[RE: Breaking : ศบค.ลดเคอร์ฟิวเป็น 5ทุ่มถึงตี 3]
Rustey พิมพ์ว่า:
Wolvesgangster พิมพ์ว่า:
Rustey พิมพ์ว่า:
Wolvesgangster พิมพ์ว่า:
กะลาแลนด์ พิมพ์ว่า:
heromysin พิมพ์ว่า:
ใครไม่ได้ค้าขายตลาดเช้าไม่เข้าใจหรอก ผมนี่ทำสังขยาไปขายส่ง เป็นตลาดในตัวอำเภอต่างจังหวัด คือต้องไปตั้งแต่ ตี 2-3 เพื่อให้ทันลูกค้าประจำ เพื่อจะได้ไม่ต้องนั่งขายนาน ช่วงเคอร์ฟิวตี 4 ทำไปขายขนมเหลือเยอะได้ไปเร่ขาย ผมเลยหยุดยาวเลย
จิงครับ แต่มันมีคนโง่เสือกเสร่อ โชว์พาวในทู้นี้ด้วย เหมือนเท่
แล้วทำไมไม่ยกเลิกคอร์ฟิวไปเลย เพราะคนที่ได้รับผลกระทบไม่ได้มีแค่ตลาดเช้า เขาก็บอกอยู่ว่าต้องไปตั้งแต่ตี 2 แล้วตี 2 มันก็ยังเคอร์ฟิวอยู่ไหม
คนที่ทำงานภาคกลางคืน คนที่ทำงานเข้ากะ คนที่มีโอกาสในการทำมาหากินในช่วงเวลากลางคืน คนเหล่านี้ก็เป็นผู้ได้รับผลกระทบเช่นกัน การที่ยังคงเคอร์ฟิวเอาไว้ในกรณีปัจจุบัน โดยปรับลดชั่วโมงเหลือ 4 ชั่วโมง แต่ไม่ยกเลิก ช่วยป้องกันปัจจัยอะไร อย่างไร และคุ้มค่าต่อการสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจของคนที่ทำงานในช่วงเวลาดังกล่าวหรือไม่ โปรดอภิปราย
อย่าให้คำว่าโง่แล้วเสือกเสร่อมันต้องย้อนเข้าตัวเองเลยนะ
ขอแย้งบางข้อนะครับ คนเข้ากะทำได้ปกติครับ นายจ้างออกใบให้แล้วถ้าโดนเรียกก็เอาไปยื่นปกติ โรงงานในนิคมต่างๆ ทำแบบนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไร
งานอื่นนอก field อุตสาหกรรม ได้รับผลกระทบครับ งานที่ผลัดกะกลางคืนไม่ได้มีแค่โรงงานอุตสาหกรรม งานก่อสร้าง งานขนส่ง งานรับส่ง หลายงานที่ใช้แรงงานต่างด้าว ที่แม้จะถูกกฏหมาย แต่ก็มีปัญหาในการยื่นขออนุญาต กลุ่มคนงานที่ไม่มีหลักฐานสืบทราบแน่นอน คนเหล่านี้ปกติก็ไม่ได้รับการเหลียวแลจากรัฐอยู่แล้ว โอกาสทางเศรษฐกิจก็น้อย ยิ่งได้รับผลกระทบแบบนี้เรียกได้ว่านับวันตายรอได้เลย
ความจริงงานภาคอุตสาหกรรมเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน การขออนุญาตเดินทางในเวลากลางคืนต้องยื่นหลักฐานพิจารณา ทำให้เกิดข้อจำกัดกับคนงานบางกลุ่มที่เป็น third-party ผมเองอาจจะไม่ได้พิมพ์ลงรายละเอียดเยอะ แต่คิดว่าน่าจะชัดเจนนะครับ ว่ามันมีกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการเคอร์ฟิวที่ยังคงไว้อยู่จริงและมีจำนวนไม่น้อย
คำถามของผมยังคงเหมือนเดิม ไอ้การที่ยังคงมาตราการเคอร์ฟิวเอาไว้มันช่วยเรื่องโรคระบาดอย่างมีนัยยะอย่างไร และมันคุ้มกันไหมกับการสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจในวงกว้างกับบางภาคส่วน
ถ้ามีข้อมูลอะไรเพิ่มเติม ยินดีอย่างยิ่งที่จะได้แลกเปลี่ยนกันนะครับ
ยังดีกว่าการต้องเสวนากับคนที่ดีแต่ทำแซะ ทำปั่นไปเรื่อย เพราะไม่มีความสามารถจะหาข้อมูลอะไรมาถกเถียง แบบนั้นมันเสียเวลาเปล่าๆ
ความเป็นจริงแล้วทางตำรวจไม่ได้เคร่งขนาดนั้นนะครับ เรื่องการเดินทางกลางคืนจากการทำงานไม่ต้องขอเอกสารพิจารณามากขนาดนั้นแค่ออกโดยนายจ้างก็จบแล้ว โดยใช้ฟอร์มของทางจังหวัด ไม่ต้องลงตราประทับของทางราชการเลย ขอแค่ตราบริษัทพอ ซึ่งเมื่อก่อนอาจเข้มกว่านี้แต่หลังจากกรณีที่กลุ่มคนงานก่อสร้างโดนจับ หลังจากนั้นทางตำรวจผ่อนคลายค่อนข้างมาก จะเห็นได้ว่าหลังจากกรณีนั้นไม่มีข่าวอีกเลย ส่วนเรื่องแรงงานต่างด้าว ถ้าเค้าได้ชื่อว่าเป็นพนักงานของคุณแล้วคุณออกเอกสาร ยังไงก็ผ่านครับ อันนี้จากประสบการณ์ตรงของตัวเองด้วย เพราะผมมีการจ้างแรงงานต่างด้าวเข้ากะอยู่
