าน้ำ ค่าไฟ และจ่ายภาษี
หากผู้ใดทำผิดกฎหมาย ก็จะถูกลงโทษ “ปรับเงินเป็นพินัย” เช่น ปล่อยให้บ้านชำรุด เกิดความสกปรกอันเป็นเหตุให้ก่อโรค หรือเกิดอัคคีภัยได้ ก็จะถูกลงโทษปรับครั้งละไม่เกิน 5 บาท ถ้ายังขืนทำซ้ำก็จะถูกปรับเพิ่มขึ้น
รัชกาลที่ 6 ก็ทรงเป็นหนึ่งในทวยนาครที่อยู่เมืองแห่งนี้ พระองค์ทรงใช้ชื่อว่า “ท่านราม ณ กรุงเทพ” แต่คนดุสิตธานีจะนิยมเรียก “ท่านราม” มีอาชีพเป็นทนาย มรรคนายกวัดพระบรมธาตุ เป็นพระราชมุนี เจ้าอาวาสวัดธรรมาธิปไตย และทรงแสดงพระธรรมเทศนาจริงๆ ด้วย
นอกจากนี้ ดุสิตธานียังมีสื่อประจำเมืองเป็นหนังสือพิมพ์ทั้งหมด 3 ฉบับ ได้แก่ ดุสิตสมัย (รายวันฉบับแรก) ดุสิตสักขี (รายวันฉบับที่สอง) และดุสิตสมิต (รายสัปดาห์) โดยมี “ท่านราม” รับหน้าที่เป็นบรรณาธิการ
แม้ทุกสิ่งในดุสิตธานีจะจำลองโลกที่บางคนบอกว่าเป็น ‘สยามในฝัน’ ของรัชกาลที่ 6 แต่วันเวลาในดุสิตธานีนั้นเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากย่อเวลาให้เหลือ 1 ใน 12 หรือ 1 ปีดุสิตธานีเท่ากับ 1 เดือนธรรมดา
มีบันทึกระบุว่า ในช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ.2461 – 2462 หรือราว 2 ปีนั้น (ราว 24 ปีของปฏิทินดุสิตธานี) ได้มีการเลือก “นคราภิบาล” ถึง 7 คร้ัง เพื่อให้มีการอภิปราย ติติง เลือกตั้ง ฯลฯ ผ่านบทบาทสมมติ อันเป็นพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ 6 ที่จะทรงฝึกเสนาอำมาตย์ซาบซึ้งในพระบรมราโชบาย
ทว่าสุดท้ายวิถีชีวิตในดุสิตธานีก็ดูเหมือนจะเกิดขึ้น และจบเพียงเท่านั้น
‘ดุสิตธานีโมเดล’ ฝันไม่จริง
“วิธีการดำเนินการในธานีเล็กๆ ของเราเป็นเช่นไร ก็ตั้งใจว่าจะให้ประเทศสยามได้เป็นเช่นเดียวกัน…”
พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าฯ ในวันที่เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดศาลารัฐบาลมณฑลดุสิตธานี เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2462 คือสิ่งที่บ่งชี้ถึงแนวพระราชดำริในการจัดสร้างเมืองจำลอง ‘ดุสิตธานี’
ต่อมาพระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ให้นำแนวทางการปกครองที่ทดลองนั้นมาปรับใช้จริงในจังหวัดต่างๆ โดยพระยาสุนทรพิพิธ (เชย ฆัฆวิบูลย์) ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่กระทรวงมหาดไทยขณะนั้นที่เล่าไว้ใน ดุสิตธานี: เมืองประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว เขียนโดย จมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุทรเวช) ว่า
“เดือนมีนาคม พ.ศ.2464 ข้าพเจ้าก็ได้รับโทรเลขกระทรวงมหาดไทยให้มารับราชการกรุงเทพฯ ขณะนั้นข้าพเจ้ารับราชการอยู่จังหวัดนครสวรรค์ ครั้นเข้ามาถึงและรายงานตัวตามระเบียบแล้ว ท่านเสนาบดีก็แจ้งความประสงค์ให้ทราบโดยตรง แล้วสั่งให้ไปฟังเรื่องราวละเอียดจากท่านปลัดกระทรวง เมื่อได้พบกับท่านปลัดกระทรวง ท่านจึงได้บอกเรื่องราวให้ทราบโดยตลอด…ท่านบอกว่า จังหวัดที่จะให้เริ่มงานนี้ได้ เลือกเอาจังหวัดสมุทรสาคร เพราะเหมาะด้วยเหตุผลหลายประการ”
ส่วนเหตุผลที่เลือกสมุทรสาครเป็นที่ทดลองการปกครองแบบใหม่ พระยาสุนทรพิพิธอธิบายว่า เพราะจังหวัดนี้คนทำอาชีพหลักหลากหลาย คือมีทั้งทำนา ทำสวน ทำประมง จังหวัดมีขนาดไม่ใหญ่ พลเมืองไม่เยอะ และอยู่ใกล้กรุงเทพฯ
“…ดูจะเป็นความสะดวกด้วยประการทั้งปวง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงเห็นชอบด้วยแล้ว”
ทั้งที่รัชกาลที่ 6 ทรงเห็นชอบ แต่ทำไม ‘ดุสิตธานีโมเดล’ ถึงไม่เกิดขึ้นจริง?
“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุมเสนาบดี แล้วมีข่าวกระเส้นกระสายจะเท็จจริงอย่างไรไม่ทราบว่า มีเสนาบดีบางท่านเห็นว่าร่างกฎหมายของกระทรวงมหาดไทยให้สิทธิแก่ราษฎรกว้างขวางเกินไป อาจกระทบกระเทือนต่อผลประโยชน์ของรัฐ เรื่องจึงยังตกลงไม่ได้ คงค้างพิจารณาอยู่…”
เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นค้างเติ่งในที่ประชุมเสนาบดี และยังคงเงียบอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2468 พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต
เรื่องทั้งหมดจึงเงียบหาย และคงไม่มีใครคาดคิดว่าอีกไม่กี่ปีต่อมา ประเทศไทยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยกลุ่มราษฎรที่ไม่ใช่ ‘ทวยนาคร’ ในดุสิตธานี แต่เป็นกลุ่มคนไทยที่ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนนอก ซึ่งเรียกตัวเองว่า ‘คณะราษฎร’
author : วชิรวิชญ์ กิติชาติพรพัฒน์ 5 December 2018
https://becommon.co/culture/dusit-thani-evidence/
จะไม่เสียเวลาทำอะไรที่ไม่ได้เงินอีก