ผู้ตั้ง
ข้อความ
เข้าร่วม: 12 Aug 2016
ตอบ: 8136
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Mar 07, 2018 10:16 pm
[Juventus 17-18] :Marathon :ชัยชนะหรือพ่ายแพ้ หรือภาพเดิมๆที่คุ้นเคยจะกลับมา
ก่อนเกม ucl นัดที่ 2 กับสเปอร์จะเกิดขึ้น
มีบางอย่างที่น่าสนใจจากการเจอกันนัดแรก ที่สามารถเชื่อมโยงได้กับนัดใหญ่ๆ ในบางนัด จากปีก่อนๆ
เช่น แพ้บาเยิร์น 2-4 (15-16) / ชนะบาร์เซโลน่า 3-0,0-0 (16-17) / แพ้มาดริด 1-4 (16-17) / แพ้บาร์เซโลน่า 0-3 (17-18) และ เสมอสเปอร์ 2-2 (17-18)

จากกระทู้ก่อนหน้า
[Juventus 17-18] : 4-3-3 น่าจะเป็นแผนหลักของปีนี้]
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1608096

ถึงแม้ในแต่ละปีจะมีการเปลี่ยนแผน แต่ก็ยังมีวิธีการเล่นบางอย่างที่ยังคล้ายๆกับ 1-2 ปีก่อน แบบอัลเลกรี้เคยใช้ นั่นคือ

การตั้งรับมักเลือกที่จะใช้แนวป้องกัน/แนวขัดขวางที่ค่อนข้างลึก
ข้อดี คือ พื้นที่อันตรายที่แนวรับ ต้องรับผิดชอบ มีน้อย และแคบ เหมือนเป็นกล่อง 1 กล่อง ที่ไม่ให้ใครเข้ามาเปิดได้ง่ายๆ



แต่ข้อเสีย ก็มีตามมา ในทางกลับกัน พื้นที่ที่คู่แข่งได้ควบคุม ก็มีเยอะขึ้นตามไปด้วย



ส่งผลให้ เวลาที่ยูเวนตุสตัดบอลได้ และพยายามจะบุก ต้องเริ่มต้นด้วยบริเวณที่ลึก สิ่งที่อัลเลกรี้ นำมาแก้ไขในเรื่องนี้ คือ บอลนักวิ่ง
runner game ลองนึกภาพ ผู้เล่นวิ่งจากจุดหนึ่ง ไปที่จุดหนึ่งด้วยความเร็วสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งมีบอลและไม่มีบอล
ถ้าเจอคู่แข่ง ก็ใช้ความสามารถเฉพาะตัวฝ่าเข้าไป อาจจะมีการชิ่งหรือประสานเพื่อนร่วมทีมซักจังหวะ แล้วหลุดไปยาวๆ



ถ้าการบุกนั้นสำเร็จจบด้วยการยิง หรือบอลตายในบริเวณใกล้ๆกับเขตโทษของคู่แข่ง หรือถึงแม้ว่า การเล่นในจังหวะนั้น บอลจะยังไม่ไปไม่ถึงกรอบเขตโทษคู่แข่ง แต่ถ้าบอลเข้าไปลึกในแดนคู่แข่งพอสมควร ไม่ว่าการบุกครั้งนั้นจะต่อบอลกันกี่ครั้ง หรือครองบอลนานแค่ไหน (ซึ่งถ้าเล่นบอลนักวิ่งเมื่อไหร่ มักจะครองบอลไม่กี่จังหวะ)สิ่งที่ตามมาคือ ยูเวนตุสมักจะเพรสซิ่งสูง ไล่บีบให้เสียบอล / บีบให้โกลล์เปิดบอลยาว แล้วรอดักเก็บ

Spoil


 



ถ้าไล่ไม่จน หรือดักเก็บบอลไม่ได้ ก็จะค่อยๆถอยลงไปตั้งรับด้านล่างตามเดิม จนกลับสู่กล่องในที่สุด

