คงจะอารมณ์คนทำงาน แล้วเบื่อเจ้านายที่มันเอาแต่สั่งๆๆๆ แต่ไม่ดูอะไรเลย ลูกน้องก็ทำงานให้หมดไปวันๆ

บอลไทยนานๆเตะทีก็จะเตะไล่กันอีกเนอะ

ส่วนตัวคิดว่าเนวินอยากออกหน้าสื่อมากกว่า ถ้าเตะไล่จริงๆนักบอลนี่น่าจะโดนด่าหนักๆเลยนะ เสื้อทีมชาติที่ใส่ไม่มีความหมายอะไรเลยหรอ

ผมว่าเราต้องหานิยามเตะไล่โค้ชใหม่อะ​ มันหมดใจเล่นมากกว่า​ ไล่โค้ชนี่มันคือล้มบอลเลยนะ​ ไม่มีนักเตะคนไหนอย่กเอาอาชีพมาเสี่ยงหรอก​ ใครๆก็อยากชนะ​ แต่เวลาทำงานกับคนที่ไม่อยากทำงานด้วย​ มันเตะแบบไม่มีความสุข​ เตะไปเดี๋ยวก็โดนโค้ชด่า​ ผลงานมันก็ไม่ดี

ส่วนเรื่องเตะแบบหมดใจอะผมว่ามันมีมานานแล้วอย่างตอน​โบอาส​ (เชลซี), มาดริด​(ราฟา), บาเยิน,(LVG, มากัธ)​ แต่สมัยนี้สื่อมันไว​ social media อีก​ มันทำให้เราปะติดปะต่อเรื่องราวง่ายขึ้นมาก​ ไม่งั้นมันจะมีวลีนี้เหรอ​ "บอลเปลี่ยนโค้ช"

คือถ้ากลับแมนยูละกัน ผมว่าไม่ได้เตะไล่โค้ชแน่นอน และก็ไม่ใช่ไม่ทุ่มเทด้วย

แต่เป็นที่แผนของมูเองนั้นแหละที่ไล่ตัวเอง ผมจะบอกแบบนี้ละกัน ยุค มูรินโย่ จะใช่กองกลางสามคน ปกติกลางสามคนจะยืนเป็นสามเหลี่ยมเพื่อจะง่ายต่อการจ่ายบอลไปมาและทำเกม ทีนี้แมนยูเวลาเล่นจริง กลางสามคน ดันยืน ระหนาบเดียวกันสะงั้น กลายเป็นมันก็เคาะบอลแก้เพรสอะไรไม่ได้ ทำได้แต่จ่ายออกไปข้างๆ ที่นี้ปัญหามันเกิดต่อมาคือ แบล็คมันถูกจำกัดพื้นที่ไม่ให้เติมสูงพร้อมกันสองฝั่ง ถ้าฝั่งหนึ่งสูงอีกฝั่งต้องลงต่ำกว่า การบุกของแมนยูเลยใช้ผู้เล่นทำเกมบุกน้อยมาก และยิ่งกลางยืนต่ำแบบนั้นด้วย ก็เหมือนการที่จ่ายบอลไปให้ ตังรุก สามตัวบ่นเล่นและให้ไปจัดการกันเอง ผลก็ออกมาอย่างที่เห็นกัน ผมเชื่อเลยว่ายุคมูถ้าใครดูก็ต้องมีความรู้สึกว่า ทำไม แมนยูเล่น เหมือนพื้นที่ในการบุกมันดูโล่งๆ เหมือนลงมาไม่ครบ 11 คน กลางกับหน้าห่างกันเยอะมาก มากจนเห็นได้ชัดๆเลย

ที่นี้ตอนนี้ทำไม ผู้เล่นชุดเดียวกัน กลายเป็นทำผลงานได้ในระดับที่สุดยอดละทั้งๆ ที่ใช้แผนเดียวกันคือ 4-3-3 ก็เพราะ กลางยืนเป็นสามเหล่ยม หลายโดยมี b2b ขึ้นสุดลงสุดไปช่วยอีกตัว มันเลยทำให้กลางแมนยูมันลอยสูง ขึ้นมาถึงพื้นที่อันตรายเลย บวกกับ แบ็คที่เติมสุดเส้นมาจากทั้งสองฝั่ง มันเลยทำให้การบุก มีผู้เล่นอยู่ในฝั่งคู่แข่งเยอะมากขึ้นโดยจะมีผู้เล่นที่พร้อมบุกเลย 7 คน โดยมีอีกสามคนคอยป้องกัน เกมมันเลยออกมาลื่นไหล แต่มันมีข้อเสียคือ ถ้าโดนโต้มันจะหลุดกันทัเงแผงเลย แต่แมนยูก็แก้ด้วยการ ใช้ มาติชลงไปยืนสูงกว่าเซนเตอนิดเดียว มันเลยกลายๆเป็นหลังสามชั่วคราว บวกกับเกมริมเส้นแมนยูเป็นพวกสปีดจัดมันเลย พอจะวิ่งมากันได้ทัน ยุคมู นี่สังเกตไหมว่าแบ๊คจะฮุบเข้าข้างในเวลาถุกบุก กลายเป็น หลังจะมีเพิ่มมาจากปีก อีกสองคน ซึ้งไอ้การที่เอาหลังไปกองกันแบบนั้น มันก็อาจจะดีตรงที่เกมรับเราคนเยอะมาก แต่มันก็ทำให้กลางสนาม มีพื้นที่ให้อีกฝั่งเล่นเยอะตามไปด้วยเหมือนกัน

ผมว่าเป็นแบบนี้นะ ไม่มีหรอกแมนยูเตะไล่โค้ชถ้าบอร์ดหรือคนที่เป็นคนในรู้นี่บอกเลย นักเตะบินเรียงตัว

อารมณ์คนทำงานเบื่อที่ทำงานเก่าอะคับ ทำไม่เต็มที่ ต้องย้ายไปที่ใหม่หาความท้าทายหรืออัพเงอนเดือน ก็จะมีไฟอยากพิสูจน์ตัวเอง

นักเตะหมดใจกับทีม ไม่เหมือนกับกรณีที่เราพูดถึงอยู่นะครับ
แม้แต่คนที่หมดใจกับทีม แต่ความเป็นมืออาชีพยังงมีอยู่เราก็เห็นตัวอย่างเยอะ
เพราะกรณีที่พูดตอนนี้คือนักเตะก็ยังอยากอยู่ในทีม

บางครั้งโค้ชมันก็ไม่ได้ถูกไปซะทุกเรื่องทุกอย่างนะ

มันต้องคุยกันดิ นักเตะยังต้องฟังโค้ช แล้วทำไมโค้ชถึงไม่รับฟังนักเตะบ้างหล่ะ

สุดท้ายไปกันไม่รอดมันก็ต้องมีฝ่ายนึงที่ต้องไป ไม่นักเตะ(ย้าย,ขาย,ฉีกสัญญา)ก็โค้ชอะ(ปลด,ไม่ต่อสัญญา,9ล9)

ดูไออ้วนไรโอล่าดิ บอกยินดีเดินเรื่องย้ายสังกัดหากมีปัญหาภายใน

ถ้าแมนยูอ่ะไม่ใช่หรอก มูอ่ะทำทีมไล่ตัวเอง
ถ้าเตะไล่จริงๆ แมนยูคงไม่ยิงแซง ยิงตีเสมอท้ายเกมบ่อยๆหรอก

ผมว่าไม่ใช่อ่ะ ก็คือแบบแท็คติกมันมาแบบนี้ เล่นไม่เข้าระบบ ขัดกับธรรมชาติของผู้เล่น มันก็ต้องเล่นไม่ออกเป็นธรรมดา อีกอย่างมันก็เหมือนไม่มีแรงกระตุ้นด้วย ถ้าตั้งใจเล่นแย่เล่นมั่วๆให้โค้ชโดนไล่ ผมว่าไม่ใช่แล้ว

ผมไม่กล้าพูดว่า ระดับนักเตะอาชีพ เค้าเล่นไม่เต็มที่อะ

เอาเป็นว่า เล่น 100% กับ 120% ละกัน

โค้ชที่ได้ใจนักเตะส่วนใหญ่ รีดฟอรม รีดขีดความสามารถได้หมดแหละ

ขึ้นกับว่าแต่ละคนจะนิยามคำว่า"เตะไล่โค้ช"อย่างไร

สำหรับผมถ้าคุณไม่เล่นเต็มที่100%ในสนาม แปลว่าความเป็นมืออาชีพของคุณต่ำ เพราะคุณคือนักเตะอาชีพ

อาจจะชื่นชมในฝีเท้า แต่ไม่ยกให้เป็นไอดอลหรือตำนานแน่นอน