ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
ดาวเตะพรีเมียร์ลีก
Status: พุงพลุ้ยคุยบอล กลับมาแล้ว
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 06 Oct 2010
ตอบ: 4354
ที่อยู่: บนโลกนี้แหละ...
โพสเมื่อ: Thu Jun 27, 2019 00:44
(Day 69)สรุปข่าวประจำวันแค่ 7 นาทียกระดับความรู้รอบตัวของพวกท่าน
{ (Day 69) มาร่วมสละเวลาเล็กน้อยเพิ่มความรู้รอบตัวกันครับ }

---จุดประสงค์เพื่อ---

⦿ ผลักดันตนเองให้อ่านหนังสือ
⦿ เป็นแนวทางให้เพื่อนสมาชิกเห็นว่า อย่างน้อยที่สุด อ่านวันละ 7 นาทีก็เพิ่มพูนความรู้ให้แก่ตนเองได้
⦿ ตราบใดมีลมหายใจ การศึกษาคือการเรียนรู้ตลอดชีวิต





สภาล่างมะกัน ผ่านกม.ช่วยผู้อพยพบริเวณชายแดนมะกัน-เม็กซิโก ทรัมป์ขู่วีโต้






สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกา ผ่านร่างกฎหมายพร้อมงบประมาณมูลค่า 4,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อแก้ปัญหาผู้อพยพจากอเมริกากลางที่เพิ่มจำนวนขึ้นบริเวณชายแดนสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโก โดยกฎหมายดังกล่าวจะเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่สำหรับผู้อพยพที่ถูกทางการสหรัฐควบคุมตัว หลังจากมีรายงานข่าวสภาพความเป็นอยู่ของผู้อพยพโดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่แออัดและย่ำแย่


รายงานระบุว่าสมาชิกสภาผู้แทนฯที่ครองเสียงข้างมากโดยพรรคเดโมแครตลงคะแนนผ่านร่างกม.ดังกล่าวด้วยเสียง 230 ต่อ 195 เสียง อย่างไรก็ตามกฎหมายดังกล่าวมีอนาคตที่ไม่แน่นอน เนื่องจากวุฒิสภาสหรัฐที่ครองเสียข้างมากโดยพรรครีพับลิกัน ก็กำลังร่างกม.ในรูปแบบของตนเองอยู่ในขณะนี้ ขณะที่โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ เองก็ประกาศจะใช้สิทธิวีโต้ร่างกม.ของสภาผู้แทน ด้านเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวก็วิจารณ์กม.ดังกล่าวว่าจะทำให้ความพยายามในการบังคับใช้กฎหมายบริเวณชายแดนอ่อนแอลง




ด้านพรรคเดโมแครต ระบุว่ากฎหมายดังกล่าวที่ผ่านสภาล่างนั้นเป็นการแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรม และยังยืนยันว่าไม่ใช่การยอมรับการดำเนินการจัดการกับผู้อพยพของรัฐบาลสหรัฐชุดนี้ที่จำกัดสิทธิและทำกลายกำลังใจของคนกลุ่มนี้


ทั้งนี้การร่างกฎหมายดังกล่าวมีขึ้นหลังโดนัลด์ ทรัมป์ ร้องขอความช่วยเหลือโครงการที่ให้ความดูแลบรรดาผู้อพยพจากภูมิภาคอเมริกากลางที่หลั่งไหลเข้าสู่ชายแดนสหรัฐเป็นจำนวนมากจนเกิดความสามารถในการดูแล ทำให้สภาพความเป็นอยู่ อาหาร และการขนส่งเป็นไปอย่างยากลำบาก ล่าสุดนายจอห์น แซนเดอร์ส รักษาการผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองสหรัฐ ต้องประกาศลาออกจากตำแหน่ง


