Spoil



 


ที่กล่าวมานี้ น่าจะเป็นรูปแบบการเล่นที่หลายๆคนคุ้นชิน
รูปแบบที่ว่า มักจะเห็นได้บ่อยมาก ในเกมที่เจอกับทีมใหญ่ๆ หรือบางครั้ง ในการเจอทีมระดับกลางๆค่อนบน
นี่ไม่ได้แปลว่า ยูเวสตุสเล่นแบบนี้เสมอในทุกนัด หลายครั้งคู่แข่งไม่บุกใส่ หรือพยายามบุกแต่โดนตัดบอลได้เร็ว ก็จะกลายเป็นยูเว่ที่ขึงใส่อยู่เรื่อยๆ
หรือบางครั้งยูเว่ก็ต่อบอลกันมาเรื่อยๆ คู่แข่งอาจจะพยายามเพรสใส่ แต่เอาไม่ลง ไล่ไม่จน
ในเกมลักษณะแบบนั้น ยูเวนตุส ไม่จำเป็นต้องวิ่งเยอะและวิ่งเร็วก็ได้ พวกเขาสามารถต่อบอลเรื่อยๆ เลี้ยงหลบซักหน่อย ต่อบอลอีกซักนิด ก็บุกไปอีกฝั่งได้ไม่ยาก หรือถ้าจังหวะไหนจะเลือกเล่นเร็วๆ ก็ทำได้ แล้วแต่สถานการณ์ การเล่นลักษณะนี้ มักจะเห็นได้บ่อยในการเจอกับทีมกลางๆหรือทีมเล็กๆ ที่ยูเว่มักจะได้บุกใส่อยู่เรื่อยๆ


ในเรื่องนี้ มันก็มีจุดอ่อนในตัวมันเอง ซึ่งโยงได้กับวิธีการคิดของอัลเลกรี้ เกี่ยวกับเรื่องพละกำลัง ความฟิต
โค้ชบางคน อาจจะกังวลหรือกระทั่งกลัวว่า ในช่วงท้ายเกม ทีมจะไม่มีแรงเหลือที่จะเล่นได้ในแบบที่ต้องการ เลยเลือกที่จะใช้ความพละกำลัง ความฟิต ของผู้เล่น อย่างระมัดระวัง (แต่ข้อเสีย คือ ในช่วงเวลาก่อนที่จะไปถึงช่วงท้ายเกมนั้น อาจจะมีช่วงที่ทีมเล่นได้แย่ถึงแย่มาก)

ส่วนอัลเลกรี้ ในเกมบางลักษณะ เขาจะใช้พลังงานให้เต็มที่กับรูปแบบการเล่นที่เขาออกแบบไว้ ถ้ามันได้ผล ยูเวนตุสจะขึ้นนำ จะได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ
พอมาถึงในช่วงที่แรงเริ่มหมด ก็เปลี่ยนบางคน บางตำแหน่งออก เช่น คนที่ใช้แรงไปเยอะมาก ตัวรุก/กองกลาง แล้วอาจจะเสริมแนวรับเข้าไป รูปเกมก็จะกลายเป็นว่า เกมรับยิ่งแน่นขึ้น ส่วนเกมสวนกลับก็ยังพอมีให้เห็นเรื่อยๆ

หลายครั้ง เราสามารถเห็นการเล่นลักษณะนี้ในการเจอทีมระดับเล็กๆหรือทีมระดับกลางๆ ซึ่งมันยากมาก สำหรับทีมเหล่านั้น ลองนึกภาพ ถ้าเป็นทีมเล็กๆโดนยูเว่ขึ้นนำ แล้วยูเว่ลงไปตั้งรับลึกๆ รอสวนกลับ บุกก็ไม่เข้า โดนสวนที ก็ถึงเขตโทษเกือบตลอด พอเป็นแบบนี้ ยูเว่จึงมักเก็บแต้มจากทีมเล็กๆทีมกลางๆได้เยอะ



