''ผมอยากซื้อทีมฟุตบอล คุณช่วยที'' เป็นน้ำเสียงที่ราบเรียบ แต่แฝงด้วยความกระหายในค่ำคืนหนึ่งของรายการยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ตอนแรกมาเพียงเพราะอยากชมฟุตบอลอังกฤษ ทว่าด้วยแรงขับเคลื่อนของคนที่อยู่นิ่งไม่ได้ จึงเอ่ยไปยังผู้สนิทที่มาด้วยกันไปอย่างนั้น
ใครจะเชื่อว่าแมตช์ระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับเรอัล มาดริด เมื่อปี 2003 จะเปลี่ยนโฉมวงการลูกหนังผู้ดี มากที่สุด คือเรียกว่าพลิกประวัติศาสตร์ให้สโมสรสีน้ำเงินที่ชื่อเชลซีก็ว่าได้
จากนั้นไม่กี่วัน ก็มีการนัดพบขึ้นกลางโรงแรมหรูของมหานครลอนดอน คนหนึ่งทำหน้าที่ผู้อำนวยการของทีมนามว่า เทรเวอร์ เบิร์ช ส่วนอีกคนมาด้วยเสื้อเชิ้ตสวมด้วยสูทด้านนอก เป็นคนที่ตอนนั้นแทบจะหาอิงลิชชนรู้จักน้อยมาก
''สวัสดีครับ ผมชื่อโรมัน ชื่อเต็มของผม โรมัน อบราโมวิช'' ประโยคแรกของชายแปลกหน้า สำเนียงกระเดียดทางยุโรปตะวันออก เริ่มต้นแนะนำตัวตามมารยาท
''ผมมีความต้องการอยากซื้อเชลซี ฟุตบอล คลับ คงมีคนบอกคุณแล้ว เรื่องราคาไม่ใช่ปัญหา ผมสัญญาว่าจะทำให้ทีมของพวกคุณก้าวไปไกลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมเป็นชาวรัสเชียน พวกเราถ้าพูดแล้วจะต้องทำให้ได้''
ใช่ครับ ประมาณสี่ปีก่อน ตอนที่มีการทำสกู๊ปพิเศษถึงการเข้าเทกโอเวอร์ครบทศวรรษของอบราโมวิช ก็มีคนเอาเรื่องนี้ไปซักถามเบิร์ช คำตอบที่ได้รับคือ ''สาบาน ตอนที่เจอกันหนแรก ผมเองไม่มีความมั่นใจสักนิดเลยว่าสิ่งที่เขาบอกมาจะเป็นจริงได้ ใครจะเชื่อได้ล่ะ...''
ก็ใช่ น่าเอาหัวคิ้วชนกัน ก็ลองง้างปากกองเชียร์แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส, โคเวนทรี, น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์, ลีดส์ ยูไนเต็ด จนถึงทีมเล็กๆ อย่าง เลย์ตัน โอเรียนท์ ดูซิ พวกเขามีความรู้สึกอย่างไรต่อเจ้าของต่างด้าว มั่นใจว่าร้อยทั้งร้อยก็จะอยากบันดาลโทสะ สบถคำหยาบคายออกมา
อบราโมวิชเด็ดขนหน้าแข้งซื้อเชลซี ด้วยวงเงิน 140 ล้านปอนด์ พร้อมเคลียร์หนี้สินพะรุงพะรังจนเกลี้ยง เท่านั้นยังน้อยไป เพราะเขายังได้เซ็นเช็คอีกราว 100 ล้านปอนด์ ในการเสริมทัพพร้อมกับดึงโค้ชผู้มาแรงที่สุดแห่งเวลานั้นเข้ามา - โชเซ่ มูรินโญ่
