นักบอลถ้วย ข.
Status: The Kop Till Die
: 0 ใบ
: 0 ใบ
เข้าร่วม: 28 Dec 2017
ตอบ: 2021
ที่อยู่: Going Merry
โพสเมื่อ: Fri Aug 17, 2018 17:19
UCL 2008 final : Man U vs Chelsea
เมื่อพูดถึงแชมป์ยุโรป ในปี 2008 ที่กรุงมอสโก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เอาชนะเชลซีได้สำเร็จจากการชนะลูกจุดโทษ สิ่งแรกที่ทุกคนจะคิดถึงคือ
"จอห์น เทอร์รี่ ลื่นล้ม"
และสิ่งที่พูดกันในประโยคต่อมาก็คือ แมนฯยูไนเต็ด โชคดีเหลือเกิน ที่ได้แชมป์ยุโรปในครั้งนั้น เพราะถ้าเทอร์รี่ยิงจุดโทษเข้าไปซะก็จบแล้ว
อย่างไรก็ตาม การดวลจุดโทษครั้งนั้น มันไม่ได้มีแต่เรื่องของจอห์น เทอร์รี่อย่างเดียว มันมีเรื่องราวที่น่าสนใจมากกว่านั้นอีก
การดวลจุดโทษกันทั้งหมด 14 ลูก แมนฯยูไนเต็ด 7 ลูก เชลซี 7 ลูก มันเต็มไปด้วยแท็กติก การวางแผน และการโจมตีทางจิตวิทยา
นี่ถือเป็นการต่อสู้กันด้วยกลยุทธ์ ครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์การดวลจุดโทษ
เราจะย้อนกลับไปดูอีกครั้ง ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง ที่สนามลุซนิกี้ ในคืนนั้น
---------------------------------------------
21 พฤษภาคม 2008 ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบชิงชนะเลิศ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เดินหน้าล่าแชมป์ยุโรปสมัย 3 เจอกับเชลซีที่เข้าชิงแชมเปี้ยนส์ลีก ครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร
แมนฯยูไนเต็ด พวกเขาโหยหาแชมป์อย่างมาก เพราะปีนี้คือ 50 ปีครบรอบเหตุโศกนาฏกรรมที่มิวนิค และครบ 40 ปี จากการได้แชมป์ยุโรปสมัยแรก
ในวาระพิเศษแบบนี้ คงจะดี ถ้าได้แชมป์ยุโรปมาครอบครอง
ส่วนเชลซี ก็ต้องการแชมป์ไม่แพ้กัน โรมัน อบราโมวิชเจ้าของทีมสิงห์บลูส์ ฝันอยากเห็นทีมตัวเอง ได้แชมป์ยุโรปสักครั้ง และมันคงจะเพอร์เฟ็กต์เลย ถ้าหากสามารถทำได้ในบ้านเกิด ที่รัสเซีย
ทั้งสองทีมแลกกันอย่างสนุก คริสเตียโน่ โรนัลโด้ โหม่งนำให้ปีศาจแดงก่อนในนาทีที่ 26 แต่ช่วงทดเจ็บของครึ่งแรก แฟรงค์ แลมพาร์ดมาเอาคืนได้สำเร็จ ให้สกอร์ขยับเป็น 1-1
จากนั้นทั้งคู่สู้กันอย่างเข้มข้นจนครบ 90 นาที ไม่มีใครยิงได้อีก ช่วงต่อเวลาพิเศษ อีก 30 นาที ก็ไม่มีใครยิงได้เหมือนกัน ทำให้เกมจบลงที่ 1-1 ต้องไปตัดสินที่การดวลจุดโทษ
ผลลัพธ์ทั้งหมดว่าใครจะเป็นแชมป์ จะปรากฏในไม่กี่อึดใจข้างหน้านี้
---------------------------------------------
