ปลายอาชีพค้าแข้ง
Status: Silence makes us understand ourselves.
: 0 ใบ
: 0 ใบ
เข้าร่วม: 05 Dec 2016
ตอบ: 10398
ที่อยู่: thailand, Land of smile
โพสเมื่อ: Tue Dec 10, 2019 22:48
โรคจิต ถ้าทำผิดกฎหมายก็ต้องรับโทษครับ (เห็นหลายท่านเข้าใจผิด)
คนทั่วไปมักเข้าใจผิดว่าคนบ้าทำผิดไม่ต้องรับโทษ ซึ่งโอเคครับ มีส่วนจริงอยู่แต่ไม่ทั้งหมด
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 65 “ผู้ใดกระทำความผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้ เพราะมีจิตบกพร่อง โรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือน ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น
แต่จริงๆแล้วมันมีต่อมาอีกครับ
"แต่ถ้าผู้กระทำความผิดยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตัวเองได้บ้าง ผู้นั้นต้องรับโทษสำหรับความผิดนั้น ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”
ก็คือคุณบ้าจริง แต่คุณยังมีความรู้ผิดชอบอยู่บ้าง หรือยังสามารถบังคับตัวเองได้บ้าง ก็ต้องรับโทษ แต่ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดก็ได้
กรณีตัวอย่างเลยนะ ที่เอาคนมีอาการทางจิตเข้าคุก
คือกรณีจิตรลดา ผู้ป่วยจิตเวชที่เคยก่อเหตุใช้อาวุธมีดแทงเด็กนักเรียนหญิงโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ 4 คน จนได้รับบาดเจ็บ เมื่อปี 2548 ศาลพิพากษาให้จำคุกนางสาวจิตรลดาเป็นเวลา 8 ปี ในความผิดฐานพยายามฆ่า แต่เพราะให้การรับสารภาพ จึงลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงเหลือจำคุก 4 ปี
เนื่องจากนางสาวจิตรลดาได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีอาการป่วยโรคจิตเภทเรื้อรังมาตั้งแต่อายุ 20 ปี หลังจากจำเลยรับโทษจำคุกครบ 4 ปีแล้ว ให้ส่งตัวไปบำบัดอาการป่วยที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ให้หายเป็นปกติต่อไป
หรืออย่าง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 809/2548 จำเลยเป็นผู้มีอาการทางประสาท โวยวายว่าจะมีผู้อื่นมาฆ่าจำเลย บิดาและมารดาของจำเลยเคยนำจำเลยไปรักษาอาการทางประสาทที่โรงพยาบาล แต่เมื่อไปถึงโรงพยาบาล จำเลยวิ่งหนีไม่ยอมเข้าไปรักษา ก่อนเกิดเหตุ 2 เดือน จำเลยมีอาการคลุ้มคลั่งกลัวคนอื่นจะมาฆ่า … (ตัดย่อข้อความบางส่วน) … ตามพฤติการณ์แห่งคดีจึงน่าเชื่อว่าจำเลยมีความผิดปกติในความคิดและการรับรู้ แม้ข้อเท็จจริงเพียงเท่านี้ยังไม่เป็นการชัดแจ้งว่า จำเลยกระทำความผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบ หรือไม่สามารถบังคับตนเองได้เพราะมีจิตบกพร่อง แต่การที่จำเลยเกิดความหวาดกลัวว่าจะมีคนมาทำร้าย และหลังเกิดเหตุจำเลยวิ่งหลบหนีไปนั้น แสดงว่าจำเลยมีอาการผิดปกติทางจิตใจหรือจิตบกพร่อง แต่ก็เชื่อได้ว่าจำเลยยังสามารถรู้ผิดชอบอยู่บ้าง ซึ่งศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
เว้นแต่แบบเคสนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8743/2544 จำเลยปัญญาอ่อนถึงขนาดไม่อาจรู้ได้ว่าการตัดต้นไม้หวงห้ามเป็นผิดกฎหมาย กรณีจึงมิใช่จำเลยกระทำผิดในขณะไม่สามารถรู้ผิดชอบเพราะมีจิตบกพร่องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 65 วรรคหนึ่งเท่านั้น แต่ถึงขั้นที่ถือได้ว่าจำเลยกระทำโดยมิได้รู้สำนึกในการที่กระทำทั้งมิได้รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด การกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิด เพราะขาดเจตนาตามมาตรา 59