พรรครัฐบาลตุรกีพ่ายเลือกตั้งซ่อมอิสตันบูล






พรรคความยุติธรรมและการพัฒนา หรือพรรคเอเคภายใต้การนำของ นายเรเจพ เทยิบ แอร์โดอาน ประธานาธิบดีตุรกี สูญเสียเก้าอี้ในนครอิสตันบูลอีกครั้ง ในการเลือกตั้งซ่อมที่เพิ่งจัดขึ้น นับเป็นความพ่ายแพ้อย่างสำคัญ เนื่องจากนครอิสตันบูลถือเป็นฐานที่มั่นของนายแอร์โดอาน ผู้ซึ่งเข้าสู่วิถีทางการเมืองจากการรับหน้าที่ผู้ว่าราชการนครอิสตันบูลตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ 1990


ทั้งนี้สื่อตุรกีรายงานผลการนับคะแนนว่า ผู้สมัครจากพรรครีพับลิกันได้คะแนนไปถึง 54% ขณะที่พรรคเอเคได้คะแนนไปเพียง 45% หลังการนับคะแนนผ่านไปแล้ว 99%


การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 ภายในรอบ 3 เดือน หลังจากผลการเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่พรรคเอเคพ่ายแพ้ถูกล้มกระดาน แต่การเลือกตั้งซ่อมก็ยังคงย้ำถึงความตั้งใจของประชาชนที่หันไปสนับสนุนผู้แทนจากพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งเป็นเหมือนการตบหน้านายแอร์โดอานที่ครองอำนาจในอิสตันบูลมายาวนานกว่า 16 ปี










“พรรคคอนเซอร์เวทีฟ” เผย รู้ผล “นายกฯอังกฤษ” คนใหม่ 24 ก.ค. นี้








สำนักข่าวบีบีซีรายงานว่า พรรคคอนเซอร์เวทีฟของอังกฤษเปิดเผยว่า การเลือกสรรผู้นำพรรคซึ่งจะเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรคนใหม่ แทนที่นายกรัฐมนตรีหญิง “เทเรซา เมย์” คนปัจจุบันจะเสร็จสิ้นลงและทราบผลอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 ก.ค. นี้


โดยขณะนี้มีผู้ที่เป็นตัวเก็งเข้าชิงตำแหน่งดังกล่าว 2 รายคือ “บอริส จอห์นสัน” อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศและ “เจเรมี ฮันต์” รัฐมนตรีต่างประเทศคนปัจจุบัน


ทั้งนี้ภารกิจสำคัญของนายกรัฐมนตรีอังกฤษจากพรรคคอนเซอร์เวทีฟคนใหม่นี้คือการผลักดันให้ การถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปของอังกฤษหรือ “เบร็กซิท” ให้สำเร็จหลังจากที่เมย์ล้มเหลวหลายต่อหลายครั้ง

บอริส จอห์นสัน ระบุว่า อังกฤษจะต้องออกจากสหภาพยุโรปตามกำหนดในภายใน “วันฮาโลวีน” หรือ วันที่ 31 ต.ค. ที่จะถึงนี้ไม่ว่าจะเป็นแบบมีหรือไม่มีข้อตกลง


ขณะที่ เจเรมี ฮันต์ ระบุว่ากำหนดการดังกล่าวอาจเป็น “กำหนดการที่ไม่จริงจัง” แม้ว่าเขาจะสนับสนุนให้เบร็กซิทแบบไร้ข้อตกลงหรือแบบ “มีข้อตกลงที่ดีกว่า” แต่หากว่ารัฐสภาปฏิเสธแนวทางทั้งหมด ก็จะต้องนำไปสู่การจัดการเลือกตั้งทั่วไป เพื่อหานายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่จะมากำหนดทิศทางของอังกฤษต่อไป










ไทยอันดับ 117 ดัชนีความสงบสุขโลก 2019 ร่วง 3 อันดับ รั้งอันดับ 8 อาเซียน









สถาบันเพื่อเศรษฐกิจและความสงบสุข เผยแพร่ดัชนีความสงบสุขโลก (จีพีไอ) ประจำปี 2019 เมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมาพบว่าดัชนีความสงบสุขของโลกในปี 2019 มีพัฒนาการมากขึ้นเล็กน้อย แต่ก็นับเป็นพัฒนาการครั้งแรกในรอบ 5 ปี ขณะที่ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 117 ตกลงไป 3 อันดับเทียบกับปีก่อนหน้า