ย้อนกลับไปในยุคนั้น ผู้คนยังเชื่อกันว่า จุดโทษ คือการเสี่ยงดวง เหมือนกับการโยนหัวก้อย ดวงดีก็ชนะ ดวงแตกก็แพ้
อย่างไรก็ตาม มีการพิสูจน์ว่า จุดโทษไม่ได้อยู่ที่ดวงทั้งหมด แต่การค้นคว้าวิจัย และศึกษาว่าอีกฝ่ายชอบยิงแบบไหน จะเพิ่มเปอร์เซ็นต์ให้คุณชนะได้อย่างมากมายเลยทีเดียว
แมนฯยูไนเต็ด มีการทำการบ้านประมาณหนึ่ง พวกเขาให้เอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ ดูแนวทางของนักเตะเชลซีแต่ละคนไว้ ว่าชอบยิงไปทางไหน อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้มีกลยุทธ์อะไรเป็นพิเศษ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จะเลือกเพียงแค่ 5 คนที่เขามั่นใจที่สุด ลงมาเพื่อยิงจุดโทษ ส่วนใครจะยิงไปมุมไหน ก็แล้วแต่ดุลยพินิจได้เลย เฟอร์กี้ ไม่ได้ก้าวก่ายตรงนี้
อย่างไรก็ตาม ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงกับเชลซี พวกเขาค้นคว้าข้อมูลอย่างจริงจัง เพื่อศึกษาให้รู้ว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะมีสไตล์การยิงจุดโทษอย่างไร พวกเขาต้องการเพิ่มโอกาสชนะแม้แค่ 1% ก็ยังดี
อิกนาซิโอ ปาลาซิออส นักวิเคราะห์ฟุตบอลชาวบาสก์ เขาเป็นคนศึกษาเรื่องจุดโทษมาตลอด 13 ปี และเก็บบันทึกสถิติการยิงจุดโทษของนักเตะในยุโรปอย่างละเอียด โดย ปาลาซิออส เป็นเพื่อนสมัยเรียน ของอัฟรัม แกรนท์ ผู้จัดการทีมเชลซี
ก่อนเกมแชมเปี้ยนส์ลีกนัดชิงชนะเริ่ม ปาลาซิออส ได้ส่งข้อมูลการยิงจุดโทษของผู้เล่นแมนฯยูไนเต็ด เพื่อให้อัฟรัม แกรนท์ และเชลซีได้เตรียมตัว
ข้อมูลของปาลาซิออส มี 2 ประเด็นใหญ่ ที่เขาเน้นย้ำว่า แมนฯยูไนเต็ดจะใช้เสมอ เวลาดวลจุดโทษกับคู่แข่ง
1) คริสเตียโน่ โรนัลโด้ จะมีสไตล์การยิงคือวิ่งเข้าไปหาบอล แล้วจะชะงัก 1 จังหวะ เพื่อรอให้นายทวารพุ่งตัว และหลังจากนั้นเขาจะยิงประตูไปทางซ้ายมือของตัวเอง สถิติเผยว่า โรนัลโด้เลือกยิงซ้ายมือ เป็น 85% ของจุดโทษทั้งหมด
และ 2) นายทวารเอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์ มีจุดอ่อนที่ตัวเองไม่รู้ตัว คือเขามักจะเลือกพุ่งย้อนทาง กับเท้าของคนยิงจุดโทษเสมอ
ตัวอย่างเช่น เจอคนยิงจุดโทษด้วยเท้าขวา ฟาน เดอ ซาร์ จะพุ่งไปที่มุมซ้ายของคนยิง
และ ถ้าเจอคนยิงจุดโทษด้วยเท้าซ้าย ฟาน เดอ ซาร์ จะพุ่งไปที่มุมขวาของคนยิง
นี่เป็นข้อมูลที่ล้ำค่าและเป็นประโยชน์มากๆกับเชลซี และ ก่อนจะถึงนัดชิง อัฟรัม แกรนท์ ได้เรียกนักเตะทุกคนมาอธิบาย
