# มารู้จัก ซาล่าห์ มากกว่านี้กันซักนิด
จุดเริ่มต้นและจุดเปลี่ยนแรกของชีวิต
นากริก หมู่บ้านเกษตรกรรมที่อยู่ทางตอนเหนือของกรุงไคโรไปราว 100 ไมล์ คือที่ที่ ‘ราชาลูกหนัง’ ของชาวอียิปต์เกิดและเติบโตขึ้นครับ
ท่ามกลางผืนหญ้าสีเขียวที่กว้างใหญ่ ซาลาห์และเหล่าสมาชิกครอบครัวกับเพื่อนๆ ใช้เวลาในการเล่นฟุตบอลเคียงข้างกันมาโดยตลอด แม้จะเป็นการเตะฟุตบอลเล่นกันตามท้องถนนในเมืองก็ตาม
บางวันเขาก็เป็นโรนัลโด บางวันเขาก็เป็นซีเนดีน ซีดาน และในบางวันเขาก็เป็น ‘เจ้าชายหมาป่า’ ฟรานเชสโก ต็อตติ แห่งทีมโรมา คนที่ไอ้หนูโมฮัมเหม็ดในวันนั้นไม่มีวันรู้ว่าวันหนึ่งจะได้กลายมาเป็นเพื่อนร่วมทีมลงเล่นเคียงข้างกันในสนาม
พรสวรรค์ของซาลาห์เป็นที่เตะตาของใครหลายคนรวมถึงพ่อของเขา ที่เห็นจากการเตะฟุตบอลเล่นกันแถวบ้านว่าไม่มีใครที่แย่งบอลจากเท้าของเขาได้ (และเป็นปัญหาเดียวกับที่บรรดากองหลังในพรีเมียร์ลีกกำลังเผชิญในเวลานี้) จึงพยายามผลักดันเข้าทีมท้องถิ่นอย่างบาซียูน
ในเกมทดสอบฝีเท้านัดหนึ่ง แมวมองจากสโมสรเอล โมคาวลูน สโมสรที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในตักศิลาลูกหนังของอียิปต์ และปั้นซูเปอร์สตาร์มาแล้วมากมาย เดินทางมาเพื่อจับตามองดาวรุ่งคนหนึ่ง แต่คนที่สะดุดตาและสะดุดใจของเขากลับเป็นไอ้หนูเท้าซ้ายที่ไม่มีใครหยุดได้คนนั้น
และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางในเส้นทางของซาลาห์ กับการได้โอกาสศึกษาในตักศิลาลูกหนังของประเทศ
เพียงแต่การจะประสบความสำเร็จได้นั้นไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายดายครับ เพราะทุกอย่างบนโลกล้วนต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม
สิ่งที่ซาลาห์ต้องใช้แลกมาคือระยะเวลาในการเดินทางอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง กับการเดินทางจากนากริกเพื่อไปไคโรในทุกเช้าเป็นเวลา 4 ชั่วโมง และขากลับจากการฝึกซ้อมที่เหน็ดเหนื่อยอีก 4 ชั่วโมง
ซาลาห์ทำแบบนี้สัปดาห์ละ 5 วัน แม้ว่าบ่อยครั้งที่เขาต้องโดดเรียนเพื่อที่จะกระโดดขึ้นรถบัสไปซ้อมได้ทันเวลาก็ต้องยอม
“ผมพลาดการไปโรงเรียนบ่อยๆ เพราะว่ามันเป็นทางเดียวที่จะทำให้ผมไปซ้อมได้ทันเวลา บางครั้งผมไปโรงเรียนแค่ 2 ชั่วโมง ช่วง 7-9 โมงเช้า จากนั้นผมก็ต้องขึ้นรถบัสไปซ้อมเลย
“แต่เพราะการเป็นนักฟุตบอลเป็นสิ่งที่ผมใฝ่ฝัน และในวันเวลาแห่งความเยาว์วัยนั้น เราทุกคนฝันในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทั้งนั้น”
เมื่อได้เข้าในทีมเยาวชนของเอล โมคาวลูน ซาลาห์เจอปัญหาใหม่ เมื่อเขาไม่สามารถที่จะทำผลงานได้ดีนักในตำแหน่งที่เขาได้รับมอบหมายจากโค้ช
ตำแหน่งนั้นไม่ใช่กองหน้า ปีก หรือกองกลาง หากแต่เป็นตำแหน่งแบ็กซ้ายที่ซาลาห์ ถูกมอบหมายจากโค้ชซาอิ เอล-ชิชินี ให้ซาลาห์ในวัย 15 ปีขณะนั้นลงเล่นกับทีมในรายการฟุตบอลลีกระดับเยาวชนในกรุงไคโร
ในเกมหนึ่งหลังจากที่เอล โมคาวลูน แพ้คู่แข่งยับถึง 4-0 ซาลาห์นั่งร้องไห้อยู่ที่มุมหนึ่งในห้องแต่งตัว เพราะในเกมนั้นเขาในบทบาทแบ็กซ้าย ได้โอกาสหลุดเดี่ยวเข้าไปดวลกับผู้รักษาประตูฝั่งตรงข้ามมากถึง 5 ครั้ง ถ้าซาลาห์เปลี่ยนโอกาสทั้งหมดให้เป็นประตูได้ ย่อมทำให้ทีมของพวกเขาเป็นฝ่ายกำชัยชนะได้ทันที แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเขาทำไม่ได้แม้แต่ประตูเดียว