สำหรับดัชนีจีพีไอ ที่จัดอันดับความสงบสุขจากทั้งหมด 163 ประเทศ ในปี 2019 นี้ มีคะแนนเฉลี่ยพัฒนาขึ้น -0.09 เปอร์เซ็นต์ โดยในช่วง 10 ปีหลังสุดดัชนีความสงบสุขลดลงถึง 3.78 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้จากอันดับดัชนีจีพีไอทั้งหมด มี 89 ประเทศที่มีดัชนีจีพีไอเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่อีก 76 ประเทศมีคะแนนลดต่ำลง โดยไทยอยู่ในอันดับ 117 เป็นหนึ่งในประเทศที่มีคะแนนเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2018 แต่อันดับกลับลดลงมาถึง 3 อันดับจากเมื่อปี 2018 ที่อยู่ในอันดับ 114



เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านในภูมิภาคอาเซียน ไทยอยู่ในอันดับที่ 8 รองจากสิงคโปร์ (7), มาเลเซีย (16), อินโดนีเซีย (41), ลาว (45), ติมอร์ฯ (48), เวียดนาม (57), กัมพูชา (89) ขณะที่ไทยมีออันดับสูงกว่า พม่า (125) และฟิลิปปินส์ (134)



ทั้งนี้ประเทศที่มีดัชนีจีพีไอ สูงที่สุดได้แก่ ไอซ์แลนด์ ตามมาด้วย นิวซีแลนด์, โปรตุเกส, ออสเตรีย และ เดนมาร์ก ขณะที่ประเทศภูฏาน (15) เป็นประเทศที่มีพัฒนาการสูงที่สุดในประเทศ 20 อันดับแรก โดยมีอันดับพุ่งขึ้นถึง 43 อันดับในรอบ 12 ปีหลัง

ด้านอัฟกานิสถานยังคงเป็นประเทศที่มีดัชนีความสงบสุขน้อยที่สุดในโลก แทนที่ซีเรีย ที่สลับไปอยู่ในอันดับรองบ๊วย ตามมาด้วยซูดานใต้ เยเมน และอิรัก ตามลำดับ








“จนไม่จริง” 4.5 ล้านคน รัฐบาลใหม่เตรียมคัดออกจาก “บัตรคนจน”








รัฐบาลโดยกระทรวงการคลัง จะเปลี่ยนหลักเกณฑ์ใหม่ในการจ่ายเงินให้ระบบบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือบัตรผู้มีรายได้น้อย โดยจะพิจารณาจาก “รายได้” ของครอบครัว-การเลี้ยงดูของบุตร หลาน และการหลักทรัพย์เป็นหลัก คาดว่าจะทำให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จาก 14.5 ล้านคน เหลือเพียง 10 ล้านคน ลดภาระงบประมาณลง 4.5 ล้านคน

ทั้งนี้ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เตรียมเสนอปรับเกณฑ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ “บัตรคนจน” ต่อของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีชุดใหม่




จากหลักเกณฑ์เดิม คือ 1.ผู้ลงทะเบียนจะต้องมีสัญชาติไทย อายุ 18 ปีขึ้นไป 2. ต้องเป็นผู้มีรายได้ ไม่เกิน 1 แสนบาท/ปี 3.ต้องมีเงินฝากในธนาคารไม่เกิน 1 แสนบาท 4. มีบ้าน ขนาดไม่เกิน 25 ตร.ว. และมีคอนโดไม่กิน 35 ตร.ว. และ 5.มีที่ดินเพื่ออาศัย อยู่เอง ไม่เกิน 1 ไร่ และมีที่ดินเพื่อการเกษตร ไม่เกิน 10 ไร่

