Beitar Jerusalem F.C. is Most Racist Soccer Club in the world
จาก หลายๆกรณีการ เหยียดสีผิว จากแฟนบอลที่มีกับนักเตะผิวสี ยังคงมีข่าวอยู่เรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน และดูเหมือนว่าก็จะยังมีต่อไป อาจจะด้วยอารมณ์ ของแฟนบอลหรือ เป็นการเหยียดสีผิวจากทัศนะคติที่มาจากตัวของแฟนบอลเอง แต่ที่น่าแปลกใจคือ
ทีมฟุตบอลทีมหนึ่งถูกยกให้เป็น
Most Racist Soccer Club in the world กลับไม่ใช่ประเทศแถบ ยุโรป หรือ อเมริกา
แต่กลับเป็นสโมสรที่อยู่ในประเทศที่น่า จะมีความเข้าใจในเรื่องการเหยียดเชื้อชาติ สีผิว หรือ ศาสนา มากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก เพราะคนในประเทศนี้เคยถูกฆ่าจนแทบไม่เหลือ และแทบจะไม่มีประเทศจะอยู่ แต่ปัจจุบัน แฟนบอลของสโมสรนี้ กลับทำเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่งด้วยการดูถูกเชื้อชาติ และศาสนาของนักเตะในทีม จนเป็นเรื่องลุกลามและส่อแววอันตรายถึงขั้นก่อเหตุรุนแรง เป็นเรื่องน่าเศร้าของวงการฟุบอลเรื่องหนึ่ง
Beitar Jerusalem Football Club หรือเรียกกันในนาม
Beitar เป็นทีมสโมสรอาชีพ สัญชาติ
อิสราเอล สโมสรตั้งอยู่ที่ นครเยซูซาเล็ม เหมืองหลวงของประเทศ อิสราเอล ในปัจจุบัน
สโลแกนของทีม “Death to the Arabs.” ชาวอาหรับจงไปตายซะ
เริ่มต้นเมื่อปี 1990 แฟนบอล และผู้บริหารส่วนใหญ่ของสโมสร เป็นพวกฝ่ายขวาจัด
ที่ประกาศชัดเจน ว่า พวกเขา คือ กลุ่มผู้ต่อต้าน ชาติพันธ์ุ อาหรับ , ศาสนาอิสลาม
ซึ่งไอเดียลักษณะนี้พวกเขาลอกเลียนแบบมาจาก พวก แฟนบอลสกินเฮด หัวรุนแรงใน ยุโรปตะวันตก ซึ่งในยุโรปเรื่องพวกนี้เบาบางลงมามาก หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ไอเดีย นี้กลับมาเติบโตงอกงามในสโมสร
Beitar Jerusalem
นั้นหมายความว่า เป็นเวลา กว่า 80 ปีที่ สโมสรนี้ไม่เคยมีนักเตะอาหรับ ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ อิสราเอล เข้ามาค้าแข่งในสโมสรนี้เลย ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรในปี1936
จนถึงเมื่อ ปี 2005 เหตุการเริ่มต้นขึ้น เมื่อ มหาเศรษฐี ที่ถูกยกย่องว่าเป็นเสี่ยหมีแห่งอิสลาเอล นาย Arkadi Gaydamak ลูกครึ่ง สัญชาติรัสเซีย-อิสราเอล ผู้มีอิทธิพลทางการเมือง แวดวงกีฬา แวดวงธุรกิจ ในระดับประเทศ และมีเงินมากมาย ได้เข้ามาซื้อทีม Beitar Jerusalem ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยเป็นเจ้าของทีม Portsmouth F.C. ในปี 2008 ด้วย Arkadi Gaydamak มีนโยบายสนับสนุนชาวอาหรับและมองว่าการเหยียดเชื้อชาติ ศาสนาเป็นเรื่องที่แฟนบอลส่วนน้อย สัดส่วนหลักพันของสโมสรเท่านั้นที่สร้างปัญหา
