จัณฑาลก็คือ จัณฑาล
เป็นคำพูดของนักปกครองชาวอินเดียที่พูดถึงคนที่ไม่สามารถพัฒนาไปได้มากกว่าความคิดที่เป็นจัณฑาล ความเป็นจัณฑาลไม่ถือเป็นวรรณะทางสังคมของอินเดีย แต่ถือว่าเป็นคนนอกวรรณะเลยไม่นับถือไม่ยุ่งเกี่ยวกับ เพราะจันฑาลมีความคิดที่ผิดวิปลาศ ไม่เหมาะที่จะสุงสิงด้วย
ไม่ใช่แค่เฉพาะศาสนาฮินดูในอินเดียว
อย่างในญี่ปุ่นเองก็มี "บุระกุมิน"
บุราคุมินคือคนที่ประกอบอาชีพเกี่ยวข้องกับความตายและสิ่งที่ถือกันว่าสกปรก เช่น การเชือดสัตว์ ทำศพ ฟอกหนัง หรืองานทำความสะอาดอื่นๆ อย่างพนักงานเชือดและชำแหละเนื้อที่ตลาดชิบะอุระนี้ ก็ไม่สามารถบอกคนทั่วไปอย่างเปิดเผยได้ว่าตนทำงานอะไร เพราะจะพบกับการรังเกียจเหยียดหยามที่เหมารวมไปถึงครอบครัวและลูกๆของพวกเขาด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ เพราะงานเชือดและชำแหละเนื้อเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะ ความใจเด็ดและประสบการณ์สูง แม้แต่การนำเนื้อวากิวชั้นสูงราคาแพงลิบขึ้นภัตตาคารก็ต้องอาศัยฝีมือของพวกเขา แต่กลับไม่มีใครเห็นคุณค่า
BBC THAI
และประเทศอื่นๆก็ค่อยๆเลือนหายไปตามกาลเวลา
ขอย้อนกลับไปถึงประวัติอินเดียเมื่อเกือบประมาณ 3,500 ปีที่ผ่านมา
แถบแม่น้ำสินสินธุที่ปกครองด้วยอารยะธรรมของชาว ดราวิเดี้ยน
ถูกรุกรานด้วยชาวอารยันผิวขาวที่อาศัยอยู่รอยต่อระหว่างเอเชียและยุโรปแถวเทือบเขาคอเคซัส
กลุ่มทางเอเชียกลางได้แต่งทัพอพยพลงมายังอินเดีย
ลงมาเรื่อยๆจนถึงแม่น้ำสินธุ พร้อมทำสงครามขับไล่เจ้าที่ออกไปให้สิ้น
ร่นถอยลงไปทางใต้ของอินเดีย เมื่อชาวอารยันได้รับชัยชนะเหนือเจ้า
ผู้ปกครองอินเดียวต่างๆ แต่ไม่มีความสามารถในการปกครองอินเดียวทั้งหมดได้
เพราะชมพูทวีปนั้นใหญ่โตมากเกินความคนสมัยนั้นจะดูแลได้หมด
อินเดียในสมัยนั้นไม่ได้รวมเป็นหนึ่งเช่นทุกวันนี้
มีการปกครองแบบนครรัฐที่เป็นเอกเทศของตัวเอง
เมื่อเจ้าเมืองแต่ละเมืองปกครองรัฐของตัวเอง
ขอยกตัวอย่างแผนที่ในศาสนาพุทธเข้ามาให้ดู
อินเดียนั้นมีหลายแคว้นปะปนกันไปหลายๆแคว้นในดินแดนนี้
ผู้พิชิตชาวอารยันเห็นว่าอาศัยอำนาจของเจ้าแคว้นมาช่วยปกครอง
เพื่อจัดระเบียบสังคมได้โดยเริ่มแบ่งวรรณะขึ้นมา
ตัวเองคือชนชั้นสูงผู้พิชิตเป็น
พราหมณ์
สามารถศึกษาคำภีร์พระเวทบูชาเทพเจ้าได้
เพราะมีความเชื่อว่าเทพเจ้าให้พลังความรู้และสติปัญญาในการพิชิตที่ผ่านมา
ในวรรณะนี้จะสามารถประกอบศาสนะพิธีเพื่อขอโชคลาภจากเทพเจ้าได้
ให้แต่งเครื่องแบบสีขาว