โดยหลักเกณฑ์ใหม่ที่เพิ่มขึ้น คือ การพิจารณาจากรายได้ของครอบครัว แทนที่จะพิจารณาเป็นรายบุคคล เนื่องจากเมื่อมีการตรวจสอบจากฐานะของครอบครัวแล้ว พบว่าบางกรณี ลูก-หลาน ที่ไม่มีรายได้ ทำการลงทะเบียนและสิทธิได้รับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แต่เมื่อมีตรวจสอบแล้ว พบว่าครอบครัวมีฐานะดี ดังนั้นหากผู้ที่ได้รับบัตรสวัสดิการขาดคุณสมบัติ ต้องถูกคัดชื่อออกไปทันที






ซึ่งจากหลักเกณฑ์ดังกล่าว มีการจัดตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัด คณะกรรมการระดับอำเภอ และคณะกรรมการระดับหมู่บ้าน เข้าตรวจสอบด้วย เพื่อคัดกรองผู้ที่สมควรได้รับบัตรสวัสดิการ คณะกรรมการดังกล่าว จะเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับข้อมูลในพื้นที่ ทำให้การคัดกรองคนเข้าและออก มีความแม่นยำและรวดเร็ว รวมถึงหากพบว่าผู้ที่ได้รับสวัสดิการแห่งรัฐขาดหลักเกณฑ์ข้อใดจะต้องถูกชื่อคัดออกทันทีเช่นกัน



อย่างไรก็ตาม มติคณะรัฐมนตรี (20 พ.ย.2561) อนุมัติมาตรการ “ประชานิยม” ใน “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ที่ใช้งบประมาณเกือบ 2 แสนล้าน เพื่อผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 14.5 ล้านคน และกลุ่มผู้มีรายได้น้อยอื่น เช่น มาตรการบรรเทาภาระ ค่าไฟ- ค่าน้ำประปา เงินให้ฟรีเทศกาลปีใหม่ 500 บาท ค่าเดินทางไปรักษาพยาบาล รายละ 1,000 บาท ช่วยเหลือค่าเช่าบ้าน 400 บาท/เดือน

และในช่วง 5 ปีงบประมาณของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ มีการใช้จ่ายงบประมาณผ่านนโยบายการคลัง-การตั้งงบกลางปีเพิ่มเติม เพื่อกลุ่มเศรฐกิจฐานราก เช่น นโยบายไทยนิยมยั่งยืน มาตรการประชารัฐ ไปถึง 878,506.26 ล้านบาท มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นทุกปี ในช่วง 1 ปีก่อนเลือกตั้งสูงสุดจำนวน 372,127.26 ล้านบาท ในภาวการณ์เช่นนี้มีส่วนทำให้รัฐบาลต้องตั้งงบประมาณขาดดุลต่อเนื่องไปอีก 10 ปี

อนึ่ง ข้อมูล มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2559 เห็นชอบให้กระทรวงการคลังดำเนิน “โครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ” เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 100,000 บาท ครั้งแรก (วันที่ 15 ก.ค. 2559 – 15 ส.ค. 2559) ผ่านธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)







โครงการสวัสดิการแห่งรัฐที่เริ่มต้นในปีแรก ใช้เงินงบประมาณทั้งสิ้น 17,469 ล้านบาท โดยจ่ายเงินให้ผู้มาลงทะเบียน 7,715,359 คน ที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี จะได้รับ 3,000 บาท หากมีรายได้ 30,001-100,000 บาท จะได้รับ 1,500 บาท โอนเงินให้ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2559 สิ้นสุดในวันที่ 31 ม.ค. 2560 และครั้งที่ 2 ในปี 2560 รัฐเปิดลงทะเบียนเพิ่มเติม (3 เม.ย. – 15 พ.ค. 2560) ผู้ได้รับสิทธิ์เพิ่มขึ้นเป็น 11.4 ล้านคน

ในปีที่ 2 ของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (ต.ค. 2560 – 27 ก.ย. 2561) มีผู้มาใช้จ่ายผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 42,509.82 ล้านบาท แบ่งเป็นจ่ายให้ร้านธงฟ้าประชารัฐ จ่ายให้ร้านก๊าซหุงต้ม ค่าโดยสารรถ บขส. ค่าโดยสารรถไฟ-รถไฟฟ้า และโอนเงินเข้าบัญชีเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต





ครั้งที่ 3 รัฐบาลเปิดการลงทะเบียนเพื่อ “สวัสดิการแห่งรัฐ” รอบพิเศษ (15 พ.ค. – 30 มิ.ย. 2561) ภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืนในกลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หรือผู้ที่ไม่ได้ลงทะเบียนในรอบที่ 2 มีผู้ได้รับสิทธิ์เพิ่มอีก 3.1 ล้านคน รวมกับผู้ที่ถือบัตรเดิม 11.4 ล้านคน ทำให้ยอดผู้ถือบัตรเพิ่มขึ้นเป็น 14.5 ล้านคน

รวมถึงเมื่อ 3 ก.ค. 2561 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ พ.ร.บ.กองทุนประชารัฐเพื่อเศรษฐกิจฐานรากและสังคม สำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กำหนดให้ตั้งงบประมาณ 46,000 ล้านบาทต่อปี











กนง.ห่วงบาทแข็ง เตรียมงัดมาตรการสกัดเงินร้อนเก็งกำไรระยะสั้น








กนง.ยอมรับเงินบาทแข็งค่าไม่สอดคล้องปัจจัยพื้นปัจจัยพื้นฐาน เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด จ่องัดมาตรการดูแลเงินร้อนเข้ามาพักฟันกำไรระยะสั้น


นายทิตนันทิ์ มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีความกังวลต่อการแข็งค่าของเงินบาท ซึ่งอาจะไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และให้ติดตามสถานการณ์อัตราแลกเปลี่ยนและการไหลเข้าของเงินทุนอย่างใกล้ชิด


ทั้งนี้ ยอมรับว่าค่าเงินบาทแข็งค่าเร็วและไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานและยังเป็นปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่ง ธปท.จะมีการบริหารจัดการที่เข้มข้นมากขึ้น ส่วนมาตรการที่จะออกมาดูแลนั้น ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาและคาดว่าจะออกมาในเร็วๆ นี้


“สถานการณ์ค่าเงินบาท และปัจจัยที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าและครั้งนี้มีสัญญาณที่ชัดว่า เงินบาทเคลื่อนไหวเร็วไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน ในช่วงถัดไปการดูแลจะมีความเข้มข้นมากขึ้น สำหรับมาตรการที่จะใช้ดูแลขณะนี้มีอยู่แล้ว ซึ่งไม่ได้เป็นมาตราการใหม่ เพราะเราเห็นเงินเข้ามาลงทุนในบอนด์ระยะสั้นที่เข้ามาพักเงิน ซึ่งมาตรการในการดูแลคงออกมาไม่ช้า” นายทิตนันทิ์กล่าว







Ministop 2 สาขาในญี่ปุ่น นำร่องทดสอบคิดเงิน “ถุงพลาสติก” 3 เซนต์







“เอ็นเอชเค” สื่อของญี่ปุ่น รายงานในวันนี้ (25 มิ.ย.) ระบุว่า ญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับการลดปริมาณ “ขยะพลาสติก” ยกให้เป็นวาระสำคัญแห่งชาติมาตลอด ในขณะเดียวกันในช่วงปลายสัปดาห์นี้ ระหว่างวันที่ 28-29 มิ.ย. 2019 จะมีการประชุมสุดยอด G20 ในโอซากา


ทั้งนี้ ทางการญี่ปุ่น พยายามเรียกร้องและรณรงค์การ “ห้ามใช้” ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว เช่นเดียวกับอีกหลายๆ ประเทศทั่วโลก เช่น ในประเทศยุโรป ที่พยายามออกมาตรการห้ามอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้


ล่าสุด กระทรวงอุตสาหกรรมการวางแผนของญี่ปุ่น ประกาศว่าจะเตรียมประกาศแจ้งต่อผู้ค้าปลีกทั้งรายใหญ่และรายเล็กในญี่ปุ่น ให้ร่วมกันหยุดการแจกถุงพลาสติกฟรีในร้านค้า เป็นไปได้ว่าจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในเดือน เม.ย.ปี 2020


