พาร์ก พาร์ก นายอาจกินหมาในบ้านเกิดที่เกาหลี
แต่ก็ยังดีกว่าพวกสเกาซ์ ที่แดกหนู ในบ้านเอื้ออารี"
นี่คือ Chant หรือ เพลงเชียร์ที่แฟนแมนฯยูไนเต็ด ร้องเพื่อให้กำลังใจพาร์ก จี ซอง
ฟังเพลงนี้ก็ตลกดี นี่คนอังกฤษ เขายังคิดว่า คนเกาหลีกินหมาเป็นอาหารหลักจริงๆรึ !?
ไม่ใช่แค่เพลงนี้เท่านั้น แต่ยังมี chant อื่นๆอีกมาก
ที่แฟนผีแต่งขึ้นมาเพื่อล้อเลียนหงส์
นับๆดูเพลงที่ล้อเลียนหงส์ มีจำนวนมากกว่าที่ล้อคู่ปรับร่วมเมืองแมนฯซิตี้เสียอีก
นั่นแสดงให้เห็นว่า ความเกลียดกันของสองทีมนี้ มันไม่ธรรมดา
ตามปกติแล้ว คู่ปรับในฟุตบอลอังกฤษ ส่วนใหญ่มักจะเป็นทีมที่อยู่ในเมืองเดียวกัน
คือเป็นเรื่องศักดิ์ศรี ว่าทีมไหนคือผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองนั้น
อย่างเช่น สเปอร์ส กับอาร์เซน่อล ก็วัดกันใครคือราชาของลอนดอนเหนือ
หรืออย่างแอสตัน วิลล่ากับเบอร์มิงแฮมซิตี้ก็พิสูจน์กันว่าใครเจ๋งสุดในเมืองเบอร์มิงแฮม
แต่กับลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดสองทีมนี้เป็นกรณีพิเศษ
คือเกลียดกันข้ามเมือง ดีกรีความไม่ชอบหน้ากัน ไม่ด้อยไปกว่าดาร์บี้แมตช์เลย
คำถามคือ ทำไมสองทีมที่อยู่คนละเมือง ถึงเกลียดกันได้ขนาดนี้ ?
-----------------------------------
1) ความเจ็บใจที่ถูกขูดรีด
จุดเริ่มต้นของความเกลียดชัง ต้องย้อนไปไกลร้อยกว่าปีที่แล้ว
ในอดีตลิเวอร์พูล คือเมืองท่า อันดับ 1 ของโลก และเป็นประตูออกสู่ทวีปอเมริกาเหนือ สินค้าทุกอย่าง จะมีจุดเริ่มต้นลิเวอร์พูล แม้แต่เรือไททานิค ก็ยังลงทะเบียนที่ลิเวอร์พูล (แต่เดินทางออกจากเซาธ์แฮมป์ตัน)
ส่วนแมนเชสเตอร์ คือเมืองอุตสาหกรรมที่รุ่งเรืองมาก ในการผลิตฝ้ายดิบ
มีคำกล่าวว่า ประชากร 1 ใน 4 ของโลก ใส่เสื้อผ้าที่ผลิตจากแมนเชสเตอร์
แต่ปัญหาของแมนเชสเตอร์ก็คือ ถึงจะมีกำลังผลิตมากแค่ไหน
แต่การส่งออกไปทั่วโลก ก็จำเป็นต้องใช้เรือ และแมนเชสเตอร์ไม่ติดทะเล
ดังนั้นจึงช่วยไม่ได้ ที่ต้องขนส่งสินค้าทางบก เอาไปขึ้นเรือที่ท่าลิเวอร์พูล
ซึ่งเมืองลิเวอร์พูลก็เก็บค่าภาษีปากเรือแพงมาก
ลิเวอร์พูลไม่ต้องลงแรงผลิตอะไร เก็บเงินกินเปล่าอย่างเดียว
ไม่ว่าจะนำเข้าหรือส่งออก พวกเขาเก็บกินเรียบ
ซึ่งทางแมนเชสเตอร์ ก็คับแค้นใจมาหลายปี เพราะเหมือนถูกขูดรีด
ดังนั้น สภาเมืองจึงตัดสินใจ ว่าจากนี้ไปจะไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างอีกแล้ว
จึงได้มีมติขุดคลองแมนเชสเตอร์ ขึ้นมาทะลุจากทะเล ยาวมาถึง
ตัวเมืองแมนเชสเตอร์ โดยใช้เวลาในการขุด 7 ปี ระยะทาง 58 กิโลเมตร

เมื่อการขุดคลองเสร็จสิ้น ทำให้คราวนี้ เรือจากทั่วโลก
ไม่ต้องแวะจอดที่ลิเวอร์พูล สามารถ เอาสินค้า ขึ้นหรือลงที่ท่าแมนเชสเตอร์ได้เลย