ถูกต้องครับ ไม่ครบสองปีเต็มบริบูรณ์เลยนับจากวันที่นัดพบเบิร์ช ภาพที่แฟนลูกหนังทั่วโลกเห็นเป็นภาพ จอห์น เทอร์รี่ชูถ้วยพรีเมียร์ลีกสีเงินอร่ามเหนือศีรษะ ท่ามกลางเสียงเขย่าลำคอจากสาวกสิงห์บลูส์ ''We are the champions We are the championsssss''
กระนั้นก็ตาม ใช่เหตุผลแค่การสักแต่ฟาดฟ่อนธนบัตรเท่านั้นหรือ ที่ส่งผลให้เมื่อวันอาทิตย์ทีมที่เคยได้แชมป์ลีกหนเดียวก่อนหน้านี้ สามารถยึดครองบัลลังก์เป็นสมัยที่ 5 นับจากการโอนถ่ายสู่การปกครองของบิลเลียนแนร์สายเลือดหมีขาวผู้นิยมท่องเรือยอชต์ไปตามทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
แน่นอน - ไม่ใช่
ตลอดกว่า 16 ปีมานี้ มีหลายเหตุการณ์ยิ่งที่สะท้อนถึงตัวตนอบราโมวิช มีบางเรื่องเช่นกันที่น้อยคนนักอาจทราบ บางทีหากพอรู้แล้วก็อาจทำให้คุณมองเขาในมุมที่ต่างออกไป...
แฟร้งค์ อาร์เนเซ่น ผู้ทำงานที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ มาหลายปี มักพร่ำพูดกับทุกคนว่าสิ่งที่คนภายนอกเห็นไม่ใช่สิ่งที่คนภายในรู้จักเจ้าของสโมสรเลย เป็นนักบริหารที่เอาแนวคิดคอมมิวนิสต์มาใช้, เป็นคนที่จิตใจเหี้ยมโหด อยากใช้ก็ใช้ อยากไล่ก็ไล่, เป็นคนบ้าอำนาจ ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย ฯลฯ
''นั่นไม่ใช่เลย มันเป็นเพียงภาพลักษณ์เท่านั้นจากวิธีการเติบโตของเชลซี จริงๆ แล้ว โรมันบ้าบอลมาก เขายังชอบที่จะเห็นดาวรุ่งฝีเท้าดีๆ โผล่ขึ้นมา เขามักไปชมเกมเอฟเอ ยูธ คัพ ประจำ เหนืออื่นใดเขาต้องการเห็นทีมของเขาเล่นบอลเกมรุก'' อดีตหัวหน้าแมวมองของเชลซี ระหว่างปี 2005-2011 เคยอธิบายเอาไว้
อบราโมวิชก็ยังไม่ใช่สร้างแค่เปลือกนอก เขาควัก 30 ล้านปอนด์ ออกคำสั่งให้มีการเนรมิตสนามซ้อมแถวค็อบแฮม โดยย้ำว่า ''ห้ามละเลยเยาวชน'' เนื่องจากเขายังเชื่อในเรื่องรากฐานว่าต้องแน่น ส่วนอื่นๆ ถึงเจริญงอกงามได้ดั่งต้นไม้ ก็อย่างที่ปรากฏว่า เชลซีซิวเอฟเอ ยูธ คัพ สี่สมัยติดต่อกัน
ปัญหาอยู่ที่ว่า ถึงนาทีนี้พวกเขาจะอุดมด้วยเมล็ดพันธุ์เม็ดงามมากมาย แต่ก็หาที่ได้โอกาสขึ้นชุดใหญ่เต็มตัวไม่ได้เลย จะมีก็อย่าง รูเบน ลอฟตัส-ชีค หรือว่า เนธาเนียล ชาโลบาห์ ที่พอได้ลงบ้าง ทว่าก็ยังเป็นในระดับของ ''ครึ่งบกครึ่งน้ำ''
เขาสะท้านสิ่งนี้เต็มอก ทว่าเขาเองก็ไม่อยากไปทำลายโครงสร้างของทีมที่ประสบความสำเร็จ เขามอบความไว้วางใจให้ผู้จัดการทีมทุกคนที่คัดสรรมา สำคัญที่สุด เขาเคยทำพลาดมาแล้วจึงไม่อยากไปก้าวก่ายการทำงานอีก ก็คงไม่ลืมดาวยิงสัญชาติยูเครนที่ชื่อ อังเดร เชฟเชนโก้ กันใช่มั้ย
