ราคาขึ้นจากปีที่แล้ว 30% เลย ไม่ธรรมดาแหะ อย่างว่าเล่นสวย เล่นดุ ลุ้นแชมป์ เห็นแล้วอิจจจจจ

แต่ดูราคาแมนยู แบบนี้เกลเซอร์ไม่ขายแน่ๆ โดดไปไกลมาก

ถึงตอนแรกๆ จะดูไม่เข้าที่เข้าทางตั้งแต่เข้ามาใหม่ๆ

แต่หลังจากได้เซนต์สัญญากับเจอร์เก้น คลอปป์จนถึงตอนนี้
รู้สึกได้เลยว่า FSG เหมาะกับหงส์ที่สุดในตอนนี้แล้ว
ทุกอย่างเป็นไปได้อย่างดี เข้าที่เข้าทางถึงจะไม่รวดเร็วในสองสามปีแรกก็ตาม

เงินดาวน์แค่ 25ล้านปอนด์ยังไม่จ่ายเลย

แล้วเงินค่าเทคฯอีก 2พันล้านปอนด์จะมีจ่ายได้ไง (ถ้าไม่กู้)

เฮนรี่สร้างทีมมาไกลอยู่นะ

แก่คงอยากให้หงส์เป็นเหมือนเรดซอค

ได้คนทำธุรกิจกีฬาเป็น แบบ FSG ก็ถือว่าโชคดีแล้ว

บริหารทีมจริงๆ ลงทุนตามความเหมาะสม มั่นคงในระยะยาว

เอาจริงๆตอนนี้ Happy กับ FSG นะ เงินอาจไม่ได้มีมาก แต่ความจริงใจนี่สุดๆ การบริหารมีวิสัยทัศน์

ตอนถูกไม่ซื้อกัน........จะมาซื้อตอนนี้ ไม่อยากให้ เฮียจอน ขายนะ แกบริหารทีมได้ดีมาก อยู่ด้วยกันก่อน.........

โชคดีแล้วครับ ที่ได้ FSG มาบริหารสโมสรฯ และต่อมาก็ได้ Klopp มาคุมทีม...ต้องขอบคุณชายผู้อยู่เบื้องหลัง กับอีเมล์ที่ส่งไปถึง จอห์น เฮนรี่ กับข้อความบางส่วนที่เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เป็นลิเวอร์พูลในตอนนี้ (ที่ว่า...Please, save my club)

จากบทความที่เคยอ่านใน pantip ...

โจ จานุสซิวสกี้ บุรุษผู้ปิดทองหลังพระ

ถ้าจอห์น เฮนรี่คือ Hero ขี่ม้าขาวผู้มาช่วยชีวิตลิเวอร์พูลไว้ โจ จานุสซิวสกี้ก็เป็น Unsung Hero ที่ควรจะถูกกล่าวถึงด้วยเช่นกัน

มันเป็นวันที่ 9 สิงหาคม 2010 ที่โจตัดสินใจส่งอีเมล์ถึงจอห์น เฮนรี่ ผู้เป็นเจ้าของเฟนเวย์สปอร์ตกรุ๊ปและเป็นเจ้านายของโจ(ขณะนั้นโจดำรงตำแหน่ง Senior Vice-President at Boston Red Sox’s corporate sales) เพื่อแจ้งให้จอห์นทราบถึงวิกฤตของทีมฟุตบอลในอังกฤษที่ชื่อลิเวอร์พูล พร้อมกับขอร้องให้จอห์นช่วยเหลือทีมที่เขารักทีมนี้ด้วย

“ผมส่งจดหมายหาจอห์นและแลรี่ ลูเซียโน ซีอีโอของเร็ดซ๊อกส์ ในฐานะของแฟนหงส์แดงก็เพื่อขอให้ช่วยเหลือ แต่ในฐานะของนักธุกิจกีฬา ผมคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีสำหรับเฟนเวย์ ผมบอกจอห์นว่า ผมจัดกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว พร้อมบินไปลิเวอร์พูลได้ตลอดเวลา”

