#24 สิ่งที่ได้เห็นจากเกมผีเจ๊าหมาป่า
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พลาดโอกาสขึ้นนำจ่าฝูง พรีเมียร์ลีก อย่างน่าเสียดาย หลังปล่อยให้ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอร์เรอร์ส ตามตีเสมอ 1-1 แถมพอได้จุดโทษก็ดันยิงไม่เข้าและนี่คือ 24 สิ่งที่ Tor The Hitman เห็นจากเกมนี้
1. แมนฯยู ปรับทัพจากนัดแรกที่ถล่ม เชลซี 4-0 แค่ตำแหน่งเดียวคือ แดเนี่ยล เจมส์ ลงยืนปีกขวาแทน อันเดรียส เปเรยร่า โดยที่ยังเล่นระบบ 4-2-3-1 ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่พวกเขาไม่ได้กลัวคู่แข่งที่ชื่อชั้นต่ำกว่าจนต้องปรับแผนไปมาอีกแล้ว
2. ค่าเฉลี่ยอายุตัวจริงของ "ปีศาจแดง" เกมนี้คือ 24 ปีกับ 173 วัน ซึ่งถือว่าหนุ่มที่สุดในพรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้และหนุ่มที่สุดสำหรับสโมสรนับตั้งแต่ปี 2017
3. แอ็กเซิ่ล ทวนเซเบ้ ได้อยู่ข้างสนามในโควต้าเซนเตอร์แบ็คก่อน คริส สมอลลิ่ง และ ฟิล โจนส์ อีกครั้ง ชัดเจนว่าเขาคงเป็นตัวเลือกลำดับ 3 ในตำแหน่งนี้
4. เกมในครึ่งแรก "หมาป่า" มาแบบรัดกุมด้วยการถอยไปตั้งรับแบบคุมโซนเพื่อปิดพื้นที่ ซึ่งมีผลให้บอลส่วนใหญ่ตกอยู่ในการครอบครองของผู้มาเยือน จนมาพลาดเสียประตู 1-0 จากการขึ้นเกมอย่างมีทีมเวิร์คและรวดเร็ว ก่อนลงเอยด้วยการที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ไหลทะลุช่องให้ อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล เข้าไปตะบัน ทำให้หอกเฟร้นช์แมนกลายเป็นนักเตะคนที่ 53 ที่ยิงให้ แมนฯยู ได้ถึง 50 ประตู
5. อันที่จริง "ปีศาจแดง" เกือบทิ้งห่าง 2-0 ก่อนจบครึ่งแรก น่าเสียดายที่ช็อตหลุดเดี่ยวของ มาร์กซิยาล โดน วิลลี่ โบลี่ ล้มตัวสไลด์จนทำให้เสียจังหวะไป
6. ครึ่งหลัง นูโน่ ซานโต้ แก้เกมด้วยการส่ง อดาม่า ตราโอเร่ ลงมาลุยกราบขวาแทน แมตต์ โดเฮอร์ตี้ ซึ่งความแข็งแกร่งและความเร็วของอดีตปีกลูกหม้อ บาร์เซโลน่า ก็สร้างความปั่นป่วนให้ทีมเยือนได้อย่างต่อเนื่อง จนมาเรียกฟาวล์ให้ เชา มูตินโญ่ เปิดฟรีคิกให้ ราอูล ฮิเมเนซ โฉบมาโหม่งไปกระแทกเสาไกล
7. จังหวะต่อเนื่อง มูตินโญ่ เล่นเตะมุมสั้นก่อนยัดเรียดมาบริเวณหัวกระโหลกให้ รูเบน เนเวส จับบอลแล้วแต่งอีกครั้งก่อนเอี้ยวตัวปั่นหนีมือ ดาบิด เด เคอา ที่บินสุดชีวิตแล้ว แต่ก็เอาไม่อยู่ บอลเสียบสามเหลี่ยมให้ วูล์ฟ กลับมาตีเสมอ 1-1
8. ดูเหมือนว่าการที่ ฮิเมเนซ โขกไปชนเสาในช็อตก่อนหน้านี้ทำให้แนวรับ แมนฯยู มัวไปพะวงกับด้านในกรอบเขตโทษมากเกินไป จนเปิดที่ว่างให้ เนเวส ได้มีเวลาแต่งบอลขนาดนั้น สุดท้ายเลยโดนลงโทษด้วยลูกทีเด็ดของแข้งโปรตุกีส ซึ่ง 10 จาก 13 ประตูที่เขาทำให้กับ "หมาป่า" ล้วนมาจากการส่องไกล