=========================

แต่ถ้ามันไม่เป็นแบบนั้น ผลลัพธ์มันก็หนักหนาเหมือนกัน

ถ้าย้อนกลับไป ตรงคำบรรยายเกี่ยวกับวิธีการเล่น จะพบว่ามันใช้แรงเยอะมาก (รับลึก+วิ่งยาวๆ+เพรสสูง วนไปวนมา) ถ้าเป็นบางทีม การเล่นแบบนี้ให้ครบทั้ง 90 นาที มันก็พอทำได้ แต่สำหรับยูเวสตุสชุดนี้ ผู้เล่นหลายคนไม่จัดจ้านในด้านกายภาพ (ดิบาล่า ให้วิ่งอัดทุกจังหวะ ท้ายเกมจะยวบ/เบอนาสเดสชี่ ยังไม่ฟิตขนาดนั้น/ เคดิร่า เปราะ เจ็บง่าย+วิ่งทั้งเกมไม่ไหว / มาร์คิ เจ็บง่าย+ไม่ฟิต/ มานด์ โคตรฟิต แต่ก็ช้า วิ่งได้อย่างเดียว ไม่มีการหลบหลีกอะไรทั้งนั้น / มาตุยดี้ ขึ้นเลข 3 แล้ว ไม่รู้ว่ายังฟิตขนาดไหน รวมไปถึงความแข็งแกร่งของสภาพร่างกาย / ลิชสไตเนอร์ อายุเยอะ / เด ชิโญ่ ไม่ทนทาน)

แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าคู่แข่งสามารถสกัดการเล่นแบบนักวิ่งของยูเว่ได้ เช่น อาจจะแย่งจากเท้า / หรือทำฟาล์วนิดๆหน่อย แต่ไม่โดนใบเหลือง / หรือกระทั่งว่ายูเว่เล่นพลาดเอง
สิ่งที่ตามมาก็คือ ถ้าโดนตัดฟาล์ว เกมรุกจะสะดุด จากที่จะได้สวนกลับ ก็ต้องตั้งเกมบุกแบบปกติ ก็ทำอะไรได้ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน (เพราะคอมโบเกมรุก ยังไม่ลงตัว)
หรือถ้าแย่กว่านั้น ถ้าโดนแย่งบอล ยูเว่ก็จะไม่ได้บุกเลย บอลไม่ขยับไปไหน ก็ต้องมาตั้งรับต่อแล้ว

และจากเรื่องแนวป้องกันที่ลึก ถ้ามองจากแผนปัจจุบัน จะมีบริเวณหนึ่งที่คู่แข่งจะควบคุมได้ง่าย ถ้าวางตำแหน่งผู้เล่นไว้ดีๆ นั่นก็คือ



บริเวณนี้ สามารถทำให้ยูเว่ขึ้นบอลไม่ได้ ,เสียบอล หรือถ้าเป็นบอลที่กระเด้งกระดอนออกมา ก็อาจจะถูกยิงแถว 2 ได้ หรือถ้าไม่ยิงก็เก็บบอลเล่นต่อ หรือจะจ่ายแทงเข้าที่ว่าง จะกรณีไหนก็ตาม ยูเว่ก็ต้องตั้งรับต่ออย่างไม่มีทางเลือก