แน่นอนไม่มีใครอยากยื้อไปถึงการดวลจุดโทษ แต่ถ้าเผื่อมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างน้อยก็จะมีข้อมูลลับ ไปสู้กับทีมปีศาจแดง
---------------------------------------------
การยิงจุดโทษเริ่ม แมนฯยูไนเต็ด ชนะเสี่ยงทายเหรียญทั้ง 2 ครั้ง พวกเขาได้ยิงก่อน และได้ยิงต่อหน้าแฟนฝั่งตัวเองด้วย
คนที่ 1
คาร์ลอส เตเวซ - เข้า
มิชาเอล บัลลัค - เข้า
---------------------------------------------
คนที่ 2
ไมเคิล คาร์ริก - เข้า
ชูเลียโน่ เบลเลตติ - เข้า
---------------------------------------------
คนที่ 3 คริสเตียโน่ โรนัลโด้
สถิติของ โรนัลโด้ ฤดูกาลนี้ เขายิงจุดโทษแทบจะไม่พลาด แถมเกมนี้ เขายังเล่นด้วยความมั่นใจ ยิงได้แล้ว 1 ลูกในครึ่งแรก ดูเหลี่ยมไหน โรนัลโด้ ก็ไม่น่าจะพลาดได้เลย
เจ้าตัววิ่งมาตามสูตรที่เคยยิงทุกอย่าง วิ่งมา หยุดชะงักหนึ่งจังหวะ แล้วค่อยยิงประตู
ปีเตอร์ เช็ก เป็นโกล์ที่มีสถิติแย่มากในการเซฟจุดโทษก็จริง แต่เขามีข้อมูลลับจากปาลาซิออสอยู่แล้ว นั่นทำให้จังหวะที่โรนัลโด้ชะงัก ปีเตอร์ เช็กก็ชะงักด้วย เขายืนนิ่งไม่ไหวติง ไม่เสียหลักเทตัวไปทางไหนทั้งสิ้น มันทำให้โรนัลโด้ตกใจไปเสี้ยววินาที จากนั้นโรนัลโด้ ยิงไปทางซ้ายมือตัวเองตามสถิติที่บอกไว้
และปีเตอร์ เช็ก รู้อยู่แล้วว่า โรนัลโด้จะยิงไปทางไหน เขาปัดบอลออกไปได้ คู่มือลับของปาลาซิออส ได้ผลแบบตรงเป๊ะสุดๆจริงๆ
คนต่อมาของเชลซี คือแฟรงค์ แลมพาร์ด ยิงเข้าไป ทำให้เชลซี กลับมานำเป็น 3-2
---------------------------------------------
คนที่ 4
โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ - เข้า
แอชลีย์ โคล - เข้า
---------------------------------------------
คนที่ 5
นานี่ - เข้า
จอห์น เทอร์รี่ ในฐานะกัปตันทีม รับหน้าที่เป็นคนยิงลูกสุดท้าย แน่นอน เขาไม่ใช่คนยิงที่ดีที่สุด แต่เขาเป็นคนที่จิตใจแข็งแกร่งที่สุด เหมาะกับการรับแรงกดดันในลูกสำคัญแบบนี้
จริงๆแล้วคนที่ 5 ของเชลซี ตามหลักควรจะเป็นดิดิเยร์ ดร็อกบา แต่ดร็อกบา โดนใบแดงไล่ออก ในนาที 116 นั่นทำให้เชลซีไม่มีทางเลือก ต้องใช้เทอร์รี่เป็นคนยิง
จริงๆเทอร์รี่ ก็มีสกิลการยิงจุดโทษที่ใช้ได้ ในยูโร 2004 เขาก็ยิงจุดโทษให้ทีมชาติอังกฤษ ในเกมพบโปรตุเกสมาแล้ว และคราวนี้ ขอแค่เขายิงเข้าไปทุกอย่างจบ เชลซีได้แชมป์