โดยจัดให้เจ้าผู้ปกครองดินแดนและแค้วนต่างๆเป็นชนชั้น
กษัตริย์
มีหน้าที่ดูแลประชากรในดินแดนของตัวเอง
รวมทั้งการปกครองประชาชนของพวกเขา
ให้แต่งเครื่องแบบ
สีแดง
วรรณะรองลงมามีอำนาจเหนือกลไกลสามารถชักจูงคนได้คือวรรณะ
แพศย์
ให้ทำการค้าขายว่าจ้าง และประกอบอาชีพเพื่อหวังผลประโยชน์ได้
ให้แต่งกาย
สีเหลือง
และชนชั้นสุดท้ายคือวรรณะ
ศูทร ให้แต่งกายสีดำหรือสีที่ไม่สดใส โดยให้ทำหน้าที่เป็นแรงงาน ทำงานหาเลี้ยงตัวเองด้วยกำลัง
สังคมพราหมณ์จะดำเนินอยู่ได้ด้วยชนนั้น แต่ก็จะมีคนที่ปีนข้ามชนชั้น
โดยอาศัยความแตกต่างระหว่างชนนั้นด้วยการแต่งงานข้ามชนชั้นเพื่อยกฐานะ
ตัวเองขึ้นมาพวกที่ไฝ่สูงคิดจะพลักดันตัวเองขึ้นไป หรือพวกที่ไม่รักดีไฝ่ต่ำ
ห้ามไปคบหา พูดคุยยุ่งเกี่ยวและให้ลูกพวกมันเป็นพวกนอกศาสนา นอกวรรณะ
ไม่มีสิทธิ์ในสังคม เพราะคนเหล่านั้นได้ระเมิดกฎเกณฑ์เรื่องวรรณะไป
ห้ามขายเสื้อผ้าให้ ห้ามให้งานทำ
ให้มันจนเสียยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตใดๆบนโลก
จนกว่าพวกมันจะตายแล้วเกิดใหม่ ให้ชาตินี้เป็นที่สำนึกบาปที่ได้เกิดมา
แม้ว่าความรักไม่จำกัดชนชั้น
แต่การกระทำนั้นถือเป็นบาปที่ต้องตกไปสู่ลูกแหละหลุดจากศาสนาไป
จริงๆมีมากกว่าจัณฑาล
Spoil
สามีวรรณะพราหมณ์ ภรรยาวรรณะกษัตริย์ จะมีลูกเป็นวรรณะมูรธาวสิกตะ
สามีวรรณะพราหมณ์ ภรรยาวรรณะแพศย์ จะมีลูกเป็นวรรณะอัมพัษฐะ
สามีวรรณะพราหมณ์ ภรรยาวรรณะศูทร จะมีลูกเป็นวรรณะนิษาทะ
สามีวรรณะกษัตริย์ ภรรยาวรรณะแพศย์หรือศูทร จะมีลูกเป็นวรรณะมาหิษยะ
สามีวรรณะแพศย์ ภรรยาวรรณะศูทร จะมีลูกเป็นวรรณะกรณะ
สามีวรรณะกษัตริย์ ภรรยาวรรณะจัณฑาล จะมีลูกเป็นวรรณะจัณฑาล
การแต่งงานที่ไม่ดี คือภรรยาอยู่ในวรรณะที่สูงกว่าสามี
ภรรยาวรรณะพราหมณ์ สามีวรรณะกษัตริย์ จะมีลูกเป็นวรรณะสูตะ
ภรรยาวรรณะพราหมณ์ สามีวรรณะแพศย์ จะมีลูกเป็นวรรณะไวเทหถะ
ภรรยาวรรณะพราหมณ์ สามีวรรณะศูทร จะมีลูกเป็นวรรณะจัณฑาล กลุ่มนี้จะถูกเหยียดหยามจากสังคม แตะต้องไม่ได้ แม้แต่เงา
ภรรยาวรรณะกษัตริย์ สามีวรรณะแพศย์ จะมีลูกเป็นวรรณะมาคระ
ภรรยาวรรณะกษัตริย์ สามีวรรณะศูทร จะมีลูกเป็นวรรณะกษัตตฤ
ภรรยาวรรณะแพศย์ สามีวรรณะศูทร จะมีลูกเป็นวรรณะยาโยควะ
จัณฑาลมีทั้งเกิดด้วยจัณฑาล และเกิดด้วยตระกูลที่สูงส่ง เราจะรู้ได้ไงว่าใครเป็นจัณฑาล
1 เสื้อผ้าที่ใส่ ไม่สามารถใส่เสื้อผ้าตามวรรณะของผู้อื่นได้ เพราะไม่มีใครขายให้
2 ที่อยู่อาศัยจัณฑาลไม่สามารอยู่ในสังคมชนชั้นไหนได้ ต้องไปกองรวมกันในที่ๆไม่ถูกสุขลักษณะ