นั่นเอง ตอนที่ อันโตนิโอ คอนเต้ ทำเรื่องไปยังบอร์ดบริหารว่าอยากได้ มาร์กอส อลอนโซ่ กับ ดาวิด ลุยซ์ ถึงจะมีความสงสัยอยู่บ้างว่าเอามาทำไม ทว่าสุดท้ายก็ได้ไฟเขียวให้เดินเครื่องเจรจา
การที่เชลซีส่งนักเตะอายุน้อยๆ หรือพวกที่มีแววแต่ยังหาจังหวะโปรโมตสู่ชุดใหญ่ไม่ได้ส่งไปยืมตัวเป็นสิบๆ คน ก็มาจากนโยบายของอบราโมวิช เขาไม่ต้องการเสียไปแบบถาวร ขณะเดียวกันก็อาศัยไอเดียจากยุทธวิธีของทหารว่า ''บางทีไม่จำเป็นต้องยกทัพเข้าสู้โดยตรง มันมีทางอื่นที่จะทำลายฝั่งตรงข้ามอย่างเช่นการยืมมือคนอื่น''
อย่างไรก็ตาม กว่ามาถึงวันนี้ มันไม่ใช่แค่มีเงินมาซื้อ ใส่สูทผูกไทจนถึงใช้เพียงวาจาออกคำสั่งก็จะประสบความสำเร็จ ความจริงที่ไม่ใช่ความลับก็คือว่า มหาเศรษฐีผู้ถูกจัดอันดับความร่ำรวยที่ 151 ของโลกนั้นไม่ได้รู้จักกีฬาฟุตบอลเท่าไรตอนแรกเริ่ม
เขาก็แค่พอทราบกฎกติกาพื้นฐาน อะไรคือล้ำหน้า อะไรคือจุดโทษ อะไรคือเตะมุมแต่ศาสตร์ลึกซึ้งเรื่องระบบการเล่น แท็กติกจนถึงสิ่งที่แยบยลกว่านั้นเกิดจากการศึกษาทั้งสิ้น
เคลาดิโอ รานิเอรี่ เคยบอกไว้ว่า ''เขาไม่รู้เรื่องฟุตบอลที่แท้จริงเลย''
อีกนั่นแหละ อบราโมวิชมีอาจารย์ด้านนี้โดยตรง ชื่อว่า พีท เด วิสเซอร์ เป็นชาวดัตช์ โดยก่อนนี้มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าแมวมองของพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ผลงานเอกอุคือการค้นพบโรมาริโอกับโรนัลโด้ (ออริจินัล) ว่ากันว่าตลอดซัมเมอร์ปี 2013-2014 ทั้งสองมักมาเจอกัน โดยที่เสี่ยหมีเปิดห้องส่วนตัวเพื่อเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ ของเกมลูกหนังอย่างบ้าคลั่ง
''เขาเองไม่ต้องการให้ใครครหาว่าดีแค่มีเงิน'' เพื่อนสนิทของโรมันเคยเล่าเอาไว้
ดังนั้นบ่อยครั้งเราจึงเห็นภาพเขาในสนามซ้อมของเชลซี ซึ่งปกติแล้วคนเป็นเจ้าของหรือประธานสโมสรไม่เคยไปกันหรอก ทว่านี่คืออบราโมวิช ซึ่งนอกจากไปเพื่อเชื่อมสายสัมพันธ์กับบรรดาลูกน้อง ก็ยังลักลอบอาศัยเวลาตรงนั้นดูแนวทางการทำทีมของโค้ชนั้นๆ
นอกจากนั้น ก็ยังเป็นคนหัวไว การที่เชลซีผลัดผู้จัดการทีมราวถอดเสื้อผ้ามีที่มาที่ไปครับ เล่ากันว่ามาจาก อัฟราม แกรนท์...เนื่องด้วยตอนที่แต่งตั้งให้กุมบังเหียนต่อจากมูรินโญ่ ปี 2007 ก็ดันพาทีมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ได้ ดังนั้นความคิดของจึงแวบในสมองทันที