ที่ผ่านมา เชลซี ทำตามคู่มือของปาลาซิออส ตรงเป๊ะทุกข้อ และมันได้ผลมาตลอด บัลลัค,เบลเลตติ และ แลมพาร์ด ที่ถนัดขวา ทุกคนยิงไปมุมขวาของตัวเองทุกลูก เพราะสถิติบอกอยู่แล้วว่าฟาน เดอ ซาร์ จะพุ่งไปทางซ้าย
และเทอร์รี่เอง ก็จะทำตามแผนเช่นกัน เขาจะยิงไปทางขวา เพราะฟาน เดอ ซาร์จะพุ่งไปทางซ้าย
เทอร์รี่ วิ่งเข้ามา เล็งมุมขวา และ .. ลื่น
ลูกบอลหลุดกรอบออกไปอย่างเหลือเชื่อ คือแค่ตรงกรอบ เกมโอเวอร์ไปแล้ว ฟาน เดอ ซาร์ก็พุ่งผิดทางไปแล้วด้วย
บางครั้ง แผนการมากมาย ทฤษฎีทั้งหมดที่คิดคำนวณไว้ กลับมาเสียท่าง่ายๆกับคำเดียวนั่นคือ "ดวง"
ไม่อยากเชื่อ แต่ต้องยอมรับว่า ชะตาฟ้าลิขิต มันเป็นแบบนั้นจริงๆ
---------------------------------------------
การพลาดของเทอร์รี่ ทำให้ทั้ง 2 ทีม เสมอกันอยู่ที่ 4-4 ต้องดวลกันต่อในซัดเด้นเดธ
คนที่ 6
อันแดร์สัน - เข้า
ซาโลมง กาลู - เข้า
---------------------------------------------
คนที่ 7
ไรอัน กิ๊กส์ - เข้า
มาจนถึง คนที่ 7 ของเชลซี เขาคือ นิโกลาส์ อเนลก้า
ทั้ง 6 ลูกของเชลซี ทุกลูกยิงไปทางขวา 100% นักเตะ 5 คน ทำตามตำราของปาลาซิออส (บัลลัค,เบลเลตติ,แลมพาร์ด,เทอร์รี่,กาลู) มีแค่คนเดียวเท่านั้นที่ไม่ทำตามตำรา นั่นคือแอชลีย์ โคล เขาถนัดซ้าย แต่แทนที่จะยิงไปทางซ้าย ดันเลือกยิงไปทางขวา ซึ่งฟาน เดอ ซาร์พุ่งถูกด้วย แต่ด้วยความแรงของลูก ทำให้บอลปลิ้นเข้าไป
ณ เวลานี้ ฟาน เดอ ซาร์ เองก็ไม่ได้โง่ เขาเกิดความสงสัยเช่นกัน ว่าทำไมถึงรับลูกยิงจุดโทษของเชลซีไม่ได้สักลูก คือที่เชลซียิงไม่เข้าเพราะเทอร์รี่พลาดเองนะ ไม่ใช่เขาเซฟได้
เขาจึงเริ่มมาสังเกต ว่าทั้ง 6 ลูก เชลซียิงไปที่มุมเดียวกันหมดเลย งั้นลูกที่ 7 เขาควรจะทำอย่างไรดี จะพุ่งไปที่มุมขวาของคนยิงดูบ้างดีไหม
เสียงนกหวีดดังขึ้น ฟาน เดอ ซาร์ เปลี่ยนท่าทางใหม่ ก่อนหน้านี้ทั้ง 6 ลูก เขาจะชูมือสองข้างขึ้นสูง แต่พอมาลูกที่ 7 เขาเอานิ้ว ชี้ไปที่มุมขวาของคนยิง เหมือนจะบอกว่า "มึงจะยิงมาทางนี้ใช่ไหม กูรู้แล้วโว้ย"
นั่นทำให้อเนลก้าลังเล ตามทฤษฎีเขาต้องยิงไปทางขวานั่นแหละ แต่เมื่อฟาน เดอ ซาร์มาชี้นิ้วแบบนี้ มันแสดงว่าเขารู้ทันแล้วหรือเปล่า เกิดความสับสนขึ้นในใจ มันทำให้อเนลก้าเปลี่ยนใจในเสี้ยววินาทีสุดท้าย
อเนลก้า ยิงไปทางซ้ายของตัวเอง ไม่ยอมทำตามทฤษฎี และฟาน เดอ ซาร์ แม้นิ้วจะชี้ไปทางขวา แต่ลำตัวพุ่งไปทางซ้าย เขาปัดบอลของอเนลก้าได้สำเร็จ
นิโกลาส์ อเนลก้า - ไม่เข้า
นี่เป็นการเซฟจุดโทษครั้งแรกของฟาน เดอ ซาร์ในเกมนี้ และมันเพียงพอ ที่จะทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นแชมป์ยุโรป
