[แทคติก] เป๊ปเอาชนะทีมที่ไม่เคยแพ้ได้อย่างไร ?
เกมระหว่างแมนซิตี้และลิเวอร์พูลน่าจะเป็นเกมที่แฟนบอลและโดยเฉพาะนักวิเคราะห์ฟุตบอลตั้งตารอคอย ไม่ใช่แค่เพราะมันเป็นการพบกันระหว่างจ่าฝูงและรองจ่าฝูง แต่เป็นการดวลกันอีกครั้งของสองกุนซือระดับท็อป โดยโจทย์สำคัญของเป๊ป กวาร์ดิโอล่าคือ จะเอาชนะทีมที่ยังไม่เคยแพ้ในฤดูกาลนี้ได้อย่างไร ?
ท้าวความกลับไปฤดูกาลที่แล้วจะเห็นว่าหลายครั้งที่ลูกทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่าต้องเจอกับความยากลำบากในการรับมือกับเกมสวนกลับของลิเวอร์พูล ทำให้เราในฤดูกาลนี้เราได้เห็นเขาปรับวิธีการเล่นเพื่อรับมือกับแทคติกของเจอร์เกน คล็อปป์โดยเฉพาะในการพบกันครั้งแรกของฤดูกาลนี้ นี่จึงเป็นเกมที่น่าสนใจมากในทางแทคติกว่าผู้จัดการทีมทั้งของทีมจะงัดกลยุทธ์อะไรออกมาให้เราได้ชมกันอีก
ลิเวอร์พูลเข้าสู่เกมด้วยสถานการณ์ที่ได้เปรียบบนตารางคะแนน ชัยชนะจะทำให้พวกเขานำห่าง 10 คะแนน โดยเหลือเกมกับทีมท็อปซิกซ์แค่สามเกมเท่านั้น ขณะที่แมนซิตี้ไม่มีเป้าหมายอื่นนอกจากเก็บสามคะแนนเพื่อกลับสู่เส้นทางการลุ้นแชมป์
บนกระดานทั้งสองทีมออกสตาร์ทด้วยแทคติก 4-3-3 เหมือนกัน แต่ในรายละเอียดนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เป๊ปใช้ปีกซ้ายที่ถนัดเท้าซ้าย ปีกขวาที่ถนัดเท้าขวา และส่วนที่สำคัญที่สุดคือการยืนตำแหน่ง สังเกตทั้งซาเน่และสเตอร์ลิ่งยืนแทบจะชิดขอบสนามตลอดเวลา ซึ่งการจัดวางตำแหน่งเพื่อใช้ความกว้างของสนามให้เกิดประโยชน์สูงสุดคือการดึงแนวรับของลิเวอร์พูลให้ฉีกออกจากกัน
เมื่อเกิดช่องว่างระหว่างเซ็นเตอร์และฟูลแบ็ค ก็จะเป็นหน้าที่ของสองมิดฟิลด์ทั้งซิลบา และแบร์ดาโน ซิลวาในการสอดเข้าไปโจมตีพื้นที่ที่เปิดกว้าง จากรูปสังเกตจังหวะที่สเตอร์ลิ่งได้บอล โรเบิร์ตสันต้องขยับออกจากไลน์เพื่อป้องกัน ขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดพื้นที่ให้แบร์นาโด ซิลวาสอดเข้าในเขตโทษได้ จะเห็นว่าเกมเริ่มมาไม่ถึงสองนาที แทคติกของเป๊ปก็เริ่มแผลงฤทธิ์ให้เห็นแล้ว
นอกจาก combination ระหว่างมิดฟิลด์และตัวริมเส้น คีย์แมนคนสำคัญอีกคนก็คืออเกวโร่ ตลอดทั้งเกมเราจะไม่เห็นเขาปักหลักค้ำอยู่ในแดนหน้า แต่จะขยับลงมารับบอล และยืนเหลื่อมมาทางฮาล์ฟสเปซด้านซ้าย เพื่อช่วยซาเน่และซิลบาในการโจมตีอาร์โนลด์และลอฟเรน
จากกราฟฟิคจะเห็นว่าเกมรุกของซิตี้นั้นเบ้ซ้ายชัดเจนโดยเกือบ 50 เปอร์เซ็นต์ของเกมรุกมาจากการขึ้นทางด้านซ้าย ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องบังเอิญแต่เป็นแทคติกของเป๊ป ที่จะทดสอบให้เราได้เห็นว่าเกมรับของลิเวอร์พูลไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น และเป็นอีกครั้งที่เป๊ป กวาร์ดิโอล่าไม่ทำให้เราผิดหวัง หลังจากที่ทั้งสองประตูของแมนซิตี้มาจากการโจมตีทางฝั่งซ้ายทั้งสองประตู
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้การเข้าทำในพื้นที่สุดท้ายก็คือการขึ้นเกมบุก ทางฝั่งลิเวอร์พูลค่อนข้างชัดเจนเมื่อคล็อปป์ตัดสินใจใช้สามมิดฟิลด์ที่เล่นเกมรับได้ดีทั้งเฮนเดอร์สัน มิลเนอร์ และไวจ์นัลดุม
ทีมของเจอร์เกน คล็อปป์ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในทีมที่เพรสซิ่งได้ดีที่สุดในยุโรป และได้พิสูจน์ให้เห็นกับหลายต่อหลายทีมที่พยายามจะลำเลียงบอลผ่านแดนกลางของเขาพวกมาแล้ว โจทย์สำคัญจึงอยู่ตรงนี้ว่า จะเอาชนะแดนกลางของลิเวอร์พูลอย่างไร?