ส่วนเรื่องเคอร์ฟิว แรกเริ่มเดิมทีเค้าไม่ได้อยากออกมาหรอก แต่จำได้มั้ยว่าเค้าออกเพราะอะไร มันเริ่มจากเรื่องผับทองหล่อนั่นแหละ หลังจากนั้นเค้าก็พยายามขอความร่วมมือเรื่องรวมกลุ่มในวงเหล้า แต่ก็ไม่มีใครปฏิบัติตาม สุดท้ายเค้าเลยออกกฏข้อนี้ขึ้นมา ซึ่งมันช่วยมั้ยละ หลังจากกรณีผับทองหล่อแล้ว เรายังไม่ได้ข่าวอีกเลยนะว่าเชื้อมันติดในวงเหล้า
แล้วมันก็มีคำถามต่ออีกนะว่าทำไมไม่ปิดแต่ผับ ทำไมต้องเคอร์ฟิว เพราะว่ามันไม่ใช่แค่ผับที่เปิดกลางคืน มันช่วยจำกัดพวกรวมตัวกันโดยไม่จำเป็นและไม่เกิดประโยชน์ เช่นพวกเด็กแว้นอะไรแบบนี้ด้วย จะเห็นจากคนมาแชร์ข้างบนหลายคนนะว่าพวกเด็กแว้นหายไป
ตอนนี้เค้าก็เริ่มผ่อนคลายไปเรื่อยๆ แล้ว ซึ่งมันก็เป็นเรื่องดี ผมแค่อยากบอกว่าตอนนี้คนกลุ่มหนึ่งได้รับผลกระทบก็ดีแค่ไหนแล้ว ถ้าเกิดมันระบาดหนักจริงคนทุกกลุ่มได้รับผลกระทบมันจะหนักหนากว่านี้หลายเท่านะครับ
อันนั้นจากประสบการณ์โดยตรงของท่าน อย่างของผมและเพื่อนที่ทำงานอยู่อีกจังหวัดหนึ่ง ตอนนี้ของทางผมคนขับรถส่งของกะกลางคืน โดนสั่งยกเลิกทั้งหมดเพราะเคอร์ฟิว แล้วไปสลับเข้ากับกะกลางวัน ทำให้รายได้หายไปครึ่งหนึ่ง ส่วนของเพื่อนงานรับเหมาก็คือตัดต่างด้าวออกหมดเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา และความยุ่งยากในการทำเอกสาร
ผมอธิบายไปในเม้นอื่นและกระทู้อื่นไปแล้วว่ามันสามารถใช้กระบวนการตามกฏหมายปกติในการควบคุมกิจกรรมและสถานที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อได้อย่างไรบ้าง ตาม พรบ.โรคติดต่อ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ พรก.ฉุกเฉิน และเคอร์ฟิว ไอ้ที่ท่านกังวล มันจะไม่แปลกถ้าสถานการณ์ติดเชื้อยังไม่ลดลง แต่นี้เราไม่มีปัจจัยเสี่ยงในประเทศที่น่ากังวลมาร่วมเดือนแล้ว มีเหตุผลอะไรที่จะต้องเข้มงวดกันขนาดนี้อีก (พวกแว้นหายไป คนที่ค้าขายกลางคืนเองก็หายไปด้วยเช่นกัน ตลาดโต้รุ่ง ร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางที่ให้บริการพวกขับรถกลางคืน มันคุ้มกันไหม?)
แล้วเรื่องโรคระบาดเนี่ย ผมแนะนำให้ไปอ่าน How pandemic end ของ NY times แล้วท่านจะได้เข้าใจว่าโรคนี้มันไม่มีทางหายไปจากสังคม เดี๋ยวอีกสักพักสังคมมันจะเริ่มปรับตัวให้อยู่กับไวรัสได้เอง ประเทศอื่นเขามองภาพรวมของเศรษฐกิจ พอเริ่มคุมได้เขาก็เริ่มทยอยเปิดกันหมดแล้ว โดยมีมาตราการรองรับการแพร่ระบาดระลอก 2 เพราะมันเลี่ยงไม่ได้ พอเกิดจริงก็ดำเนินการตามมาตราการ แล้วก็ควบคุมเฉพาะส่วน ไม่ว่าจะ จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ยุโรปกลาง แสกนดิเนเวีย นั้นคือกลุ่มประเทศที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจมากพอจะเพิ่งตัวเองด้วยนะ
แล้วท่านลองหันกลับมามองประเทศของเรา การท่องเที่ยว 0 ส่งออกติดลบ gdp คาดการณ์ -5 ถ้าไม่ปลดมาตราการในประเทศ แล้วกระตุ้นการบริโภคภายใน ท่านคิดว่าประเทศเราจะเอาตัวรอดผ่านปีนี้ไปได้ยังไง แม้ผู้ติดเชื้อจะเป็น 0 คนไปตลอดก็ตาม (แช้วยิ่งภายใต้รัฐบาลชุดนี้)
ตอนนี้มันถึงเวลาจะต้องมองปัญหาในส่วนอื่นนอกจากไวรัสได้แล้ว เวลาเศรษฐกิจมันล้ม ในทุนนิยม มันล้มทีทั้งระบบ sme ล้ม ธนาคารล้ม ผู้บริโภคล้ม นายทุนก็ล้มตาม