กว่าที่การเข้าเทคโอเวอร์ของ FSG จะสำเร็จ สถานการณ์ต่างๆเต็มไปด้วยความสับสน มีทั้งเรื่องของความโชคดี และเรื่องของความเสี่ยง ซึ่งโจบอกว่า “พูดตามตรงเลยนะ ผมไม่คิดว่าผมจะสามารถโน้มน้าวใครให้มาซื้อทีมลิเวอร์พูลได้หรอก มันเหมือนการวาดวิมานในอากาศดีๆนี่เอง กับการที่ผมส่งอีเมล์ไปหาจอห์น บรรยายความรู้สึกเจ็บปวดที่เห็นทีมรักกำลังเดินมาสู่จุดผกผันแบบนี้”
“ลิเวอร์พูลกำลังแย่ มีแต่ความเครียดไปทั่วสโมสร ผมเกลียดที่จะใช้คำว่า ขอความช่วยเหลือ แต่ก็นั่นแหละ เพราะมันคือเรื่องจริงที่เป็นอยู่ และถึงแม้ว่าการซื้อทีมลิเวอร์พูลจะไม่เคยอยู่ในความคิดของเฟนเวย์มาก่อนเลย แต่แล้ว เพียงแค่ 66 วันหลังจากนั้น ทุกอย่างก็เกิดขึ้นและจบลงได้ด้วยดี”
“จอห์นได้ตั้งทีมทำงานเพื่อศึกษารายละเอียดเรื่องนี้โดยเฉพาะ และด้วยการทำงานที่รวดเร็วของเรา ทำให้ดีลการซื้อขายครั้งนี้เกิดขึ้นได้ ในตอนแรกทั้งจอห์นและทอมต่างก็ไม่มีใครคิดว่าเรื่องนี้จะเป็นไปได้เลย แต่ยิ่งเวลาผ่านไป พวกเขากลับพบว่านอกจากมันจะเป็นไปได้แล้ว นียังเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมมากอีกด้วย”

อย่างที่รู้กันครับว่า ในช่วงของการซื้อขายทีม มีเหตุการณ์ผลิกผันพอสมควร เฟนเวย์ก็เกือบจะไม่ได้เป็นเจ้าของทีม เพราะจิลเลตต์และฮิคส์มีการฟ้องร้องต่อศาลในเท็กซัส แต่สุดท้ายเรื่องต่างๆก็จบลงด้วยดี

"มันเป็นสถานการณ์ที่อ่อนไหวมากเหลือเกิน เรามีทีมกฎหมายชั้นยอดจากอเมริกามาอยู่กับเรา พวกเขาบอกกับเราว่า การตัดสินของศาลอาจจะออกมาทางไหนก็ได้ทั้งนั้น"

66 วันหลังจากที่โจได้ส่งจดหมายฉบับนั้นถึงจอห์นเพื่อบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสโมสรที่เขารัก จอห์น เฮนรี่ และโจ จานุสซิวสกี้ ก็ได้มายืนอยู่ที่หน้าสนามซ้อมของหงส์แดงที่เมลวู้ด ในฐานะเจ้าของทีมคนใหม่ของลิเวอร์พูล “จอห์นกับผมแวะเข้าไปที่เมลวู้ด หลังจากที่ดีลการซื้อทีมจบลงแล้ว เราทั้งคู่ต่างมองหน้ากัน แล้วผมก็พูดขึ้นว่า มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆใช่ไหม”

"ผมตื้นเต้นและดีใจมากที่รู้ว่า ตอนนี้ลิเวอร์พูลได้อยู่ในมือของคนที่ผมให้การยอมรับ และก็ภูมิใจที่ได้มีส่วนเล็กๆในดีลสำคัญครั้งนี้
ผมเป็นแฟนหงส์แดงมาแล้วกว่า 20 ปี นี่จึงเป็นเหมือนกับความฝันที่เป็นจริง ผู้คนในเฟนเวย์ต่างก็บอกกับผมว่า มันเป็นดีลซื้อขายที่เจ๋งมากๆ ผมบอกพวกเขากลับไปว่า สำหรับผมแล้ว เบสบอลคือธุรกิจและอาชีพ แต่ลิเวอร์พูลคือชีวิตและจิตใจของผม..."