ขณะที่ รายงานระบุว่า “Ministop” เชนร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น ประกาศแล้วว่า จะเริ่มทดลองการคิดเงินสำหรับถุงพลาสติก โดยจะนำร่องใน 2 สาขาที่อยู่ใกล้กรุงโตเกียว ทั้งนี้ คาดว่าจะคิดค่าถุงพลาสติกใบละประมาณ 3 เซน นอกจากนี้ Ministop ยังวางแผนที่จะขยายการทดลองดังกล่าวนี้ครอบคลุมอีก 40 ร้านค้าในเดือน ก.พ. ปีหน้า


ลูกค้าหนึ่งราย กล่าวกับ เอ็นเอชเคว่า “ในอนาคตอันใกล้นี้ ถุง Eco bag จะเป็นที่นิยมมากขึ้น ไม่ใช่แค่ในญี่ปุ่นแต่ทั่วโลก”

มีรายงานว่า ญี่ปุ่น มีขยะพลาสติกในแต่ละปีมากถึง 9.4 ล้านตัน และเป็นขยะที่มาจากถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ราวๆ 200,000 ตัน









ครม.ไฟเขียวแผนฟื้นฟูขสมก. เซตซีโร่หนี้1.28แสนล้านเช่าซื้อรถเมล์ใหม่3พันคัน-เออร์รี่กระเป๋า5พันคน






นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบแผนฟื้นฟูกิจการขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) โดยมติคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) มีมติให้เสนอแผนฟื้นฟูให้ครม.เห็นชอบเมื่อวันที่ 25 พ.ค.ที่ผ่านมา


กรอบของแผนฟื้นฟูมี 7 เรื่อง 5 กลุ่มงาน ได้แก่ กลุ่มแรก การปรับปรุงและการจัดหารถใหม่ทดแทน จำนวน 3,000 คัน ซึ่งจะต้องทบทวนมติ ครม.เดิมเมื่อวันที่ 9 เม.ย. 2556 ที่เห็นชอบการจัดหารถเมล์ใหม่ 3,183 คัน วงเงินรวม 13,162 ล้านบาท โดยอยู่ระหว่างการขอทบทวนมติ ครม.ดังกล่าวกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ซึ่งสภาพัฒน์แนะนำว่า ควรให้แผนฟื้นฟูผ่าน ครม.ก่อน จึงจะเสนอขอทบทวนมติ ครม.ดังกล่าว



นายอาคมขยายความว่า สิ่งที่จะขอทบทวนได้แก่ ขอปรับลดจำนวนรถเมล์จาก 3,183 คัน มาเป็น 3,000 คัน, การจัดหารถใหม่ จะแบ่งเป็นการเช่าและซื้อรวมกัน สำหรับรถเมล์ที่จะดำเนินการเช่า จำนวน 700 คัน ระยะเวลาเช่า 7 ปีพร้อมบำรุงรักษา มีประเภท NGV 300 คัน วงเงิน 1,855 ล้านบาท และ Hybrid อีก 400 คัน วงเงิน 3,568 ล้านบาท




และรถเมล์ที่จะจัดซื้อใหม่ แบ่งเป็น NGV 489 คัน ที่ได้จัดซื้อครบแล้วก่อนหน้านี้, รถ Hybird 1,453 คัน, รถเมล์ไฟฟ้า (EV) 35 และการปรับปรุงสภาพรถเดิม (Refurbished) อีก 323 คัน วงเงินรวม 138 ล้านบาท โดยการจัดหารถทั้ง 3,000 คัน อยู่ระหว่าการพิจารณาของสภาพัฒน์เช่นกัน




นอกจากรถแล้ว จะมีแผนนำระบบเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ เช่น E-Ticket, GPS, Wifi internet และการทำ Smart Bus Stop เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับการยกระดับการให้บริการประชาชน