วันนั้น เอล-ชิชินี ให้เงินค่าขนมกับซาลาห์เพื่อเป็นการปลอบใจ พร้อมกับคิดหาคำตอบว่าทำอย่างไรเขาจะช่วยให้ไอ้หนูคนนี้เปล่งประกายได้มากกว่านี้
คำตอบที่พบคือ ซาลาห์ไม่ควรเล่นในตำแหน่งแบ็กซ้ายอีก เพราะกว่าที่เขาจะลุยมาถึงหน้าปากประตูได้เขาก็ไม่เหลือกำลังขาที่จะวางเท้ายิงได้อย่างแม่นยำแล้ว ดังนั้นตำแหน่งใหม่ที่ไอ้หนูคนนี้ควรได้เล่นคือ ‘ปีกขวา’
“ผมบอกกับเขาว่า ถ้าเขาเล่นตำแหน่งนี้ เขาจะเป็นดาวซัลโวได้อย่างแน่นอน” เอล-ชิชินี ยังจำเรื่องราวในวันนั้นได้ดี
จบฤดูกาลนั้น ซาลาห์ทำได้ 35 ประตู เขาเป็นดาวซัลโวของทีม และเป็นดาวเด่นที่ทุกคนจับตามอง
ศูนย์รวมดวงใจชาวไอยคุปต์
ณ เข็มนาฬิกาเดินไป ความเก่งกาจของโม ซาลาห์ เป็นที่ประจักษ์แล้วในโลกฟุตบอล
แต่เขาไม่ได้เป็นแค่สิ่งมหัศจรรย์ในสนามครับ ในทางตรงกันข้าม ซาลาห์ได้กลายเป็นนักฟุตบอลผู้เป็นเจ้าของปรากฏการณ์ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในอียิปต์
สิ่งที่เขาเป็นนั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่ ลิโอเนล เมสซี หรือ คริสเตียโน โรนัลโด เองก็ทำไม่ได้
สิ่งนั้นคือการเป็น ‘ศูนย์รวมใจ’ ของคนทั้งชาติ
ซาลาห์ไม่เพียงแต่เป็นนักฟุตบอลที่เก่งกาจ แต่เขายังเป็น ‘คนดี’ ที่พร้อมเสียสละเพื่อประเทศชาติและบ้านเกิดเสมอ
ในวันที่ซาลาห์ทำประตูให้อียิปต์คว้าตั๋วไปฟุตบอลโลก อดีตประธานาธิบดีประกาศมอบรางวัลวิลล่าสุดหรูให้เขาอยู่สบายๆ ตามประสาฮีโร่ของแผ่นดิน แต่เขากลับปฏิเสธที่จะรับรางวัลนี้เพียงคนเดียว และขอให้นำเงินไปมอบเป็นการกุศลให้กับหมู่บ้านของเขา
และตลอดมา ซาลาห์บริจาคเงินอย่างมากมายเพื่อบ้านเกิดของเขา ทั้งโรงเรียน ศูนย์กลางชุมชน ซื้อของบริจาคให้แก่ผู้คนที่ยากไร้ รวมถึงบริจาคอาหารในช่วงเดือนแห่งการถือศีลอด เด็กๆ จำนวนมากได้รับของขวัญที่เขาซื้อมาให้
เขาใช้ค่าตอบแทนจากการเล่นฟุตบอลจากสโมสรลิเวอร์พูลราวสัปดาห์ละ 90,000 ปอนด์ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ประชากรจำนวน 15,000 คนในนากริกได้รับอยู่ราวสัปดาห์ละ 125 ปอนด์ มากมายหลายร้อยหลายพันเท่า เพื่อตอบแทนแผ่นดินเกิดและคนในบ้านเกิดของเขา โดยที่สิ่งเหล่านี้เขาไม่เคยคิดประกาศให้ใครรู้มาก่อน
แม้กระทั่งงานแต่งงานของเขา เขาก็จัดงานในบ้านเกิด โดยแขกที่ได้รับเชิญก็คือคนในชุมชนที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งซาลาห์เชื่อว่านี่คือสักขีพยานแห่งความรักที่ดีที่สุดระหว่างเขาและภรรยา ไม่ใช่เหล่าเซเลบริตี้ดาราที่ไหน
สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาเป็น ‘ที่รัก’ ไม่ใช่เฉพาะที่นากริก แต่ยังรวมถึงที่ไคโรและทั่วทั้งอียิปต์
ในทุกนัดที่ลิเวอร์พูลลงแข่งขัน ชาวอียิปต์จะพร้อมใจหยุดทุกอย่างแล้วมานั่งหน้าจอช่วยกันเชียร์ซาลาห์กันทั่วประเทศ โดยไม่จำเป็นว่าพวกเขาจะชอบทีมอะไรมาก่อน
ไม่ว่าจะชอบทีมอะไร แต่ถ้าเป็นเกมที่ซาลาห์ลงสนาม วันนั้นพวกเขาคือเดอะ ค็อป (จำเป็น)
หาก ดิดิเยร์ ดร็อกบา คือคนที่สามารถหยุดสงครามกลางเมืองในไอวอรีโคสต์ได้ด้วยการเล่นฟุตบอลของเขา ซาลาห์ก็คือคนที่ทำให้ชาวอียิปต์มีความสุขในยุคสมัยของความยากลำบากหลังการปฏิวัติในประเทศ
เขาคือราชาในดวงใจที่ใครต่อใครหลงรักอย่างแท้จริง
บทความจาก :
https://thestandard.co/mohamed-salah-liverpool-egypt/
ผมคัดมาแค่บางส่วน กด link อ่านเต็มๆได้เลยนะคับ