8 ปีหลังทำงานที่เฟนเวย์ ภายหลังที่ดีลซื้อขายจบลงไม่นาน โจได้ลาออกเพื่อไปรับงานใหม่ที่เท็กซัส เรนเจอร์ ทีมเบสบอลในเมเจอร์ลีก
ตำแหน่งปัจจุบันคือ Executive Vice President, Chief Revenue & Marketing Officer

แม้เรื่องจะผ่านมา 7 ปีแล้ว แต่สิ่งที่โจได้ทำ ควรได้รับการรับรู้และคำขอบคุณจากแฟนหงส์ทั่วโลกครับ

https://www.telegraph.co.uk/sport/football/teams/liverpool/8825529/Liverpool-is-a-cleaner-place-claims-Joe-Januszewski-the-man-who-persuaded-John-W-Henry-to-save-Anfield-club.html
http://www.dailymail.co.uk/sport/football/article-1321740/John-W-Henry-bought-Liverpool-suggestion-says-NESVs-Joe-Januszewski.html

.......................................

เครดิต : คุณ style council (pantip.com)
https://pantip.com/topic/37498505
25 มีนาคม เวลา 15:50 น.
[อันนี้ในมุมของ : FSG]
https://pantip.com/topic/37491835

ญาติ มันก็ถือว่า เครือ เดียวกันป่าววะ ?

ถึงฉากหน้าจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่ฉากหลัง ไม่รู็หวะ

ถ้าได้ ทั้งแมนซิ แล้วก็ หงส์ เข้ามาอยู่ในเครือญาติเดียวกัน มันใช่เหรอวะ

ฮัว กันหลังบ้านสะบายเลย

ทุกวันนี้หงส์ก็โหดมากแล้วนะนายจ๋า

ผมว่าได้ลุงจอนชาวไร่มาอะดีแล้ว เพราะแกเป็นนักลงทุนทีมกีฬาเป็นเจ้าของทีมเบสบอล

เรื่องความเข้าใจหัวอกคนทำงานและระบบการทำงานสร้างทีม มากกว่าเศรษฐีพันล้านที่เรา

ก็ม่รู้ว่าแกจะเบื่อๆทีมแล้วขายทิ้ง หรือลงมาจัดซื้อสั่งซื้อนักเตะเองอะไรเมื่อไหร่

ชีค คาเล็ด เป็นผู้ก่อตั้ง บิน ซาเหยด กรุ๊ป ในปี 1988

ถ้าขายนี่ผมเสียดายเลยครับ เจ้าของทีมที่บริหารเก่งมีขั้นมีตอนแบบนี้หายากมาก แต่ก็แอบกลัวใจเพราะนี่เป็นธุรกิจ forb ประเมินมูลค่าปัจจุบันทีมลิเวอร์พูลไว้ 2 พันล้านปอนด์ถ้าใครขอซื้อราคานี้เชื่อว่าไม่ขายแน่นอนครับ เพราะมูลค่าสโมสรโตขึ้นปีละ 10% ค่อนข้างแน่ แต่ถ้าซื้อแบบมีส่วนเกินมูลค่าสัก 30% ผมก็เชื่อว่าขายนะครับ ขายแล้วหอบเงินส่วนนึงไปลงทุนซื้อทีมใหม่ คราวนี้อาจจะไปซื้อทีมแถวลอนดอน เวสต์แฮมหรือวัตฟอร์ต? ลิเวอร์พูลช่วงเริ่มต้นซื้อนักเตะได้ด้วยอาศัยชื่อเสียงเก่าๆ แต่ถ้าเป็นเวสต์แฮมหรือวัตฟอร์ตความเป็นลอนดอนจะช่วยให้ซื้อนักเตะต่างชาติได้ง่าย การสร้างทีมขึ้นมาใหม่ก็จะไม่ยากจนเกินไป

ตอนนี้ยังไม่อยากขายอ่ะ

ไม่ค่อยเชื่อแหะ