Spoil
https://en.wikipedia.org/wiki/Arcadi_Gaydamak
ในขณะที่เขาดำรงตำแหน่งผู้ถือหุ้นใหญ่ของ สโมสร เขาเคยพยายามที่จะเซ็นนักเตะลูกครึ่ง อาหรับ-อิสราเอล นามว่า Abbas Suan เข้าทีม แต่แฟนบอลก่อก่อจรจลเสียก่อน ดีลนี้จึงถูกยกเลิกไป
-ปี 2004
สโมสรได้เซ็นสัญญาผู้นับถือศาสนาอิสลามคนแรก อดีตกองหลังทีมชาติ ไนจีเรียU17 ชาวมุสลิมนามว่า Ibrahim Ndala แต่เขาก็ลงเล่นให้กับทีมไปได้เพียง 5 นัดเท่านั้น Ndala ก็ตัดสินใจออกจากทีม เพราะถูกแฟนบอล กดดันอย่างหนัก ทั้งในและนอกสนาม
-ปี 2012
หลังจบเกมส์ ระหว่าง Beitar football club และ Maccabi Tel Aviv ก็เกิดการปะทะกันของกลุ่มแฟนบอล แฟนบอลของ Beitar หลายร้อยคนบุกเข้าไปในห้างสรรพสินค้า เข้าไปทำร้าย แฟนบอลฝั่งตรงข้าม ลุกลามไปถึงขั้นทำร้ายชาวปาเลสไตน์ทั้งผู้หญิงและเด็กที่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเกมส์เลย พวกเขาแค่ออกจากบ้านพาครอบครัวมาเที่ยวห้างสรรพสินค้าเท่านั้น หลังการก่อเหตุ ตำรวจก็แสดงท่าทีเฉยเมย และไม่มีผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีเลยแม้แต่คนเดียว จากกรณี ทำร้ายร่างการและก่อวิวาทในครั้งนี้
- 2013
สโมสรได้ตัดสินใจเซ็นสัญญาผู้นับถือศาสนาอิสลามเป็นรอบที่ 2 Zaur Sadayev และ Dzhabrail Kadiyev 2 นักเตะ จากแคว้นเชเชน สัญชาติรัสเซีย แต่นับถือศาสนาอิสลาม ก็ไม่วายถูกดูถูก ตามไปทำร้ายข้าวของ ลอบวางเพลิง ตะโกนด่าและโห่ทุกครั้งที่ 2 นักเตะนี้ได้สัมผัสลูกบอล กลุ่มแฟนบอลพากันไปตะโกนด่าและขู่ทำร้ายทั้งคู่ตลอดเวลา แม้กระทั้งที่สนามซ้อม
ครั้งนึง Zaur Sadayev ได้ทำประตูให้กับทีม แต่แฟนบอลกลับทำตรงกันข้ามกับแฟนบอลทั่วไป คือตะโกนด่าบอร์ดบริหารและนักเตะ พร้อมกับ เดินวอร์คเอาท์ ออกจากสนามเพื่อแสดงจุดยืนว่าพวกเขาไม่ต้องการให้มีนักเตะชาวมุสลิม ในทีม
2 นักเตะจากรัสเซีย ทำให้เกิดกระแส ต้อต้านอย่างหนักจากแฟนบอล สุดท้ายเมื่อจบ ฤดูการ ทั้งคู่ก็ตัดสินใจออกจากทีม
นับจากวันนั้น Beitar Jerusalem F.C. ก็ยังไม่มีนักเตะอาหรับ หรือ นักเตะที่นับถือศาสนาอิสลาม เข้ามาร่วมทีม อีกเลย
คลิป Timeline ของทั้งคู่ในช่วงที่อยู่กับสโมสร Beitar Jerusalem F.C.
CREDIT theguardian.com / thenation.com / .jpost.com
เรื่องราวอ้างอิงในแต่ละปี
https://www.theguardian.com/football/beitarjerusalem
https://www.thenation.com/article/israels-most-racist-soccer-club-renames-itself-after-donald-trump/