กลุ่มที่ 2 การปฏิูรูปเส้นทางรถเมล์ 137 เส้นทาง เพื่อรองรับการเกิดขึ้นของรถไฟฟ้าในกรุงเทพและปริมณฑล ละลดการทับซ้อนกับเส้นทางรถไฟฟ้าดังกล่าวด้วย ขณะนี้กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ในฐานะหน่วยงานดูแลการปฏิรูปเส้นทางรถเมล์ กำลังทำข้อมูลเพื่อเสนอสภาพัฒน์ต่อไป


กลุ่มที่ 3 การปรับโครงสร้างองค์กรให้กระชับขึ้น โดยเฉพาะการให้พนักงานเกษียณก่อนกำหนด (Early Retire) ปัจจุบัน ขสมก.มีจำนวนพนักงาน 13,599 คน (ข้อมูลเดือน ส.ค. 2561) คิดเป็นสัดส่วนต่อรถ 1 คัน ต้องรับภาระค่าใช้จ่ายของพนักงาน 5.14 คน ดังนั้นจะต้องปรับสัดส่วนต่อรถ 1 คันให้เหลือ 2.7 คน/คัน คิดเป็นเป้าพนักงานเออร์ลี่รีไทร์อยู่ที่ 5,051 คน ใช้งบประมาณ 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นปีแรก 655 คน ปีที่ 2-3 ปีละ 2,198 คน และต้องปรับเปลี่ยนทักษะพนักงาน เช่น การให้พนักงานหญิงมาขับรถมากขึ้น เป็นต้น



กลุ่มที่ 4 การพัฒนาเชิงธุรกิจ จะพัฒนาในลักษณะเดียวกับ TOD ของรถไฟฟ้า เบื้องต้นมี 2 แห่งที่เหมาะสมสำหรับการพัฒนา คือ อู่บางเขนและอู่มีนบุรี และกลุ่มที่ 5 การบริหารหนี้สินที่สะสมอยู่ประะมาณ 128,000 ล้านบาท ซึ่งมีข้อเสนอไปยังกระะทรวงการคลัง เพื่อขอภาระหนี้ตรงนี้ไปก่อนแล้ว โดยไม่รวมหนี้ใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลัง



สำหรับภาระหนี้ทั้ง 128,000 ล้าบาท แบ่งเป็นหนี้จากนโยบายรัฐกับหนี้ประสิทธิภาพ หนี้นโยบายรัฐเกิดจากการอุ้มค่าโดยสารในช่วงที่ราคาเชื้อเพลิงปรับราคาสูงขึ้น ,การซ่อมบำรุงรถเก่า และหนี้จากการเติมค่าเชื้อเพลิง ก็คาดว่าขั้นต่อไปอาจจะต้องตั้งคณะะทำงานร่วมกับกรทรวงการคลังและสำนักงบประมาณ เพื่อดูแลตัวเลขหนี้รวมทั้งหมด



ด้านนายประยูร ช่วยแก้ว รักษาการในตำแหน่งผู้อำนวยการ ขสมก. กล่าวว่า สำหรับแผนงานต่างๆ กำหนดไว้คร่าวๆ ดังนี้ หลังครม.เห็นชอบแล้ว ก็จะเป็นพิจารณาเรื่องวงเงินกู้สำหรับการปรับปรุงสภาพรถ 323 คัน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาพัฒน์ หลังจากนั้นจะหารือกับผู้ประกอบการที่ได้คัดเลือกไว้แล้ว คาดว่าในเดือน ต.ค.นี้จะเริ่มปรับปรุงทั้ง 323 คัน และจะเสร็จทั้งหมดในเดือน มิ.ย. 2563



ส่วนการวางระบบอินเตอรืเน็ต WiFi บนรถโดยสารจะเริ่มและเสร็จทั้งหมดในปี 2562 ส่วนการขอใบอนุญาตการปฏิรูปเส้นทางรถเมล์ 137 เส้นทาง คาดว่าจะขอจากคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกกลางได้ในปีนี้เช่นกัน



