[RE: Ctrl+c ล่าสุดของท่านคือ ..]
ความเป็นมาของโรคไวรัสตับอักเสบ บี
ประเทศไทยนับเป็นประเทศหนึ่งซึ่งเป็นถิ่นที่ไวรัสตับอักเสบบีระบาดมาก โรคไวรัสตับอักเสบบีจึงนับว่ามีความสำคัญมาก เนื่องจากไวรัสตับอักเสบบีทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์ตับและทำให้เซลล์ตับถูกทำลาย หากเป็นเรื้อรังจะเกิดพังผืด ตับแข็ง และมะเร็งตับได้ จากหลักฐานการศึกษาในปัจจุบันบ่งชี้ว่าการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดในการเกิดมะเร็งตับ ซึ่งเป็นโรคมะเร็งที่พบมากที่สุดในคนไทย
โรคไวรัสตับอักเสบ บี (Hepatitis B) คือโรคที่มีการติดเชื้อของตับ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี (HBV) การติดเชื้อนี้อาจนำไปสู่โรคร้ายที่เป็นอันตรายต่อตับและชีวิตได้ เช่น ตับวาย ตับแข็ง และมะเร็งตับ โดยการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางสารคัดหลั่งที่มาจากร่างกาย เช่น ติดต่อได้ทางเลือด (การรับเลือดและผลิตภัณฑ์ของเลือด) ติดต่อผ่านเข็มฉีดยา การฝังเข็ม หรืออุปกรณ์ที่มีเชื้อปนเปื้อน หรือติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์ทางสารคัดหลั่ง ในปัจจุบันพบว่ามีผู้ป่วยที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี ทั่วโลกประมาณ 350-400 ล้านคน ส่วนในประเทศไทยก็มีการแพร่ระบาดของไวรัสตับอักเสบ บี สูงประมาณร้อยละ 6-10 ของประชากรทั้งหมด คิดเป็นจำนวนประชากร 6-7 ล้านคน โดยการรับเชื้อส่วนใหญ่จะมาจากมารดาเป็นพาหะติดต่อสู่ทารกในตอนคลอด
อันตรายจากโรคไวรัสตับอักเสบ บี
ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี ในบางรายอาจพัฒนาเป็นโรคตับที่มีความรุนแรงได้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาจนเป็นระยะเรื้อรัง (Chronic) ซึ่งอาจเกิดโรคดังต่อไปนี้
โรคตับแข็ง (Cirrhosis) จะเกิดขึ้นประมาณ 1 ใน 5 ของผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง มีการอักเสบของตับจนเกิดเป็นพังผืดและดำเนินไปจนกลายเป็นตับแข็งในที่สุด ซึ่งมีผลทำให้การทำงานของตับเสื่อมสภาพลง
มะเร็งตับ ผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งอันมีสาเหตุมาจากไวรัสตับอักเสบ บี มีโอกาสพัฒนาไปจนเป็นมะเร็งตับได้ ซึ่งในทุก ๆ ปี จะมีโอกาสเกิดมะเร็งตับได้ประมาณ 1 ใน 20 โดยอาจพบว่ามีอาการได้แก่ น้ำหนักลด เบื่ออาหาร หรือตาเหลือผิวเหลือง (ดีซ่าน) เป็นต้น
ภาวะตับวายเฉียบพลัน ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบเฉียบพลัน อย่างน้อย 1 ใน 100 คน มีโอกาสที่จะดำเนินไปสู่ตับวายเฉียบพลันได้ การเกิดตับวายเฉียบพลัน เป็นภาวะของส่วนการทำงานของตับที่มีความสำคัญได้หยุดทำงานลง หากเกิดขึ้นแล้วมีความจำเป็นต้องมีการปลูกถ่ายตับเพื่อรักษาชีวิตของผู้ป่วยเอาไว้
ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ผู้ป่วยที่เป็นไวรัสตับอักเสบ บี อาจมีโรคเกี่ยวกับไต การติดเชื้อในกระแสเลือด หรือภาวะโลหิตจาง ร่วมด้วย
อาการของโรคไวรัสตับอักเสบ บี
อาการของโรคนี้ แบ่งได้เป็น 3 ลักษณะ คือ
1. มีอาการน้อย จนผู้ที่ได้รับเชื้อเข้าไปแทบจะไม่ทราบว่าตัวเองเป็นโรคนี้ ผู้ป่วยกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มาทราบทีหลัง โดยการเจาะเลือด หรือไปบริจาคโลหิตจึงทำให้ทราบว่าเป็นโรคนี้
2. มีอาการชัดเจน ได้แก่ มีไข้ต่ำ ๆ อ่อนเพลีย คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหารนำมาก่อน ต่อมามีอาการตาเหลือง ตัวเหลือง ปัสสาวะเหลืองเข้ม เมื่อมีอาการตาเหลืองตัวเหลืองเกิดขึ้นแล้ว อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหารก็มักจะดีขึ้นหรือหายไป ผู้ป่วยจะมีระยะเวลาที่ตาเหลืองตัวเหลืองไม่เท่ากัน บางคนอาจเป็นเพียงไม่กี่อาทิตย์ แต่บางคนอาจนาน 2-3 เดือน
3. ผู้ป่วยบางรายมีอาการรุนแรงมาก จนมีอาการซึม ตาเหลือง ตัวเหลือง ไม่รู้สึกตัว ตับมีขนาดเล็กลง ผู้ป่วยเหล่านี้จะมีโอกาสสูงที่จะเกิดภาวะตับวายและเสียชีวิตในที่สุด แต่โชคดีมีผู้ป่วยจำนวนน้อยมากที่จะเป็นแบบนี้ ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาใด ๆ ได้ผลดีที่สุด วิธีที่ได้ผลดีในขณะนี้ก็คือ การเปลี่ยนตับ ซึ่งก็มีปัญหาหลาย ๆ อย่างดังนี้
3.1 มีผู้บริจาคตับจำนวนน้อย ทำให้ไม่เพียงพอที่จะนำมาให้กับผู้ป่วยส่วนใหญ่ ตับที่จะนำมาให้กับผู้ป่วยโรคนี้มักจะได้มาจากผู้ป่วยที่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต แต่ตับยังดีอยู่ ซึ่งต้องได้รับอนุญาตจากญาตผู้ป่วยด้วย
3.2 เนื้อเยื่อของตับที่จะนำมาให้กับผู้ป่วยต้องเข้ากันได้กับเนื้อเยื่อของผู้ป่วยด้วย
3.3 ผู้ป่วยที่มีภาวะตับวาย มักจะมีโรคแทรกซ้อนหลายอย่าง เช่น สมองบวม, ปอดบวม, เลือดออกในระบบทางเดินอาหาร เป็นต้น ทำให้ไม่สามารถจะเปลี่ยนตับให้แก่ผู้ป่วยได้
3.4 ผู้ป่วยที่ได้รับการเปลี่ยนตับ จำเป็นต้องได้รับการรับประทานยากดภูมิต้านทาน เพื่องป้องกันไม่ให้ร่างกายนั้น มีปฏิกิริยากับตับที่นำมาเปลี่ยนให้ การได้รับยาชนิดนี้นาน ๆ ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน เช่น ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
กำลังงทำรายงาน