3 จัณฑาลก็คือจัณฑาลน้อมรับบาปที่เกิดแก่ตัวเองชาตินี้ขอสำนึกบาป ขอเป็นจัณฑาลเพื่อให้ได้เข้าใกล้พระเจ้าในชาติหน้า ไม่ขอสู้ในวาสนา ไม่ขอขอความช่วยเหลือ ไม่ขอความเห็นใจ บาปของตนของชำระด้วยตน
พระพุทธเจ้ามาโปรดสิทธัตถะ โคตมะ แห่งกรุงกบิลภัสตร์ ทรงหลีกหนีจากความวุ่นวายและออกผนวชเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ได้แสดงความเห็นเรื่องการดับทุกข์ไว้สั้นๆ ว่าแก้ไขที่ตัวเองแล้วจะหายทุกข์
เราทุกข์และไปขอพรกับเทพเจ้าเรายิ่งทุกข์ เราไม่ได้บูชาเทพเจ้าเราก็ทุกข์
ทุกข์เกิดจากใจเรา ให้ดับทุกข์ที่ใจเรา ไม่ใช่การร้องขอต่อเทพเจ้าที่ไหน
แต่พระพุทธเจ้าอาจจะเปิดโอกาสให้ชนชั้นกลับมาอีกครั้งด้วยเรื่องดอกบัว 4 เหล่า
ศาสนาพุทธรุ่งเรืองไป 1700 ปีที่อินเดียโดนประมาณแล้วก็ได้หายสาปสูญไป
เพราะการรุกรานเข้ามาของชาวมุสลิม อิสลามจริงๆหรือ
ย้อนกลับไปประมาณ พศ. 13XX ราชวงศ์คุปตะได้เข้ามาฟื้นฟูศาสนาพราหมณ์ขึ้นมา
โดยมีการปรับหลักคำสอนของพุทธศาสนาเข้ามาใช้เพื่อให้ฟื้นฟูความเป็นชาตินิยมอินเดียแต่เดิม

ชาวอินเดียทั่วไปเริ่มไม่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาเพราะว่าดอกบัวนั้นมี 4 เหล่า พูดไม่ฟังก็ไม่พูดด้วย
คนไม่มีการศึกษาก็ไม่สามารถเข้าถึงศาสนาพุทธได้อีกต่อไป
พิธีกรรมทางศาสนาก็เป็นพิธีกรรมของชนชั้นสูงของสังคมที่จะเข้าไปร่วมด้วย
แล้วคนจนคนชนชั้นล่างเขาไม่มีที่พึ่งอะไรอีกต่อไป การฟื้นฟูพราหมณ์ในชื่อใหม่ว่าฮินดู
ซึ่งเป็นชื่อที่ชาวอารยันเคยเรียกไว้ ได้นำศาสนานนี้กลับเข้ามาใช้
ได้มีการจัดพิมพ์คำภีร์พระเวทเพิ่มขึ้นมา และแจกจ่ายแก่ประชาชน
วรรณกรรม รามายณะ และ มหาภารตะ
เพื่ออธิบายโครงสร้างนรกสวรรค์ความสัมพันธ์ขององค์เทพเจ้า
ทั้งหมดขึ้นมาให้ประชาชนได้เข้าใจง่ายขึ้น
พิธีกรรมล้างบาปบูชา เทพเจ้าต่างๆเพื่อให้ตัวเองได้ร่วมศาสนกิจขึ้น
พิธีกรรมต่างๆเหล่านี้ทำให้ทุกคนได้ร่วมศาสนกิจมากกว่าศาสนาพุทธที่
จนกระทั้งชาวมุสลิมเข้ามาปกครองอินเดีย และเห็นว่าพุทธควรกำจัด
แต่วรรณะควรคงอยู่เพื่อการปกครอง
ผ่านไป 800 ปีหลังการปกครองโดยมุสลิม และอังกฤษ
ฮินดูยังคงอยู่ อิสลามแยกประเทศ คริสไม่มี
และจัณฑาลยังล้นเมือง
ยุคสมัยเปลี่ยนไปอีกครั้งจัณฑาลไม่ได้รับความเสมอภาค
การต่อสู้ทางการเมืองครั้งสำคัญเกิดขึ้น
ดร.เอ็มเบดการ์ ผู้นำชาวอินเดียที่มาจากวรรณะจัณฑาลนำชาวอินเดียที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมประกาศเปลี่ยนศาสนา
