ไม่มีทางครับ ถ้าทำได้ไฟแนนซ์เจ๊งพอดี
ปกติไฟแนนซ์ต้องเอารถไปขายต่อ มันจะมีส่วนต่างค่าขาดประโยชน์ที่เขาควรได้รับจากสัญญาเช่าซื้อที่ทำไว้ ถ้าขายรถได้ต่ำกว่ายอดหนี้ที่เหลืออยู่ ยังไงก็โดนฟ้องต่อแน่นอน  

Chayut Ratanapong ศาลฎีการับฟังข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติว่า:
• ๙ มค.๕๗ จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์อีซูซุ จากโจทก์ ในราคา ๖๑๘,๘๔๐ บาท
• ตกลงผ่อนชำระ ๗๒ งวดๆ ละ ๘,๕๙๕ บาท ทุกวันที่ ๑๐ ของเดือน
• งวดแรก ๑๐ กพ.๕๗ จำเลยที่ ๑ ชำระ ๘,๕๙๕ บาท (ตรงนัด)
• งวดสอง ๑๐ มีค.๕๗ จำเลยที่ ๑ ชำระ ๘,๕๙๕ บาท (ตรงนัด)
• ๙ เมย.๕๗ จำเลยที่ ๑ ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่โจทก์ (ก่อนถึงกำหนดชำระค่าเช่าซื้องวดสาม ๑ วัน จึงยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด)
• โจทก์นำรถยนต์ออกขายทอดตลาดได้ราคา ๓๔๗,๖๖๓.๕๕ บาท

Chayut Ratanapong ประเด็นที่ได้รับอนุญาตให้ฎีกา:
.... จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดชดใช้ค่าขาดราคาให้แก่โจทก์หรือไม่

Chayut Ratanapong ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า:
.... แม้ในสัญญาเช่าจะมีข้อความว่า "กรณีที่เจ้าของได้รถกลับคืนมาไม่ว่าจะด้วยเหตุ ที่เจ้าของเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญา หรือผู้เช่าซื้อเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญา โดยการส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนเจ้าของ หากเจ้าของนำรถออกขายได้ราคาน้อยกว่ามูลหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญา ผู้เช่าซื้อตกลงรับผิดส่วนที่ขาด" ก็ตาม
.... แต่การที่จำเลยที่ ๑ นำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปส่งมอบคืนให้แก่โจทก์ ก่อนถึงกำหนดชำระค่าเช่าซื้อ แม้จะเพียง ๑ วัน ก็ยังแสดงว่า ในขณะส่งคืนทรัพย์ที่ให้เช่าซื้อ จำเลยที่ ๑ ก็ยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด
.... กรณีมิใช่เรื่องที่จำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ แล้วนำรถยนต์ที่เช่าซื้อไปส่งมอบคืนให้แก่โจทก์
.... แต่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๑ ใช้สิทธิเลิกสัญญาเช่าซื้อ ในขณะที่ตนเองยังไม่ได้ตกเป็นผู้ผิดนัด ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๕๗๓ ซึ่งบัญญัติว่า "ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ด้วยส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่เจ้าของโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง"
.... จึงเป็นกรณีที่จำเลยที่ ๑ มิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา
.... และขณะที่สัญญาเลิกกัน ก็ไม่ปรากฏว่า มีหนี้ที่จะต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด
.... โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิที่จะเรียกค่าขาดราคาจากจำเลยที่ ๑