9. แมนฯยู มีโอกาสขึ้นนำอีกครั้งในจังหวะที่ ปอล ป็อกบา ลากบอลเข้าไปเล่นกับ แรชฟอร์ด ในเขตโทษท่ามกลางวงล้อมผู้เล่นเจ้าบ้าน 6 คน ก่อนโดน คอเนอร์ โคอาดี้ ดักขาล้มกลายเป็นจุดโทษ ซึ่ง ป็อกบา ขันอาสายิงเอง แต่ติดเซฟ
10. การพลาดจุดโทษของ ป็อกบา กลายเป็นประเด็นให้ถูกพูดถึง เพราะในเกมแรกที่ แมนฯยู ได้ลูกโทษ เป็นทาง แรชฟอร์ด ที่สังหารเข้าไป ซึ่งตามความรู้สึกของแฟนบอล ในเมื่อฝ่ายหลังยังทำหน้าที่ได้ดีก็ควรได้เป็นผู้ยิงต่อไป
11. ทว่าในมุมของ ป็อกบา ที่เป็นคนเรียกฟาวล์ก็อยากยิงเองเพราะเกมนี้เขายังทำผลงานได้ไม่เป็นชิ้นเป็นอันนัก ดังนั้นถ้าทำประตูได้ เขาก็อาจเรียกความมั่นใจจนกลับมาสร้างสรรค์เกมรุกที่มีประโยชน์ให้กับทีมอีกครั้ง แต่ในเมื่อเขาทำไม่สำเร็จ การตกเป็นเป้าโจมตีเลยเกิดขึ้น เพราะนี่ถือเป็นการพลาดจุดโทษในเกมลีกลูกที่ 4 จาก 11 ครั้งนับตั้งแต่ซีซั่นก่อน ไม่มีใครแล้วที่พลาดเยอะเท่าเขา
12. โอเล่ กุนนาร์ โซลชา บอกว่าทั้ง แรชฟอร์ด และ ป็อกบา ถูกวางตัวให้เป็นมือสังหารจุดโทษ มันขึ้นอยู่กับพวกเขาว่าจะให้ใครยิงในสถานการณ์นั้น ขณะที่ แรชฟอร์ด ก็แก้ต่างให้รุ่นพี่ว่าการขอยิงจุดโทษเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ในยามที่รู้สึกว่าพร้อมทำหน้าที่ ส่วนการยิงไม่เข้าก็เป็นเรื่องปกติที่ทุกคนพลาดกันได้ ดังนั้นเราควรสนับสนุนนักเตะต่อไปดีกว่า เพราะ ป็อกบา ก็เจ็บใจในตัวเองไม่น้อย
13. ช่วงเวลาที่เหลือ แมนฯยู พยายามบุกเอาประตูอีกครั้ง แต่ก็เจาะได้ลำบากและกว่าที่ โซลชา จะเปลี่ยนตัวผู้เล่นก็ต้องรอถึงนาที 81 โดยให้ ฆวน มาต้า ปั้นเกมแทน เจสซี่ ลินการ์ด ต่อด้วยนาที 89 เปเรยร่า กับ เมสัน กรีนวู้ด ลงมาแทน แรชฟอร์ด และ เจมส์ การขยับหมากที่ช้าแบบนี้ของกุนซือนอร์เวเจี้ยนอาจสื่อได้ว่าเขาไม่เชื่อใจขุมกำลังสำรองที่มีว่าดีพอลงไปเปลี่ยนเกมแทนตัวจริงที่กำลังทำหน้าที่ได้ เพราะหากมีทางเลือกดีกว่า เขาคงไม่รอนานแบบนี้
14. สิ่งที่น่าสงสัยคือทำไม แมนฯยู ถึงไม่ใช้ประโยชน์จากลูกหัว แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะในยามที่เกมบุกหมดไอเดีย ขณะที่ตัวเตะเซตพีซแม่นๆก็เป็นสิ่งที่ทีมต้องการ บางที แม็คไกวร์ อาจกำลังโหยหาบอลเปิดจาก เจมส์ แมดดิสัน ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเพลย์เมคเกอร์ที่สโมสรควรไปดึงมาเสริมทัพให้ได้
15. แนวรับวันนี้ทำหน้าที่ได้ดีแล้ว โดยเฉพาะ อารอน วาน-บิสซาก้า ที่ปกป้องพื้นที่ฝั่งขวาได้ดี แถมยังดอดขึ้นไปเปิดบอลเข้าพื้นที่สุดท้ายหลายครั้ง ส่วนคู่เซนเตอร์แบ็คอย่าง วิคตอร์ ลินเดเลิฟ และ แม็คไกวร์ แม้มีช็อตพลาดเล็กๆ แต่ก็ไม่เสียหายและทำให้ ดาบิด เด เคอา เจองานไม่ยาก ยกเว้นช็อตเสียประตู
16. ความแข็งแกร่งของสามคนนั้น ทำให้ ชอว์ กลายเป็นเป้าให้คู่แข่งเข้าโจมตีเพราะถูกมองว่าเปราะบางสุด ทั้งที่เขาก็เป็นแบ็คซ้ายมีระดับ แต่พอถูกเล่นงานมากๆก็มีหลุดตำแหน่งทั้งในเกมกับเชลซี รวมถึงการเสียท่าให้ ตราโอเร่ ในนัดนี้