หลังคลองสร้างเสร็จในปี 1894 อำนาจทางเศรษฐกิจของเมืองลิเวอร์พูลก็ลดถอยลงไป และกลายเป็นแมนเชสเตอร์ ที่มีความมั่งคังแทนที่
ความคับข้องใจที่ถูกขูดรีด และการเอาคืนอย่างเจ็บแสบ
เริ่มสร้างรอยบาดหมางให้กับทั้งสองเมือง
-----------------------------------
2) การเหยียดหยันกันจากทั้ง 2 ฝั่ง
ในอดีตแมนเชสเตอร์ เป็นเมืองอุตสาหกรรม คนทำงานที่โรงงานผ้าฝ้าย
ส่วนลิเวอร์พูลเป็นเมืองท่าเรือ ผู้คนแต่งตัวหรูดูดี เป็นนักบัญชี
เป็นนายหน้าของบริษัทประกันภัย ซึ่งทำงานเกี่ยวกับการขนส่งสินค้าที่ท่าเรือ
จึงมีสำนวนที่คนเมืองลิเวอร์พูลชอบพูดกันว่า "Liverpool gentlemen imported cotton, Manchester men made it in to cloth"
สุภาพบุรุษจากเมืองลิเวอร์พูล นำเข้าผ้าฝ้าย เอามาให้ผู้ชายจากเมืองแมนเชสเตอร์
เอาไปทำเสื้อผ้า
เป็นการเหยียดหยันของคนเมืองลิเวอร์พูล
ที่ชอบดูถูกคนแมนเชสเตอร์ว่าเป็นพวกใช้แรงงาน
ในเวลาต่อมา บทบาทของท่าเรือลดลงไปจากเดิม ลิเวอร์พูลเอง
ก็แปรสภาพจากเมืองท่าเรือ เป็นเมืองอุตสาหกรรมเช่นกัน
ปัญหารุนแรงเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1980 เมื่อเศรษฐกิจของอังกฤษอยู่ในภาวะฝืดเคือง ขณะที่รัฐบาลเองก็ไม่ยื่นมือมาช่วยเหลืออะไรเมืองลิเวอร์พูล
ส่งผลให้โรงงานอุตสาหกรรมต้องปิดตัวหลายแห่ง
ผู้คนพากันตกงาน อดอยากหิวโหย
ซึ่งตรงข้ามกับแมนเชสเตอร์ ที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ
จนผู้คนแมนเชสเตอร์ได้ที มีโอกาสเย้ยหยันคืน
เพลงของพาร์ก จี ซอง ที่ร้องว่า "พาร์ก พาร์ก นายอาจกินหมา
ในบ้านเกิดที่เกาหลี แต่ก็ยังดีกว่าพวกสเกาซ์ ที่แดกหนู ในบ้านเอื้ออารี"
ก็มีที่มา จากเรื่องนี้ คนแมนเชสเตอร์ เหยียดหยัน คนลิเวอร์พูลว่ายากจน ไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อข้าวกิน ต้องกินหนูสกปรกประทังชีวิต และไปใช้ชีวิตอยู่ในบ้านเอื้ออาทร (Social council) นั่นเอง
การเหยียดหยันกันของทั้งสองฝั่ง โดนผลิตซ้ำๆ จากรุ่นสู่รุ่น
เยาวชนรุ่นใหม่โตขึ้นมา ก็ซึมซับความเกลียดชังอันนี้ไปโดยปริยาย
-----------------------------------
3) เรื่องฟุตบอล
ที่กล่าวมา ทั้ง 2 ข้อด้านบน ก็เป็นปัจจัยส่งเสริมความเกลียดชัง
แต่ในที่สุดแล้ว มันคือเรื่องฟุตบอลเป็นหลัก
นี่คือการแย่งชิงความยิ่งใหญ่กันของสองทีม ที่ครองแชมป์ลีกสูงสุดมากสุดในอังกฤษ
ในอดีต ลิเวอร์พูลคือทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มีใครสู้พวกเขาได้
และได้แชมป์ลีกสูงสุดถึง 18 สมัย ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีใครไล่ทัน
แต่พอแมนฯยูไนเต็ด มีอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เข้ามาคุมทีม
พวกเขาก็พัฒนาทีมจนแข็งแกร่งมากๆ และได้แชมป์ทุกอย่างที่มีบนโลก
โดยเฉพาะลีกสูงสุด สุดท้ายก็ได้แชมป์ 20 สมัย แซงหงส์แดงจนได้