''บางทีฟุตบอลอาจไม่ต้องการใครที่อยู่กับทีมนานๆ มันอยู่ที่ศักยภาพของนักเตะ อยู่ที่จังหวะกับโอกาสมากกว่าต่างหาก''
ดังนั้นเป็นต้นมา จึงมีกุนซือชั้นแนวหน้าเข้ามาและออกไปอีก 9 ราย ตั้งแต่ หลุยส์ สโคลารี่, คาร์โล อันเชลอตติ, อันเดร วิลลาช-โบอาช, โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ, ราฟา เบนิเตซ, มูรินโญ่ (ภาคสอง), กุส ฮิดดิ้งค์, อันโตนิโอ คอนเต้ จนถึงเมาริซิโอ้ ซารี่
หากอบราโมวิชไม่เคยจะ ''ใกล้ชิด'' ใครเป็นพิเศษ
หมายถึงทุกๆ คนต่อให้พาทีมได้แชมป์กี่รายการ กระทั่งมัตเตโอผู้ทำให้ฝันของเขาเป็นจริงด้วยการเถลิงบัลลังก์ยุโรป แต่ทุกคนจะมีระยะห่างกับเขาประมาณหนึ่ง เขาให้เกียรติลูกน้องทุกคน แต่จะไม่อุ้มชูเป็นเพื่อนสนิทหรือเสมือนสมาชิกในเครือญาติเด็ดขาด เนื่องจากมันจะทำให้ระบบการปกครองเสีย
''พวกเราไม่เคยเป็นเพื่อนกัน ผมไม่สามารถใช้คำนั้นได้ ทว่าผมเคารพนับถือเขา (โรมัน) มากในฐานะเจ้าของทีม ถึงกระนั้นเราไม่เคยสนิทสนมกันกว่านั้น'' มูรินโญ่เคยพูดเอาไว้ตอนที่ต้องนำแมนฯ ยูไนเต็ด เยือนบ้านสีน้ำเงินปีก่อน ซึ่งเขาเองรับการยกย่องว่าเป็นผู้จัดการทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุด
จากคนที่คิดมาแค่อยากลงทุนทำธุรกิจ....จากคนที่ไม่ลึกซึ้งถึงศาสตร์ รู้จักเพียงผิวเผิน
จากคนที่เคยถูกมองว่า คงมาหยิบจับของเล่นชิ้นใหม่...
[i]วันนี้อบราโมวิชพิสูจน์แล้วว่า ''ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน''
ตอนนี้ปัญหาในทีมกำลังสุมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทั้งหนทางลุ้นแชมป์รายการต่างๆ ทั้งกำลังจะเสียนักเตะสำคัญอย่าง เอเดน อาซาร์ ให้เรอัล มาดริด และที่สำคัญคือการที่เสี่ยเข้าประเทศอังกฤษ มาชมทีมที่ตัวเองรักแข่งขันไม่ได้ จนมีข่าวว่าจะมีเศรษฐีแห่งเกาะอังกฤษมาเทคโอเวอร์สโมสร ที่ผ่านมาเราเสียนักเตะสำคัญไปมากมาย แต่บุคคลอีกหนึ่งคนที่สำคัญกับสโมสร ที่เราไม่อยากเสียไปคือ เสี่ยหมี โรมัน อบราโมวิช นั่นเอง
Cr.ค้นหาประวัติแล้วเจอกระทู้เก่าของท่าน Oliviaz
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1505991
Cr.
https://www.siamsport.co.th/Column/170521_389.html