[RE: อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ฉะเดือด! ธนาธร หลังได้ฟังนโยบายปราบปรามรัฐประหาร]
Zyxel_Thaibar62 พิมพ์ว่า:
niali พิมพ์ว่า:
Zyxel_Thaibar62 พิมพ์ว่า:
niali พิมพ์ว่า:
Zyxel_Thaibar62 พิมพ์ว่า:
niali พิมพ์ว่า:
Zyxel_Thaibar62 พิมพ์ว่า:
- เรื่องคดีความ อย่าให้พูดเลยนะ มีคนเอามาบิดเบือนเยอะ
ยกตัวอย่าง คดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษา
(จำเลขคดีไม่ได้ น่าจะ อม.1/25....)ที่ทักษิณ ชินวัตร ต้องโทษจำคุก เป็นคดี
อันเกิดจากการที่ให้ภรรยาของตัวเองซื้อที่ดินจากกองทุนที่ตนเองมีหน้าที่กำกับ ดูแลอยู่
ซึ่งเป็นเรื่องการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ส่วนรวม ตามมาตรา 100 พ.ร.บ. ป.ป.ช. ฉบับปี 42 (ฉบับเดิม)แล้วกฎหมายก็กำหนด
ชัดเจนว่า ความผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ แต่คนชอบเอาไปพูดกันว่า
โห แค่เซ็นชื่อให้เมียซื้อที่ดินก็ติดคุก แล้วคนก็จำแต่เรื่องแบบนี้ จนเข้าใจว่าถูกกลั่นแกล้ง หลังจากนั้น ก็เอาไปโยงว่า คดีนี้คือคดีการเมือง แล้วนี่คือมันใช่ไหม
- คนที่บอกศาลพวกเดียวกัน เคยอ่านคำวินิจฉัยเต็มหรือยัง หรืออ่านจากข่าว หรือฟังเขาพูดมา แล้วเอามาพูดต่อ คำวินิจฉัย จะมีข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุติ ข้อกฎหมายที่นำมาปรับแก่คดี บางครั้งอาจจะบรรยายถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายที่นำมาปรับด้วยซ้ำ ก่อนที่จะถึงข้อพิจารณา แล้วจบด้วยผลของการวินิจฉัย รบกวนอ่านก่อน แล้วถ้าไม่เห็นด้วย ก็สามารถแสดงความคิดเห็นได้ ที่เป็นเหตุเป็นผลในทางกฎหมาย
คุณพูดไปเรื่อย นิสัยไม่ดีไม่พูดความจริงทั้งหมด นิสัยแบบนี้แย่นะทำคนไทยแตกแยกหมด
คุณพูดได้ไงว่าคุณทักษิณให้ภรรยาซื้อที่ดิน ทั้งที่ประเด็นนี้แม้แต่ในศาลยังไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยซ้ำ
คุณนี่มันแย่จริงๆ
งั้นความจริงเป็นยังไงครับ รบกวนสรุปข้อเท็จจริง และข้อกฎหมาย ตามที่ท่านเข้าใจหน่อย เพราะที่ผมอ่านคำวินิจฉัย มีข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 (นาย ท.) ลงลายมือชื่อให้ ความยินยอมจำเลยที่ 2 (นาง พ.) ซื้อที่ดิน... แบบนี้ถ้าผมระบุว่า ให้ภรรยาซืื้อที่ดิน ไม่ถูกใช่ไหมครับ
ให้ความยินยอมก็คือให้ความยินยอมแต่ไม่ได้หมายถึงให้ภรรยาซื้อ
เหมือนแฟนคุณอยากซื้อกระเป๋าใบละ 20000 แม้คุณไม่ได้บอกให้ภรรยาคุณซื้อแต่คุณก็ต้องยินยอม
เหตุที่คุณทักษิณต้องเซ็นยินยอมเพราะเป็นคู่สมรสถ้าคู่สมรสไม่เซ็นยินยอมก็โอนที่ดินไม่ได้ ถ้าโอนไม่ได้การประมูลซื้อที่ดินก็จะเป็นโมฆะแน่นอนว่าต้องถูกริบเงินมัดจำแน่นอน
ประเด็นคือการประมูลที่ดินตรงนี้คุณทักษิณมีส่วนร่วมรู้เห็นซึ่งแสดงถึงเจตนาตั้งแต่แรกหรือไม่ คุณลองกลับไปอ่านคำวินิจฉัยตรงนี้ใหม่ให้ดีๆครับ ศาลท่านได้บอกไว้แล้ว
สำคัญคือหากไม่สามารถพิสูจน์เจตนาตรงนี้ได้ศาลควรมีแนวทางอย่างไร หากคุณเชื่อว่าคุณมีเหตุมีผลที่ดีจริง
คุณต้องพบความย้อนแย้งกันเองแน่นอน
การกระทำของจำเลยที่ 2 ใหุ้ถือเป็นการกระทำของจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 100 วรรคท้าย พ.ร.บ.ป.ช.ช. ครับ
มันไม่ง่ายขนาดที่คุณจะยกแค่ประโยคเดียวมาพูดห้วนๆเพื่อตัดจบหรอกครับ
พอดีผมใช้มือถือไม่สะดวกพิมพ์สรุปให้ชัดเจน ไว้กลับถึงบ้านก่อนค่อยมาเพิ่มให้หล่ะกัน
- แล้วที่บอกว่าสั้นนี่ ข้อกฎหมายทั้งนั้น ผมว่าคุณไปศึกษาข้อกฎหมาย มาตรา 100 วรรคท้าย ประกอบ มาตรา 122 วรรคสอง แล้วค่อยมาคุยกับผมดีกว่า เพราะข้อเท็จจรืง มันยุติแล้วว่าจำเลยที่ 1 ยืนยอมให้จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดิน หากจำเลยที่ 1 ต้องการจะพ้นผิด ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า ไม่ได้รู้เห็นกับการที่จำเลยที่ 2 ไปซื้อที่ดิน ตามมาตรา 122 วรรคสอง
- เอาจริงๆ ผมไม่อยากอะไรนะ แต่แค่โควทแรก คุณมากล่าวหาผมเสียๆ หายไป ด้วยซ้ำ แต่ก็นะ ให้อภัย
ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยว่า
การกระทำของจำเลยที่ 1 ตามที่โจทก์(อัยการสูงสุด) บรรยายฟ้องมา มีเพียงการที่จำเลยที่ 1 ให้ความยินยอมแก่จำเลยที่ 2 ในการร่วมประมูลซื้อและทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท และจากการไต่สวนพยานของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ประกอบรายงานสรุปสำนวนการตรวจสอบไต่สวนของ คตส. (คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ) ได้ความว่า
การดำเนินการตั้งแต่ร่วมเสนอราคา ทำสัญญาจะซื้อจะขาย จนกระทั่งทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทกับกองทุนฟื้นฟูฯ นั้น เป็นการดำเนินการของจำเลยที่ 2 เพียงคนเดียว โดยไม่ได้ความว่า จำเลยที่ 1 มีการกระทำการอย่างใด ที่แสดงให้เห็นว่าร่วมกระทำการดังกล่าวกับจำเลยที่ 2 ด้วย จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 มีส่วนกระทำหรือเกี่ยวข้องในอันที่จะแสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยที่ 1 ว่าประสงค์จะมีเจตนาร่วมซื้อที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 2
พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 100 บัญญัติว่า “ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใด ดำเนินกิจการ
ต่อไปนี้ (1) เป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่กำกับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้น ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งมีอำนาจ กำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบหรือดำเนินคดี”
วรรคสองบัญญัติว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐตำแหน่งใดที่ต้องห้ามมิให้ดำเนินกิจการตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนดโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา” (ซึ่งรวมถึง นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีด้วย) และวรรคสามบัญญัติว่า
“ให้นำบทบัญญัติในวรรคหนึ่ง มาใช้บังคับกับคู่สมรสของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามวรรคสอง โดยให้ถือว่าการดำเนินกิจการของคู่สมรส ดังกล่าวเป็นการดำเนินกิจการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ”
มาตรา 122 บัญญัติว่า “เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใด ฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา 100 มาตรา 101 หรือมาตรา 103 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ” และวรรคสองบัญญัติว่า
“กรณีความผิดตามมาตรา 100 วรรคสาม หากเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ใด พิสูจน์ได้ว่า ตนมิได้รู้เห็นยินยอมด้วยในการที่คู่สมรสของตนดำเนินกิจการตามมาตรา 100 วรรคหนึ่ง ให้ถือว่า ผู้นั้นไม่มีความผิด”
ดังนี้ จะเห็นได้ว่า ตามคำวินิจฉัยของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏนั้น พันตำรวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยที่ 1 ไม่ได้ร่วมเสนอราคาในการประมูลซื้อที่ดินพิพาทกับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ไม่ได้เป็นผู้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาท ไม่ได้เป็นผู้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท แต่เป็นการดำเนินการของคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 2 แต่เพียงผู้เดียว
ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดแจ้งต่อศาลดังที่ปรากฏในคำวินิจฉัยของศาลเอง เช่นนี้แล้ว การดำเนินกิจการดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ในฐานะคู่สมรสของจำเลยที่ 1 จึงเป็นการดำเนินการของจำเลยที่ 2 เองตามลำพัง จำเลยที่ 1 จึงไม่ได้รู้เห็นด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ไม่ได้รู้เห็นตั้งแต่ต้นเสียแล้ว โอกาสที่จำเลยที่ 1 จะให้หรือไม่ให้ความยินยอม จึงไม่มีหรือเป็นไม่ได้อยู่ในตัว ซึ่งก็ไม่ผิดวิสัยที่ครอบครัวที่ร่ำรวยมั่งคั่งมีทรัพย์สินนับแสนล้านบาท อย่างเช่น จำเลยที่ 1 และ จำเลยที่ 2 จะทำเช่นนั้นได้
และเมื่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยมาแล้วว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำของจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 1 ไม่ประสงค์ที่จะมีเจตนาซื้อที่ดินพิพาทกับจำเลยที่ 2 แล้ว การที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองไม่มีพยานหลักฐานใด มาพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าจำเลยที่ 1 มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยในการที่จำเลยที่ 2 ดำเนินการตามมาตรา 100 นั้น ย่อมเท่ากับบังคับให้จำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 2 นำพยานหลักฐานมาสืบพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ศาลรู้เองอยู่แล้ว
ขอข้ามไปที่บทสรุปเลยนะครับ
ปรากฏจากคำพิพากษาที่อ่านและเปิดเผยแล้วว่า คณะผู้พิพากษาทั้ง 9 คนลงมติด้วยคะแนน 5 ต่อ 4 ว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดให้จำคุก 2 ปี ย่อมแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า ในชั้นที่ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน ทำหน้าที่ประธานสอบถามความเห็นผู้พิพากษา อีก 8 คนนั้น มีผู้พิพากษา 4 คนเห็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดแต่ผู้พิพากษาอีก 4 คนเห็นว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีความผิด คะแนนเสียงจึงเป็น 4 ต่อ 4 เท่ากัน แย้งกันอยู่
กรณีเช่นนี้ ณ เวลานั้น ขณะนั้น จึงต้องด้วยบทบัญญัติแห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาดังกล่าวข้างต้นว่า ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีความผิดและกรณียังเป็นที่สงสัยว่าจำเลยที่ 1 กระทำผิดจริงหรือไม่ เพราะมีคะแนนเสียงเท่ากัน หาเสียงข้างมากไม่ได้ ซึ่งกรณีย่อมต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 184 ที่บัญญัติว่า
“ถ้าปัญหาใด มีความเห็นแย้งกันเป็นสองฝ่าย จะหาเสียงข้างมากมิได้ ให้ผู้พิพากษาที่เห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยมากกว่า ยอมเห็นด้วยผู้พิพากษาซึ่งมีความเห็นเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า” อีกด้วย
ดังนั้น ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีนี้ ซึ่งเป็นประธานและต้องออกเสียงเป็นคนสุดท้าย จึงต้องถูกผูกมัดและถูกบังคับด้วยบทกฎหมายที่บัญญัติไว้อย่างชัดแจ้งดังกล่าว ให้จำต้องลงมติว่า จำเลยที่ 1 ไม่มีความผิด เพราะเป็นผลร้ายแก่จำเลยน้อยกว่า แม้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวน จะมีความเห็นขณะนั้นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดก็ตาม
แต่สุดท้ายผลก็ออกมาว่าคุณทักษิณผิด
อ้างอิง
https://www.dlo.co.th/node/204
ตามนี้เนาะ คนที่ใจมีความเป็นธรรมย่อมเห็นถึงความไม่สมเหตุสมผลแต่ก็อย่างว่าอ่ะนะ
สำหรับคุณหรือใครๆอีกหลายคนผมเข้าใจครับ
พวกคุณเป็นแบบนั้นแหล่ะ