---------------------------------------------
ในจุดโทษครั้งนี้ เป็นการรวมสตอรี่ทุกอย่างเอาไว้ มันหลากหลาย และครบรสชาติ
เชลซี ทำการบ้านหนักกว่าแมนฯยูไนเต็ด พวกเขาไม่ได้พึ่งพาดวง แต่พึ่งพาสถิติ และข้อมูล จนกุมความได้เปรียบเกือบจะชนะ
แต่โชคและดวง ทำให้ปีศาจแดงคัมแบ็กกลับมาได้ ใครจะไปคิดว่าจอห์น เทอร์รี่ จะลื่นในจังหวะสำคัญแบบนี้
และ ถ้าดิดิเยร์ ดร็อกบาอยู่ในสนาม บางทีเชลซีคงปิดเกมไปแล้ว เหมือนในแชมเปี้ยนส์ลีก 2012 ที่เชลซีชนะบาเยิร์น เราก็เห็นดร็อกบา เป็นคนยิงคนที่ 5 ตามหลักมันควรจะเป็นแบบนั้น
แต่นอกจากเรื่องของดวง แมนฯยูไนเต็ด ก็สามารถพลิกกลับมาชนะได้ จากความเก๋าของเอ็ดวิน ฟาน เดอ ซาร์
เขาช่างสังเกต และเล่นงานทางจิตวิทยา ใส่นิโกลาส์ อเนลก้า ที่เรารู้กันอยู่แล้ว ว่าอเนลก้าเป็นนักเตะศิลปิน อารมณ์และจิตใจไม่มั่นคง เมื่อโดนหลอกให้ไขว้เขว ก็เปลี่ยนใจกะทันหัน ไม่ดำเนินตามแผนที่วางไว้
สุดท้ายแมนฯยูไนเต็ด จึงชนะในสงครามครั้งนี้ และได้แชมป์ยุโรปสมัยที่ 3
ขณะที่เชลซี ก็เอาความเจ็บปวดนี้เป็นแรงผลักดัน อีก 4 ปีต่อมา เมื่อได้โอกาสดวลจุดโทษกับบาเยิร์น มิวนิค คราวนี้พวกเขาไม่พลาดแล้ว เชลซีถึงขนาดไปได้แชมป์ยุโรปถึงบ้านเสือใต้เลยด้วย
---------------------------------------------
"ในรอบชิงปี 1999 ที่คัมป์นู ตอนเราเอาชนะบาเยิร์น มิวนิคได้ นั่นตรงกับวันเกิดของเซอร์แมตต์ บัสบี้ผู้ล่วงลับพอดี" เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กล่าวหลังจากแมนฯยูไนเต็ดได้แชมป์
"ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ที่เราโชคดีหลายๆครั้งในเกมยุโรป นั่นเป็นเพราะพระเจ้าอยู่ข้างเรา หรือ เพราะเซอร์แมตต์ คอยให้กำลังใจเราจากฟากฟ้าบนนั้น"
"ผมไม่เคยเชื่อเรื่องดวง แต่บางครั้ง ... มันก็มีสิ่งที่เรียกว่า โชคชะตากำหนดไว้แล้ว"
บทสรุปของค่ำคืน ที่มอสโก วันพุธที่ 21 พฤษภาคม 2008 กับความหลากหลายครบทุกรสชาติ โชคดวง สมอง แท็กติก กลยุทธ์
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1 เชลซี 1
แมนฯยูไนเต็ด ชนะจุดโทษ 6-5
ปีศาจแดง แชมป์ยุโรปสมัยที่ 3
#ManUTD #Chelsea
---------------------------------------------
Credit : เพจวิเคราะห์บอลจริงจัง
อ่านแล้วฟีลกู๊ดยังไงไม่รู้ เลยเอามาแชร์ครับ ซ้ำขออภัย
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