จากภาพจะเห็นแนวป้องกันของลิเวอร์พูลทั้งสามประสานแดนหน้า และสามมิดฟิลด์ในแดนกลาง สังเกตการยืนตำแหน่งของทั้งสองแนวจะใกล้กันมาก และนักเตะแต่ละคนในแนวเดียวกันก็จะยืนใกล้ๆกันเพื่อให้สามารถเข้าประชิดตัวและแย่งบอลกลับมาได้ไว
ย้อนกลับไปที่การยืนตำแหน่งของตัวรุกของแมนซิตี้ เป๊ปวางปีกสองข้างไว้แทบจะชิดริมเส้น เพื่อถ่างแผงแบ็คโฟร์ของลิเวอร์พูลอย่างที่กล่า่วไปข้างต้น แต่นอกจากนี้การยืนกว้างๆเช่นนี้ยังมีประโยชน์ในการรับบอลจากแดนกลาง/หลังที่จะพยายามจ่ายออกข้าง ทำให้แนวเพรสซิ่งของลิเวอร์พูลแทบจะไม่มีประโยชน์
จากภาพเป็นจังหวะที่กอมปานีจ่ายบอลขึ้นหน้า อเกวโร่ลงมาล้วงบอลทางด้านซ้าย สังเกตมิลเนอร์ที่อยู่ห่างเกินกว่าจะตัดบอลจังหวะนี้ได้ จะเห็นว่าการจ่ายบอลเพียงครั้งเดียว ลูกทีมของเป๊ปสามารถตัดแนวเพรสซิ่งลิเวอร์พูลหกคนในแดนหน้าและกลางออกจากการป้องกันจังหวะนี้ได้เลย
ภาพจังหวะต่อเนื่องจากจังหวะข้างต้น หลังจากบอลสามารถทะลุแนวเพรสซิ่งของลิเวอร์พูลมาได้ ก็เข้าสู่กระบวนการเข้าทำในพื้นที่สุดท้ายอย่างที่กล่าวไปตอนต้น ซาเน่ใช้ความสามารถเฉพาะตัวเอาชนะอาร์โนลด์มาได้ ดึงลอฟเรนให้ออกจากแผงแบ็คโฟร์ เปิดพื้นที่ให้ อเกวโร่และซิลบาเข้าสู่พื้นที่อันตรายได้
จังหวะคล้ายๆกัน กอมปานีจ่ายบอลผ่านแนวเพรสซิ่งของลิเวอร์พูลอย่างง่ายดาย แต่คราวนี้เป็นซาเน่ลงมารับบอล สังเกตไวจ์นัลดุมที่อยู่ห่างเกินกว่าจะตัดบอลได้ อาร์โนลด์จึงต้องขยับออกจากไลน์มาเพื่อตามประกบซาเน่
จังหวะต่อเนื่อง ซาเน่ทำชิ่งวันทูกับลาปอร์ต สังเกตอาร์โนลด์ที่หลุดตำแหน่งไปอย่างง่ายดายปล่อยให้ซาเน่อยู่ด้านหลังพร้อมกับเปิดพื้นที่ขนาดใหญ่ ส่งผลให้ลอฟเรนต่องขยับออกจากไลน์มาอีกคนเพื่อเตรียมรับมือกับทั้งซาเน่และซิลบาที่ไร้ตัวประกบ
จังหวะต่อเนื่อง ซาเน่ใช้ความสามารถเฉพาะตัวเอาชนะลอฟเรนได้อย่างไม่ยากเย็น สังเกตพื้นที่รับผิดชอบของทั้งอาร์โนลด์และลอฟเรนที่เปิดกว้างให้ซิลบาและอเกวโร่สามารถขยับไปเล่นได้สบายๆ จะเห็นว่าตั้งแต่กระบวนการขึ้นบอล การเข้าทำในพื้นที่สุดท้าย ลิเวอร์พูลแทบไม่สามารถป้องกันได้เลย และในที่สุดก็นำมาซึ่งประตูขึ้นนำ 1-0 หลังจากแมนซิตี้พยายามเจาะทางขวาของลิเวอร์พูลในลักษณะนี้อยู่หลายครั้ง