ขณะที่ในปี 2563 คาดว่าจะจัดหารถเช่าทั้ง 700 คัน จะได้รถทั้งหมด ไตรมาส 2-3 ปีหน้า เท่ากับว่าปีหน้าจะได้รถทั้งหมด 1,058 คัน, การให้พนักงานเออร์ลี่ไทร์เฟส 1, การพัฒนาพื้นที่เชิงธุรกิจ น่าจะเกิดขึ้น ส่วนในปี 2564 การจัดหารถ Hybird 700 คัน, การให้พนักงานเออร์ลี่รีไทร์เฟส 2 จะเกิดขึ้น และในปี 2565 การจัดซื้อรถ Hybird ที่เหลือ 753 คัน โครงการเออร์ลี่รีไทร์เฟส 2 อีก 2,000 คน น่าจะเกิดขึ้น

“เราคาดว่าจะเริ่มมีสภาพคล่องไม่ติดลบในปี 2566 และจะเริ่มมีกำไรในปี 2586”









น้ำมันดิบสหรัฐขยับลง แต่เบรนท์ปรับขึ้น








เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ราคาน้ำมันดิบในตลาดล่วงหน้า NYMEX ขยับลงเล็กน้อยในวันอังคาร (25 มิ.ย.) แต่ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับขึ้น ในขณะที่สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) จะเปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันสหรัฐรายสัปดาห์ในวันพุธนี้ และนักลงทุนคาดว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐอาจดิ่งลง 2.5 ล้านบาร์เรลในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 21 มิ.ย. โดยปัจจัยบวกนี้ช่วยบดบังแรงกดดันที่ราคาน้ำมันได้รับจากความกังวลที่ว่า ความขัดแย้งทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอาจส่งผลลบต่ออุปสงค์เชื้อเพลิง



ราคาน้ำมันดิบสหรัฐส่งมอบเดือน ส.ค.ขยับลง 7 เซนต์ หรือ 0.1% มาปิดตลาดที่ 57.83 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบเบรนท์ส่งมอบเดือน ส.ค.ที่ตลาดกรุงลอนดอนปรับขึ้น 19 เซนต์ หรือ 0.3% สู่ 65.05 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล




นักลงทุนไม่ได้ให้ความสำคัญต่อถ้อยแถลงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐในวันอังคารที่ว่า สหรัฐจะขจัดบางส่วนของอิหร่าน ถ้าหากอิหร่านโจมตีสิ่งใดก็ตามของสหรัฐ



หลังจากตลาด NYMEX ปิดทำการในวันอังคาร การปิโตรเลียมสหรัฐ (API) ซึ่งเป็นหน่วยงานของเอกชน ได้เปิดเผยตัวเลขสต็อกน้ำมันสหรัฐประจำสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 21 มิ.ย. โดยระบุว่า สต็อกน้ำมันดิบดิ่งลง 7.5 ล้านบาร์เรล สู่ 474.5 ล้านบาร์เรล




นักวิเคราะห์กล่าวว่า ราคาน้ำมันยังคงได้รับแรงกดดันจากความกังวลเรื่องเศรษฐกิจโลก และสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวกล่าวว่า ปธน.ทรัมป์ยอมรับได้กับผลใดๆก็ตามที่จะเกิดจากการประชุมระหว่างเขากับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีนในระหว่างการประชุมสุดยอดของกลุ่มจี-20 ในวันที่ 28 มิ.ย.









Spoil
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ


ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 11 Feb 2016
ตอบ: 195
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Jun 27, 2019 07:51
(Day 69)สรุปข่าวประจำวันแค่ 7 นาทียกระดับความรู้รอบตัวของพวกท่าน
ติดตามอยู่นะครับ
โพสต์บนแอป Soccersuck บน Android
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ซุปตาร์ฟุตบอลโลก
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 3251
ที่อยู่: Highbury
โพสเมื่อ: Thu Jun 27, 2019 10:55
[RE: (Day 69)สรุปข่าวประจำวันแค่ 7 นาทียกระดับความรู้รอบตัวของพวกท่าน]
รออ่านเรื่อยๆครับ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง

ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel