Track by Track
1.i apologise if you feel something
ในผลงาน6ชุดที่พวกเขาสร้างสรรค์ขึ้นมา ไม่มีอัลบัมไหนที่มีเพลงIntroก่อนเข้าสู่เพลงในอัลบัม
นี่คือครั้งแรกเลยที่วงได้นำเพลงIntroมาเปิดตัวและเพลงนี้มีความยาวกว่า2นาที
เสียงElectronic Synthesizer ที่มาควบคู่กับเสียงร้องแปลกๆหู ที่เล่าเรื่องถึงความรักที่เสมือนเป็นคุกจองจำหัวใจ
และนำพาเราเข้าไปสู่...........
2.MANTRA
SingleและMVแรกหลังจากที่ห่างหายไปกว่า 3ปี ที่ออกมาในปลายปี2018
ริฟฟ์กีตาร์แบบที่เราคุ้นเคยในช่วงอัลบัมหลังๆของพวกเขา ทำให้เราตื่นตัวกับเพลงทั้งหมดของอัลบัม
เพลงนี้เป็นเพลง Rock,Metalไม่กี่เพลงอัลบัมที่พวกเราจะได้ฟังและโดดกัน
MANTRA พูดถึงลัทธิ หรือทางแยกของการใช้ชีวิตคู่เมื่อเราได้สับสนและกำลังเริ่มรู้ตัวในสถานะที่ใช้ร่วมกัน
มันเป็นเรื่องยากที่จะจบความสัมพันธ์นั้นๆ และเป็นเรื่องใหญ่พอๆกับการเข้าและลาออกจากลัทธิเลย
แรงบันดาลใจของเพลงนี้ได้มาจาก หนังเรื่องโปรดของพวกเขา Wild Wild Countryครับ
3.nihilist blues
แขกรับเชิญคนแรกในอัลบัมนี้ Grimesศิลปินเดี่ยวสาวที่มีดนตรี Synth pop,art popเป็นอาวุธ
และเพลงที่3นี้ก็คืองานชิ้นแรกที่พวกเขาได้ร่วมกันสร้างก็มาในรูปแบบ edm,techno อย่างที่พวกเขาไม่ได้ทำมาก่อน
nihilist blues คืออีกความท้ามทายที่พวกเขาคุ้มค่าที่จะเสี่ยง ด้วยการเรียบเรียงที่แทบจะไม่หลงเหลือเงาของตัวเองอยู่เลย
ผสมผสานไปกับดนตรี Electronic ที่โครตเจ๋ง และเสียงร้องของ Grimesในการเพลงก็โครตจะเข้ากับเพลงนี้ยิ่งนัก
Bring Me the Horizonเสนอตัวเองว่าเป็นพวกแหกคอกทางด้านความเชื่อและศาสนา และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาได้อธิบายถึงความคิดอันสุดโต่ง
ให้แฟนๆได้ฟัง
nihilism ลัทธินัตถิกทิฏฐิ,ความคิดแบบสุญนิยมหรือปรัชยาแห่งคำว่า ช่างแม่ง ถ้าจะนับจริงๆถือว่าเป็นความอิสระทางด้านจิตวิณญาณของปัจเจก บุคคล
เราทุกคนมีสิทธิ์คิดและถือครองคติและอคติของตัวเองได้
ทุกอย่างกำหนดที่ตัวเราเอง
4.in the dark
เธอเห็นสิ่งใดเล่า ในความมืดมิดจิตใจฉัน
เพลงนี้มีไลน์กีตาร์พริ้วๆแปลกหูที่เราไม่เคยได้ยินในบทเพลงของเขา พร้อมทั้งเสียงคีย์บอร์ดที่ผสานรองพื้นได้ดี
เป็นอีกเพลงที่เล่าถึงความสัมพันธ์ของความรัก ที่จบลงไปอย่างไม่สวย
แน่นอนว่าพูดถึงอดีตภรรยาอย่าง Hannah Snowdon ด้วยท่อนและเนื้อเพลงที่เจ็บแสบหลายวรรค
ดังเช่น
Guess my fairytale has a few plot holes
Well, I'm looking on the bright side now
Tryna figure out somehow
(None of this is real, no)
เทพนิยายของฉันคงจะบกพร่อง
ตัวฉันต้องมองโลกใหม่ด้วยตานี้
เลิกเสแสร้งได้แล้วอย่าได้มี
อะไรที่หลอกลวงกันอีกต่อไป
5.wonderful life
Singleที่2ในอัลบัม ที่หลายๆคนชอบรวมทั้งผู้เขียนด้วย
นับได้ว่าเป็นเพลงที่หนักที่สุดในอัลบัมได้เลย ยิ่งได้ Dani Filthตัวแรงแห่ง Cradle of Filthมาร้องด้วยยิ่งทำให้ทวีคูณความยุ่งเหยิงไปอีกเท่าตัว
Oliverเขียนเพลงนี้เสร็จในเวลาอันสั้น อาจจะเป็นเพราะได้ระบายความอัดอั้นทั้งหมดในใจออกมา ถึงความ "มากเกินไป" ที่เขาได้รับในชีวิต
ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ในที่นี้อาจไม่ได้พูดถึงชีวิตที่ประสพความสำเร็จ มีชื่อเสียง มั่งคั่งเงินทอง แต่อาจกล่าวถึงชีวิตที่ไร้ตัวตนสำรับทุกคน
การจากไปโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ และใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในที่ๆไม่มีใครรู้จัก อาจเป็นหนทางสุดท้ายที่จะสังเวยชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งชีวิต
หรือเพียงแค่ฝันตื่นหนึ่งก็เพียงพอแล้ว
6. ouch
Electronic, House Music ได้ประเคนใส่โสตประสาทอย่างจัดเต็ม
อยากให้เพลงนี้เป็นมากกว่า Interludeที่คั่นอารมณ์ระหว่างเพลง
เพราะเนื้อหาในเพลงยังคงเป็นการพูดถึงเรื่องเดิมๆ จากอดีตดวงใจของOliverนั่นแหละ
และเพลงนี้คือเค้าโครงเริ่มต้นของ......
7.medicine
Singleที่3 ที่หลายคนฮือฮากัน(อีกแล้ว)
แต่สำรับผู้เขียนบอกได้เต็มปากได้เลยว่าชอบเพลงนี้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟังและเป็นเพลงที่ชอบที่สุดในอัลบัม
อดนึกถึง Drownที่เป็นเพลงที่ชอบที่สุดในอัลบัมที่แล้วไม่ได้ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟัง
เพลงนี้เป็นเพลงRockที่มีเสียงกีตาร์,เบสและกลองอันเป็นพื้นฐานของเพลงRockทั่วๆไป
และมีเมโลดี ท่อนฮุคสวยๆ ท่อนร้องประสานเท่ห์ๆครบเครื่องในการเล่นสดทุกประการ
แน่นอนว่าไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่จะพูดถึง ภรรยาเก่าแต่คิดว่านี่คือเพลงที่เจ็บที่สุดในการสาดเสียเทเสีย ปรุงยาออกมาและจับกรอกปากไปให้แก่คนที่
เคยได้ป้อนหยูกยาให้นาคราก่อน
เธอควรจะได้รับรู้รสชาติ
ยาที่ฉันเข็ดขยาดเกินทนไหว
ขอโทษที่ตัดสินใจพูดออกไป
เธอคงได้รับรู้ความเจ็บสักที
8.sugar, honey, ice & tea
ริฟฟ์กีตาร์มันส์ๆทำให้หวนนึกถึงหลายเพลงในอัลบัม That's the Spirit และท่อนกีตาร์โซโล่ด้วยเอฟเฟกต์แปลกๆผสานไปกับท่อนว้ากของOliverที่หลายคนถามหา
ถ้าจะพูดถึงสังคมและจะด่าคนที่อยู่ในสังคม ความเหลวแหลกของด้านมืดในใจมนุษย์
เพลงนี้เหมาะมากสำรับทำการนี้ โดยถ้านำตัวย่อของ sugar,honey,ice,teaมาจะเป็นคำว่า
SHIT !
9.why you gotta kick me when I’m down?
Hip hopแบบชัดเจน เต็มๆเท้าราวกับจะเหยียบย่ำความยึดติดและความชอบของแฟนๆรุ่นเก่าให้เละลงไปอีก
เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่Oliverได้ ประเคนRapออกมาในเพลง ถ้าจะบอกว่าเพลงนี้คือเพลง สบถด่าก็ได้เพราะนี่แหละคือการพูดจากันแบบกุ๊ยๆ
ของOliverกับผู้คนที่เข้ามาสอใส่เกือกกับชีวิตของพวกเขามากเกินไป
เพลงนี้ค่อนข้างหยาบคายและมีความกวนแต่ก็ยังดีที่พวกเขาไส่เสียงร้องประสานของเด็กเข้าไปยิ่งทำให้เจ็บจี๊ดเข้าไปอีก (เหมือนโดนเด็กหลอกด่า?)
โดยกลุ่มเด็กๆที่มาร้องประสานในเพลงนี้ได้มาจากกลุ่มChoir NoirและBrightwalton Primary School Choir ครับ
10. fresh bruises
Interlude อีกชิ้นที่ถ้าจะนับก็คือเพลงที่3เข้าไปแล้ว (ไม่เคยเห็นอัลบัมRockวงไหนมีInterludeเยอะเท่านี้)
เพลงElectronic ที่ชวนให้ขยับกันพอประมาณแบบ Lo-fi Electronic, Avant-garde
โดยเนื้อเพลงทั้งหมดของเพลงมีทั้งหมด2ประโยคถ้วนนั่นก็คือ
Don’t you try to fuck with me
Don’t you hide your love
ซึ่งแน่นอนว่าเป็นประโยคที่ Oliverกล่าวกับAlissa นั่นแหละ
เป็นการปรับอารมณ์ก่อนที่เราจะไปหวานกับ..........
11. mother tongue
ดนตรีRockคือดนตรีที่จริงใจที่สุด เมื่อผสานกับเพลงรัก ทำให้เกิดเพลงรักที่จริงใจที่สุด
นี่อาจไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทำเพลงรักออกมา หลังจากที่เคยทำ Follow YouในThat's the Spiritมาแล้ว
แต่เพลงนี้มีความหวานหยดย้อยกว่าเพลงที่ผ่านมาหลายเท่า
ปฏิเสธไม่ได้ว่า1ในแรงบันดาลใจที่ทำให้เกิดเพลงนี้ขึ้นมาคือ Alissa Salls คนรักของOliverนั่นเอง
โดย mother tongue นี่มีความหมายก็คือภาษาแม่ของเราที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เราเติบโตนั่นเอง และอาจมีผลต่อความคิด ความเข้าใจ การใช้ชีวิตและวัฒนธรรมต่างๆที่ติดตัวมากับAlissaจนได้มาพบกับOliver และก่อให้เกิดเพลงรักที่หลายๆคนชอบในอัลบัมนี้ขึ้นมาครับ
เพลงนี้คือหัวใจหลักของอัลบัมamoจริงๆครับ
12.heavy metal
เบสที่เป็นเสียงจากSamplingในเพลงผสานกับริฟฟ์กีตาร์ในต้นเพลงควบคู่ไปกับเสียงซินธิไซเซอร์กวนๆโสดประสาทโดยรวมแล้วก็ได้เพลงกวนๆมาเพลงหนึ่ง
ความกวนประสาทนั้นมาตั้งแต่ชื่อเพลงแล้ว ด้วยเครื่องดนตรีที่เป็นElectronicขัดกับชื่อเพลงยิ่งนัก
เพลงนี้ทำมาเพื่อสับขาหลอกแฟนๆเพลงที่โหยหาดนตรีหนักข้อในแบบที่พวกเค้าเคยเป็น
และอาจจะผิดหวังคอตกไปพอๆกัน
เพลงนี้ได้ร่วมงานกับ RahzelอดีตสมาชิกจากThe Rootsมาช่วยRapและBeat Boxในเพลงที่ไม่มีใครคิดมาก่อนว่าจะเกิดขึ้นในเพลงของพวกเขา
โดยรวมแล้วทำได้ออกมาเท่ห์และน่าสนใจเกินคาดครับ
13. i don’t know what to say
ความอลังการของเปียนโน,ออเครสตร้าเครื่องสายแบบเต็มวงผนวกกับกีตาร์อะคูสติคและความเป็น Bring Me the Horizon
ทำให้เกิดอีกเพลงที่จะเป็นอีก1หลักไมล์ของพวกเขาในอนาคต
โดยเพลงนี้แต่งขึ้นมาจากเพื่อนของพวกเขาที่ชื่อAidan ที่จากไปด้วยโลกมะเร็ง โดยความรู้สึกผิดและละอายเกิดมาจากสภาวะหน้าที่การงานใน
ช่วงนั้นที่ไม่ได้อยู่เคียงข้างและบอกลากับเพื่อนเขาเป็นครั้งสุดท้าย และเพลงนี้คือการเอาคำพูดนับล้านที่อยู่ในหัวเค้าเขียนออกมาเพื่อนสื่อถึงเพื่อน
ว่าเขาควรจะพูดอะไรเป็นครั้งสุดท้าย
amo ถือเป็นอีกก้าวที่โครตจะเสี่ยงแต่ก็คุ้มค่ากับหลายอย่างที่ได้รับ
พวกเขาเติบโตขึ้นจากความเสี่ยงที่ถาโถมเข้ามาในทุกๆที่ดนตรีของพวกเขาไปถึง
โดยความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจทำให้หลายๆคนที่เคยติดตามพวกเขามาตั้งแต่แรกโบกมือลาเลิกติดตามกันไป
เชื่อเถอะว่าในทุกๆครั้งที่ความเปลี่ยนแปลงได้ก้าวเข้ามาสู่ชีวิตนักดนตรี อาจจะมีการสูญเสียเพื่อนร่วมทางไปบ้าง
แต่มั่นใจเสียเถอะว่าในขณะที่พวกเขาได้สูญเสียพวกเขาจะได้รับผู้ร่วมทางกลุ่มใหม่ๆเข้ามาทดแทน
ดั่งที่คนที่พวกเขาและอีกหลายคนเคารพได้เคยกล่าวเอาไว้นั่นเอง