แม้กระทั่งในครึ่งหลังลิเวอร์พูลก็ยังไม่สามารถหาทางป้องกันการขึ้นบอลจากหลังของแมนซิตี้ได้ จังหวะนี้ดานิโล่สามารถส่งบอลผ่านแดนกลางของลิเวอร์พูลได้โดยง่ายอีกครั้ง บวกกับความผิดพลาดในการประกบตัวของโรเบิร์ตสันทำให้สเตอร์ลิ่งสามารถรับบอลไปเล่นได้ สังเกตอเกวโร่ที่ยังไม่ลดละในการถ่างออกมาทางซ้ายเพื่อกดดันอาร์โนลด์และลอฟเรน และซาเน่ที่ยืนไร้ตัวประกบ
สเตอร์ลิ่งใช้ความสามารถเฉพาะตัวเลี้ยงตัดเข้าในเพื่อดึงตัวประกบ อเกวโร่วิ่งตัดเข้าในทันทีเพื่อดึงอาร์โนลด์ให้หลุดตำแหน่งและเป็นการเปิดพื้นที่ให้ซาเน่เข้าสู่กรอบเขตโทษโดยไร้การประกบและลงโทษลิเวอร์พูลได้สำเร็จ
ในส่วนของแมนซิตี้จะเห็นว่าในทางแทคติกนี่เป็นอีกครั้งที่เป๊ป กวาร์ดิโอล่าพิสูจน์ให้โลกเห็นว่าทำไมเขาถึงเป็นผู้จัดการทีมระดับท็อป ขณะเดียวกันก็เป็นการตอกกลับกูรูทั้งหลายที่กล้าตัดชื่อของเขาและแมนซิตี้ออกจากการลุ้นแชมป์ตั้งแต่คริสต์มาส ต่อไปจะขอกล่าวถึงแท็คติกของทางฝั่งเจอร์เกน คล็อปป์
ถึงแม้ทั้งสองทีมจะจัดแผนการเล่นเริ่มต้นด้วยระบบ 4-3-3 เหมือนกันแต่ในทางแท็คติกแนวทางการเล่นของทั้งสองทีมนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ขณะที่เป๊ปให้ตัวริมเส้นของเขาทั้งสองฝั่งปักหลักอยู่ริมเส้น คล็อปป์ใช้การเคลื่อนที่ของผู้เล่นริมเส้นทั้งสองฝั่งตัดเข้าใน เพื่อโจมตีพื้นที่บริเวณฮาล์ฟสเปซและขณะเดียวกันก็ใช้แบ็คทั้งสองข้างเติมเกมสูงขึ้นมาใช้พื้นที่ด้านข่างที่ว่างลง
จากภาพจะเห็นว่าจังหวะที่มาเน่ได้บอลบริเวณริมเส้นทางด้านซ้าย เขาไม่ลังเลที่จะตัดเข้าในทันที เช่นเดียวกันซาล่าที่พยามโจมตีพื้นที่ฮาล์ฟสเปซระหว่างกอมปานีและลาปอร์ต ซึ่งขณะเดียวกันก็เป็นการดึงลาปอร์ตให้หลุดตำแหน่ง และเปิดพื้นที่ให้อาร์โนลด์เติมขึ้นมาทางด้านขวา
ข้อแตกต่างกับทีมของเป๊ปคือ ขณะที่ทางแมนซิตี้สามารถทะลุแดนกลางของลิเวอร์พูลได้หลายต่อหลายครั้ง จังหวะข้างต้นแทบจะเป็นครั้งเดียวในเกมนี้ที่แท็คติกการใช้ตัวริมเส้นตัดเข้าในของคล็อปป์ได้ผล
ซาล่าได้บอลบริเวณกลางสนามและสามารถพลิกผ่านแฟร์นันดิญโย่ ทำชิ่ง1-2กับฟีร์มิโน่ ก่อนที่จะจ่ายให้มาเน่หลุดเดี่ยวเข้าไปในกรอบเขตโทษ แต่ก็นับว่าเป็นโชคร้ายของลิเวอร์พูลที่พวกเขาขาดโชคไปแค่ 11 มิลลิเมตรเท่านั้นก่อนที่บอลจะข้ามเส้นไปเต็มลูก
หลังจากพยายามอยู่หลายต่อหลายครั้งแท็คติกของเจอร์เกน คล็อปป์ที่ให้แบ็คสองข้างเข้าทำเกมบุกจากบริเวณริมเส้นก็เป็นผล ครึ่งหลังไวจ์นัลดุมที่ถูกขยับมายืนเป็นปีกซ้ายยังคงเล่นตามแท็คติกเดิม เขาวิ่งตัดเข้าในเพื่อดึงดานิโล่ให้หลุดตำแหน่ง เปิดพื้นที่ให้โรเบิร์ตสันเข้ารับบอลจากอาร์โนลด์ทางริมเส้นด้านซ้าย ก่อนจะตวัดเข้ากลางให้ฟีร์มิโน่ที่ไร้การประสบทำประตูตีไข่แตก
บทสรุป
จริงอยู่ที่ฟุตบอลมีอะไรมากกว่าแทคติก หาก 11 มิลลิเมตรของลิเวอร์พูลข้ามเส้นไปก่อน หากซาเน่ยิงเบี่ยงออกไป 11 มิลลิเมตรบอลอาจจะชนเหลี่ยมเสานอก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าแทคติกทำให้ฟุตบอลเป็นมากกว่ากีฬาที่ใช้กำลัง แต่ต้องมีมันสมองที่เฉียบคมด้วย
และวันนี้ผู้จัดการทีมทั้งของทีมก็ได้แสดงให้เราเห็นว่าการวางแทคติกดีที่สำคัญขนาดไหน แทคติกของทั้งสองฝั่งถือว่าประสบความสำเร็จ แทคติกของคล็อปป์สามารถเจาะแนวรับซิตี้ได้ และแทคติกเป๊ปก็สามารถเจาะแนวรับลิเวอร์พูลได้เช่นกัน แต่เป็นลูกทีมของเป๊ปที่เด็ดขาดในพื้นที่สุดท้ายมากกว่า
นี่คือหนึ่งในเกมที่มีประเด็นทางแทคติกที่น่าสนใจให้วิเคราะห์มากที่สุดเกมหนึ่งของฤดูกาล และความสำคัญของมันก็คือเทปบันทึกเกมนี้จะถูกเปิดซ้ำๆโดยคู่แข่งของลิเวอร์พูลในทุกๆเกมที่เหลือของฤดูกาลอย่างไม่ต้องสงสัย จึงเรียกได้ว่ามันอาจจะเป็นต้นแบบของการชนะทีมที่ไม่เคยแพ้อย่างลิเวอร์พูลให้ทีมอื่นๆทำตาม หรือนำไปพัฒนาให้แยบยลยิ่งขึ้น โจทย์สำคัญจึงตกไปอยู่กับเจอร์เกน คล็อปป์อีกครั้งว่า หากมีทีมที่มีศักยภาพจะเล่นแบบแมนซิตี้วันนี้อีก อาจจะเป็นแมนยู สเปอรส์ หรือแม้แต่เชลซี เขาจะมีวิธีการรับมืออย่างไร เป็นเรื่องที่เราต้องติดตามกันต่อไป
*********************************************************************************
ต้องขอโทษที่เขียนย้อนหลังหลายวันหน่อย พอดีผมพึ่งมีเวลามานั่งดูย้อนหลังอีกรอบ
มีอะไรติชมหรืออยากแสดงความคิดเห็นอะไรเพิ่มเติมเผื่อผมพลาดประเด็นอะไรไป เชิญได้เต็มที่เลยครับ