ก็เห็นด้วยหน่อยๆนะ แต่ก็อย่างว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนไปมาก บางอย่างมันก็ต้องปรับบ้างล่ะ

ถ้ามีฝ่ายปกครองในสโมสรแล้วคนนั้นคือ รอย คีน ไม่อยากจะคิดเลยว่านักเตะชุดปัจจุบันมันจะทนได้กี่คน เกินครึ่งน่าจะขอย้ายทีม

ผมมองอย่างเข้าใจมากกว่านะ ไม่ได้มองเหมือนกัน แต่เข้าใจแก เพราะ mindset แบบนี้มันมีส่วนสำคัญให้แกเป็นตำนานจนทุกวันนี้

แฟนแมนยูเองก็โหยหามานาน สำหรับ "Man Utd Man" ที่รักและบ้าคลั่งกับสโมสร นำมาซึ่งความกระหายและทุ่มเท แบบที่เคยเห็นคีน เบ็คแฮม แกรี่ รูนี่ย์ ทำให้ดูในสนาม

วันนี้ แดน เจมส์ ได้ MOM เป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งย้ายมาจากทีมชปช.ที่ดันทุ่มเทให้ Manchester United และเกมแดงเดือดมากกว่าคนอื่นๆ เสียอีก...

ก็อย่างว่า นี่มันยุค social media เด็กยุคใหม่ ไม่ได้ต้องมาขัดสตั๊ดให้ทีมชุดใหญ่เหมือนสมัยก่อน

ข้อดีอีกเรื่องของ mindset แบบสุดขั้วสักหน่อยของเฮียคีนแก ก็คือแกมีสมาธิกับเกมมากโคตรๆ ๆ ซึ่งแฟนผีอย่างผมมองว่าเกมนี้ทีมผมมีสมาธิมากกว่าปกตินะ แบบ ยังแอบแปลกใจ ถึงจะมาเหม่อจนโดนตีเสมอกับที่เจมส์ลืมประกบเทรนท์ตอนทดเจ็บนั่นก็เหอะ

Passion น่ะ มันมีผลเสมอแหละ ก็อย่างที่แฟนๆ หงส์ชอบอารมณ์เฮียคล็อปไงครับ

ผมอ่านชีวประวัติเบ็คแฮม บอกเสมอว่าทุกคนสมัยนั้นมีอารมณ์ร่วมกับเกมมาาากกกกก ทุกคนเงียบ ไม่พูดอะไรสักคำเวลาแพ้ และยิ่งเวลา "Boss" เข้ามา (55555555)

คีนแกอาจจะสุดโต่งไปบ้าง ก็จริง แต่ผมก็ยังแอบเข้าใจแก ก็ตามยุคของแก คุณไม่มีทางลงไปทำหน้าหงอยๆ แบบอะไรจะเกิดก็เกิดวะ แต่คุณต้องตื่นตัวทุกวินาที พร้อมตะโกนและบ้าคลั่งไปกับทุกๆ โมเม้นท์ นั่นล่ะครับ

นึกถึงยุคป๋าที่ปลูกฝังแนวคิดแบบนี้ จนริโอออกมายอมรับว่า อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ สตาร์อังกฤษยุคนั้นไม่คุยกันเท่าที่ควร เพราะยังมองกันเองเป็นศัตรูอยู่ด้วย ไม่แชร์ไม่แบไต๋กันกลัวว่าแข่งลีคแล้วความลับจะรั่ว ทำให้ทีมชาติไปได้ไม่สุด
ทั้งๆที่แต่ละชื่ออังกฤษยุคนั้นนี่....รูนี่ เจอร์ราด ริโอ แลมพาร์ด สโคลส์ โคล เบ็ค เทอรรี่ และอีกคับคั่ง!

อันนี้ผมคิดจริงๆนะ ถ้าคีนมาเป็นโค้ชให้แมนยู ผมว่าคีนจะโดนรุมไล่แบบหมาหัวเน่าเลย ไม่มีใครเอา คือวิธีคีนมันก็เจ๋งจริงหรอก แต่เด็กรุ่นนี้มันไม่เอาด้วยแล้ว ผมว่าตายอนาถ บอกตรงๆ

ผมว่าคีนจะโดนเด็กรุมแบน ละเป็นหมาหัวเน่าครับ คือวิธีคีนเจ๋งนะ แต่โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว

ไม่เกี่ยวหรอกครับ ยุคนั้นขนาดแกรี่ เนวิลล์ เพื่อนเก่าย้ายทีมไปอยู่ทีมตรงข้าม อย่างชไมเคิลไปแมนซิ(ในยุคที่ัยังไม่เดือดมากด้วย แมนซิเพิ่งเลื่อนกลับมา) ยังไม่มองหน้าไม่จับมือเลย ทั้งแถวคนอื่นเค้าทักทายกันหมด

ผมว่าความเป็นอริแล้วแต่ยุคสมัยด้วยและอีกอย่างถ้าเป็นระหว่างหงกับซิตี้ผมว่าบรรยากาศน่าจะตึงเครียดกว่านี้ แต่กรณีนี้ผีปีนี้ไม่ได้มาแย่งแชมป์กับหงส์เป้าหมายต่างกันมันเลยผ่อนคลายลงอย่างที่เห็น

ไร้สปิริต ไร้น้ำใจของคนเป็นนักกีฬา ถ้าลงสนามอยู่ในสนามแล้วเล่นเยาะแยะ ไม่เต็มที่เพราะมีคนสนิมสนมอยู่ฝ่ายตรงข้ามไปอย่าง ถ้าลงสนามไปแล้วเล่นแรงเล่นตุกติกเล่นทุกวิถีทางเพื่อให้ทีมชนะ ผมว่ายังดีกว่า

เค้ามาเตะบอล ไม่ได้มาชกกัน ไอ้ลุง

โรคจิตรป่าวว่ะ

น่าจะด้วยความเป็นนักมวย​ ไม่ญาติดีก่อนชก​ คู่ต่อสู้คือคู่ต่อสู้​ อีกฝ่ายจะมายัดเยียดความปราชัย​ให้​ เราต้องอย่าไปยินดียินร้ายกะตรงข้าม

แต่สมัยก่อนก็มันส์จริงแหละ​ ดูเตะกันเพื่อศักดิ์ศรี​สุดๆ​ เงินก็ไม่ได้เยอะ​ แค่เนวิลล์โดนด่าเตี้ย​ คีนจะซัด​ ใครทำไรลูกน้องกูไม่ได้​

สมัยนี้ก็เปลี่ยนเข้าใจได้​ เพื่อนร่วมอาชีพกัน​ มิตรภาพควรพึงมี​

เรื่องงี้แล้วแต่มุมมอง​ สำหรับผมถ้าก่อนเตะ​ หรือในสนาม​ ก็ควรจะ จดจ่อ​ สมาธิ​ เล่นเพื่อทีม​ตัวเอง หลังเกมส์จับมือกอดกันก็ไม่น่าเสียฟอร์มหรอก​

เห็นด้วยอีกคนนะ ผมมองว่ามันเป็นการปลุกอารมณ์ต่อสู้ให้ ฮึกเหิม ขึ้นอีก

แล้วคีน ก็ไม่ได้ห้ามทักทายกันเป็นมิตรกันแต่แก บอกไปทำกันหลัง จบเกมส์ ก็ได้

เห็นด้วย และ ไม่เห็นด้วยนะ

จะปลุกผีจริงๆ ต้องใช้ผีตัวนี้