17. เกมนี้ไม่ใช่ช่วงเวลาที่ ป็อกบา อยากจดจำ เพราะนอกจากพลาดจุดโทษแล้ว เขาก็ไม่สามารถปั้นเกมบุกให้ทีมได้อย่างที่ควรเป็น เช่นเดียวกับในรายของ สก็อตต์ แม็คโทมิเนย์ ที่แม้ตัดเกมได้หลายจังหวะ แต่ก็จ่ายบอลเสียหลายครั้่งด้วย
18. อย่างไรก็ตามเราต้องให้เครดิตกับแผงมิดฟิลด์ของ "หมาป่า" ด้วยว่าแข็งแกร่งและเล่นกันลงตัวมาก ทั้ง มูตินโญ่, เลอันเดอร์ เดนด็องเกอร์ และ เนเวส โดยเฉพาะรายหลังที่ แมนฯยู น่าดึงมาเป็นทายาท เนมานย่า มาติช อย่างมาก
19. เจมส์ เป็นปีกที่สามารถระเบิดความเร็วออกมาเล่นงานคู่แข่งได้ตลอดเวลา โชคร้ายที่กระดูกบอลของเขายังมีแกร่งพอที่จะผ่านแบ็คซ้ายเชิงสูงแบบ จอนนี่ อ็อตโต้ ก็ต้องให้เวลาเขาได้เรียนรู้อีกสักระยะ อย่าลืมว่าเขาถนัดปีกซ้ายมากกว่า
20. ลินการ์ด เพรสซิ่งได้ดีจนมีจังหวะตัดบอลได้หลายครั้ง ทว่าในบทบาทของมิดฟิลด์ตัวรุกแล้ว เขาสอบตกอย่างสิ้นเชิง เพราะเล่นได้แค่ลูกฉาบฉวย แต่พอต้องมาปั้นเกมรุกอย่างจริงจังกลับไม่สามารถทำได้ แถมโยนโอกาสทองที่ วาน-บิสซาก้า สร้างให้ทิ้งไปสองหน ทั้งวอลเล่ย์วืดและจับบอลทะลุช่องพลาด
21. การที่ ลินการ์ด ไม่สามารถเป็นที่พึ่งในการขึ้นเกมบุกของเพื่อนได้ ขณะที่ มาต้า ก็ไม่มีความเร็วพอในการพาบอลไปลุยเอง ส่วน เปเรยร่า ก็คิดช้า พอเจอคู่แข่งบีบเร็วก็เล่นไม่ออกแบบในเกมกับ เชลซี บางทีเมื่อสามคนนี้ได้พิสูจน์ตัวเองจนสิ้นข้อสงสัย ก็อาจทำให้ โซลชา มีเหตุผลมากพอให้ใช้ แองเจิ้ล โกเมส
22. มาร์กซิยาล เป็นแมน ออฟ เดอะ แมทช์ของฝั่ง "ปีศาจแดง" ในเกมนี้ เขาโชว์ให้เห็นแล้วว่าสามารถเป็นหน้าเป้าที่เข้าทำเองหรือแม้แต่พักบอลรอเพื่อนก็ได้ การยิงได้ 2 นัดติดก็ทำให้ระดับความมั่นใจของเขาเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ แรชฟอร์ด ก็ทำได้ 2 ประตูจาก 2 เกมเช่นกัน แมนฯยู เลยมีกองหน้าที่พึ่งพอได้
23. การเสมอวูล์ฟ 1-1 เป็นเรื่องน่าเสียดาย แต่ไม่ถึงกับเสียหาย เมื่อดูจากความพยายามในการลุยเอาประตูจนนาทีสุดท้ายของนักเตะ ถือว่าน่าประทับใจเพราะสิ่งสำคัญคือเรื่องทัศนคติความเป็นผู้ชนะ ซึ่ง แมนฯยู ก็มาถูกทางแล้ว
24. ซีซั่นก่อน แมนฯยู ไม่ชนะ วูล์ฟ ทั้ง 3 เกมและเป็นการบุกมาแพ้ถึง 2 นัด แต่ตอนนี้สามารถออกมาเก็บแต้มจาก "หมาป่า" ที่ทำได้ดีเสมอเมื่อเจอทีมบิ๊กซิกส์ด้วยกัน ขณะที่นัดแรกเราก็ผ่านทีมใหญ่อย่าง เชลซี มาได้ ซึ่งแตกต่างจากผู้นำอย่าง ลิเวอร์พูล และ อาร์เซน่อล ที่แม้ชนะ 2 นัด แต่ก็เป็นการเจอกับทีมระดับล่าง ดังนั้นเราก็ยังมีโอกาสเกาะกลุ่มหัวตารางต่อไปได้
หากชื่นชอบบทความแนวนี้ สามารถติดตามอ่านได้ทางเพจ
Tor The Hitman https://www.facebook.com/Tor-The-Hitman-522996554858275