ตอนปีศาจแดงได้แชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกๆ แฟนหงส์ ทำป้ายผ้าบอกว่า
"แมนฯยูไนเต็ด พวกมึงค่อยกลับมาอีกที ตอนได้แชมป์ 18 สมัยนะ"

แล้วพอแมนฯยูไนเต็ดได้แชมป์สมัยที่ 18 และ 19 ก็ทำป้ายเอาคืน บอกว่า
"พวกกูมานี่แล้วไง"
แถมยังทำป้ายผ้าซ้ำอีกดอกด้วยว่า "ลิเวอร์พูล พวกมึงค่อยมาคุยกับกู
ตอนได้แชมป์พรีเมียร์ลีกสักสมัยแล้วกัน"
อย่างไรก็ตาม ในรายการยุโรป อย่างแชมเปี้ยนส์ลีก
หงส์แดงก็ยังชนะมากกว่าอยู่ที่จำนวน 5 ครั้ง
ส่วนปีศาจแดงทำได้แค่ 3 ก็เป็นเรื่องให้แซวปีศาจแดงได้เสมอเหมือนกัน
ท้ายที่สุด อาจมีเรื่องประวัติศาสตร์มาเกี่ยวข้องบ้าง
แต่เรื่องในสนามมันชัดเจนที่สุดอยู่แล้ว
นี่คือการสู้กันของสองทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศอังกฤษ ศักดิ์ศรีมันค้ำคออยู่
-----------------------------------
บทสรุปในความสัมพันธ์ของ ลิเวอร์พูล กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ทั้งสองทีมมีเรื่องให้บลัฟให้โจมตีกัน ไม่มีใครยอมใคร
ถ้าไม่ใช่เรื่องสุดวิสัยจริงๆ อย่างเหตุฮิลส์โบโร่
หรือเหตุไว้อาลัยโศกนาฏกรรมที่มิวนิค จะไม่มีการญาติดีกันเลย
สองทีมนี้ ไม่มีการซื้อขายนักเตะระหว่างกัน คนสุดท้าย คือฟิล คริสนัล ในปี 1964 ผ่านมาแล้ว 54 ปี ยังไม่มีใครข้ามฟากระหว่างสองทีมนี้โดยตรงอีกเลย
และนักเตะที่กล้าย้ายทีมไปเล่นอีกสโมสร (ต้องผ่านทีมอื่นมาก่อน)
ก็จะโดนแฟนทีมตัวเอง หมดรักไปโดยปริยาย
ไมเคิล โอเว่น ได้บัลลงดอร์กับลิเวอร์พูล ย้ายไปเรอัล มาดริด ไปนิวคาสเซิล
ก่อนจะมาอยู่กับแมนฯยูไนเต็ด ในช่วงท้ายอาชีพ เพื่อแชมป์พรีเมียร์ลีก
โอเค ว่าเขาอาจจะได้โทรฟี่ แต่ ความรู้สึกในใจ ของแฟนหงส์ที่มีต่อโอเว่น
ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
หรือ กาเบรียล ไฮน์เซ่ เคยออกตัวว่าสนใจอยากย้ายไปลิเวอร์พูล
จากสเตตัสฮีโร่ของปีศาจแดง เคยเป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของสโมสร
กลายเป็นคนที่แฟนผีแดง ไม่ชอบหน้าไปในพริบตา
สองทีมนี้ไม่ต้องเฟคว่ารู้สึกดีต่อกัน เกลียดก็บอกว่าเกลียด แช่งก็แช่ง
ด่าก็ด่ากันไปเลย
ลิเวอร์พูลมีเพลงด่า "Who the fuck are Man United" ที่ล้อเลียนมาจาก "Glory Glory Man United"
ส่วนแมนฯยูไนเต็ด มีเพลง "You'll never get a job"
หรือมึงจะตกงานตลอดไป ที่ล้อเลียนชาวเมืองลิเวอร์พูล
โดยใช้ทำนองของ "You'll never walk alone"
ความเกลียดชังของสองทีมนี้ถูกสร้างซ้ำไปเรื่อยๆ แล้วตอนนี้ไม่ใช่แค่ที่อังกฤษ
แต่เป็นทั้งโลก แม้แต่ที่ไทย ยังล้อยังด่ากันมันส์
และ เชื่อไหมว่า ดีกรีความเกลียดชังของสองทีมนี้ จะคงมีไปเรื่อยๆ
ตราบจนชีวิตของแฟนบอลอย่างพวกเราจะตายกันไปข้างเลยทีเดียว
Credit: วิเคราะห์บอลจริงจัง