สุดท้ายแล้ว หลังจากติดคุกตามความผิดที่ได้กระทำ รัฐก็ยังมีมาตราการกรองอีกชั้นนึง ก่อนปล่อยตัวต้องทำให้หายป่วยทางจิตก่อน
ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 48
“ถ้าศาลเห็นว่า การปล่อยตัวผู้มีจิตบกพร่อง โรคจิตหรือจิตฟั่นเฟือน ซึ่งไม่ต้องรับโทษหรือการได้รับการลงโทษตาม มาตรา 65 จะเป็นการไม่ปลอดภัยแก่ประชาชน ศาลจะสั่งให้ส่งไปคุมไว้ในสถานพยาบาลก็ได้ และคำสั่งนี้ศาลจะสั่งเพิกถอนเสียเมื่อใดก็ได้”
แต่ถ้าจะสงสัยก็คงมี แบบทดสอบทางจิตวิทยา ซึ่งหากไม่ใช่ผู้ที่เชี่ยวชาญด้านนี้จริง ๆ คงไม่มีทางรู้ว่าต้องตอบยังไง การแสดงให้เนียนระดับหลอกจิตแพทย์และผู้เชี่ยวชาญได้นี่ผมก็ว่ายากอยู่นะ
เพิ่มเติม
ปล. เผื่อมีคนอยากอ่านท่อนเกี่ยวกับจำเลยยาวๆ สำนวนผู้พิพากษาท่านนี้ดีมากเลยนะ
ศาลอาญากรุงเทพใต้ คดีหมายเลขดำที่ 6957/2549
(เฉพาะท่อน)
"จำเลยจะมีจิตบกพร่องฟั่นเฟือนหรือไม่ สามารถมีความรับผิดชอบตัวเองและบังคับตัวเองได้บ้างหรือไม่นั้น เห็นว่าโจทก์มีบุคคลในครองครัวของจำเลยและแพทย์สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ เบิกความว่า จำเลยมีอาการป่วยเป็นจิตเภทเรื้อรังมาตั้งแต่อายุ 20 ปี ครั้งแรกเข้ารักษาโรงพยาบาลนิติจิตเวชปี 2536 แล้วหยุดรักษาไป จากนั้นเข้ารักษาที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยาในปี 2544 และหยุดรักษาไปอีกครั้ง โดยแพทย์ให้ความเห็นว่า จำเลยป่วยเป็นโรคจิตเภท ประเภทหวาดระแวง หูแว่ว ประสาทหลอน ต้องฉีดยาและกินยารักษาตัวไปตลอดชีวิต โดยจำเลยจะใช้ชีวิตได้ตามปกติได้ รู้รับผิดชอบการกระทำของตัวเองได้บ้าง โดยช่วงก่อนเกิดเหตุจำเลยไม่ได้กินยา และหนีออกจากบ้านพร้อมขโมยบัญชีเงินสดมาด้วย เห็นว่าแม้ทางการแพทย์จะลงความเห็นดังกล่าว แต่พฤติกรรมของจำเลยที่แทงนักเรียนลูกครึ่งไทยอินเดีย และลูกครึ่งไทยจีน มีการเฝ้าดูนักเรียนผู้เสียหายที่ 1 มาก่อน มีการดักรอ ซื้อมีดหลายเล่มไว้ก่อเหตุแทง ทั้งยังมีการเปลี่ยนเสื้อผ้า ทรงผมหลังก่อเหตุ ตลอดจนให้การกับพนักงานสอบสวนถึงเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนถึงขั้นตอนที่แพทย์ทำการรักษา เป็นการลำดับเหตุการณ์อย่างปกติ ที่จำเลยอ้างว่าขณะเกิดเหตุมีปัญหาการป่วยทางจิต ไม่สามารถบังคับตัวเองได้ จึงเป็นเพียงข้อกล่าวอ้างลอยๆ ซึ่งไม่มีหลักฐานอื่นมาสนับสนุน พิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4) , 80 และ 65 วรรค 2 ให้จำคุก 4 กระทง กระทงละ 2 ปี คำรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม จำคุกจำเลย 4 ปี เมื่อพ้นโทษจำคุกแล้วให้ส่งตัวจำเลยไปคุมตัวรักษาที่สถานกัลยาณ์ราชนครินทร์จนกว่าจำเลยจะอยู่ร่วมในสังคมได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อสังคม โดยให้แพทย์ผู้รักษารายงานผลต่อศาลทุก 6 เดือน ทั้งนี้ตามมาตรา 48 บัญญัติว่า หากศาลเห็นว่าการปล่อยตัวผู้มีจิตบกพร่อง โรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน ซึ่งไม่ต้องรับโทษหรือได้รับการลดโทษจะเป็นการไม่ปลอดภัยแก่ประชาชน ศาลจะสั่งให้ส่งไปคุมตัวไว้ในสถานพยาบาลก็ได้"
แก้ไขล่าสุดโดย ทาสรักสาวตัวเล็ก เมื่อ Tue Dec 10, 2019 22:55, ทั้งหมด 1 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