นำชาวพุทธศูทรกว่า ๕ แสนคน ปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ
เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2499
คำปฏิญญา ๒๒ ข้อ ของท่านอัมเบดการ์ ดังนี้
๑. ข้าพเจ้าจะไม่บูชาพระพรหม พระศิวะ พระวิษณุต่อไป
๒. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่าพระราม พระกฤษณะ เป็นพระเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่เคารพต่อไป
๓. ข้าพเจ้าจะไม่เคารพบูชาเทวดาทั้งหลายของศาสนาฮินดูต่อไป
Spoil
๔. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อลัทธิอวตารต่อไป
๕. ข้าพเจ้าจะไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้าคืออวตารของพระวิษณุ การเชื่อเช่นนั้น คือคนบ้า
๖. ข้าพเจ้าจะไม่ทำพิธีสารท และบิณฑบาตแบบฮินดูต่อไป
๗. ข้าพเจ้าจะไม่ทำสิ่งที่ขัดต่อคำสอนของพระพุทธเจ้า
๘. ข้าพเจ้าจะไม่เชิญพราหมณ์มาทำพิธีทุกอย่างไป
๙. ข้าพเจ้าเชื่อว่าทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้มีศักดิ์ศรีและฐานะเสมอกัน
๑๐. ข้าพเจ้าจะต่อสู้เพื่อความมีสิทธิเสรีภาพเสมอกัน
๑๑. ข้าพเจ้าจะปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ โดยครบถ้วน
๑๒. ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ โดยครบถ้วน
๑๓. ข้าพเจ้าจะแผ่เมตตาแก่มนุษย์และสัตว์ทุกจำพวก
๑๔. ข้าพเจ้าจะไม่ลักขโมยคนอื่น
๑๕. ข้าพเจ้าจะไม่ประพฤติผิดในกาม
๑๖. ข้าพเจ้าจะไม่พูดปด
๑๗. ข้าพเจ้าจะไม่ดื่มสุรา
๑๘. ข้าพเจ้าจะบำเพ็ญตนในทาน ศีล ภาวนา
๑๙. ข้าพเจ้าจะเลิกนับถือศาสนาฮินดู ที่ทำให้สังคมเลวทราม แบ่งชั้นวรรณะ
๒๐. ข้าพเจ้าเชื่อว่าพุทธศาสนาเท่านั้นที่เป็นศาสนาที่แท้จริง
๒๑. ข้าพเจ้าเชื่อว่าการที่ข้าพเจ้าหันมานับถือพระพุทธศาสนานั้นเป็นการเกิดใหม่ที่แท้จริง ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตนตามคำสอนของพระพุทธศาสนาอย่างเคร่งครัด
หลังจากปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะแล้ว เขากล่าวว่า "ข้าพเจ้าเกิดมาจากตระกูลที่นับถือศาสนาฮินดู แต่ข้าพเจ้าจะขอตายในฐานะพุทธศาสนิกชน"
ตัดกลับมาที่ปัจจุบัน
ชาวอินเดียชนชั้นจัณฑาลประท้วงคำตัดสินศาลสูงสุด
แม้จะเรียกร้องความเสมอภาคให้กับตัวเอง
แต่ได้ถือโอกาสนั้นนำพุทธศาสตร์มาเป็นเบื้องหลังในการประท้วง
เรื่องราวนี้จะจบอย่างไร วรรณะหายไป หรือแค่เป็นแค่การขอเข้าร่วมสังคมของจัณฑาลและไม่มากไปกว่านั้นเช่นในอดีต.
อมล.123