อย่างไรก็ตาม ถ้าสังเกตุ จะพบว่ามีกรอบ 2 สีทับกัน
ทำไมถึงมีกรอบสีเหลืองในกรอบสีแดง ?
คำอธิบายคือ กรอบสีแดงคือจุดอ่อนไหวจากแผนในปีก่อน ส่วนกรอบสีเหลืองเป็นจุดอ่อนไหวที่มากขึ้นสำหรับแผนในปีนี้ ความแตกต่างมาจากแผนที่ใช้
จากแผนเดิมอย่าง 4-2-3-1 จะมีการสลับตำแหน่งอย่างซับซ้อนในแดนกลางและหลัง (คามคำอธิบายจากกระทู้ก่อนหน้า) โดยที่บริเวณที่อยู่ในกรอบสีเหลือง มักจะมีกลางรุกคอยก่อกวนอยู่
ส่วนแผนในปีนี้ 4-3-3 ไม่มีกลางรุกที่อยู่ตรงกลาง เนื่องจากกองกลางมักต้องถอยไปยืนไลน์ประสาน 3 คน ขณะที่กองหน้าตัวเป้า หลายครั้งมักจะยืนก่อกวนที่เซนเตอร์แบ๊คมากกว่าที่จะคอยก่อกวนที่แดนกลาง นั่นทำให้พื้นที่สีเหลืองเป็นพื้นที่ที่อ่อนไหวมากขึ้นที่ยูเว่จะเสียเปรียบ อย่างไรก็ตามแผนใหม่ในปีนี้ อาจจะทำให้ผู้เล่นริมเส้น สวนกลับได้ง่ายขึ้นกว่าแผนเดิมอยู่บ้าง

Spoil
4-2-3-1


4-3-3
 


ในการเล่นเกมสวนกลับในบางจังหวะ ยูเว่อาจจะไม่โดนแย่งบอล อาจจะมีหลุดไปบ้าง ซึ่งมักจะเล่นกันไม่กี่จังหวะ ถ้าได้ยิงก็ถือว่าดี ถ้าขึ้นนำได้ก็ถือว่ายิ่งดี แล้วก็เพรสซิ่งสูงต่อ
แต่จากเรื่องการจัดการเรื่องพละกำลัง มันมีแนวโน้มสูงมากว่า จังหวะนักวิ่ง จังหวะสวนกลับ จะทำได้น้อยลง ตามสภาพความฟิตที่ลดลง แปลว่า เมื่อสวนกลับได้น้อยลง ก็บุกได้น้อยลง เช่นเดียวกับการเพรสซิ่งที่จะลดลง การแย่งบอลก็น้อยลง การที่จะได้ครองบอลก็น้อยลงไปด้วย


ตรงนี้แหละที่เป็นปัญหา นั่นก็คือ ช่วงท้ายเกม ที่หลายๆทีมมักจะเร่งเกมของตัวเองขึ้น ต้องการครองบอลมากขึ้นเพื่อทำประตู และการที่จะทำแบบนั้นได้ มันต้องการความคึกคักในการไล่แย่งบอลที่มากขึ้น
มันต้องการพลังงานที่จะสนับสนุนเกมรุกให้มากขึ้น เร็วขึ้น แรงขึ้น แต่ยูเว่บางครั้งจะทำแบบนั้นไม่ได้ ช่วงที่้จำเป็นต้องเร่ง กลับเร่งไม่ขึ้น ในบางช่วงของเกม ยูเว่ไม่ได้ต้องการรับลึก แต่เพราะแนวรุกเสียบอลไว + ขาดการสนับสนุนที่มากพอ แถมพละกำลังโดยรวมยังลดลง การที่ต้องแย่งบอลให้ได้อย่างรวดเร็วก็ลดลงตามไปด้วย

รูปเกมในสถานการณ์แบบนี้ จึงดูคล้ายกับว่า ยูเว่ก็ยังคงเน้นรับลึก เน้นสวนกลับเป็นหลัก ทั้งๆที่บางครั้งสกอร์ตามหลังมากกว่า 1 ประตู ทั้งๆที่จริงๆแล้ว ยูเว่อาจไม่ได้ต้องการแบบนั้นซะทีเดียว


=========================

แต่นั่นแหละ ไม่ใช่ทุกทีม ที่จะทำแบบนี้กับยูเว่ของอัลเลกรี้ได้ มีแค่บางทีม แค่บางนัด เท่านั้น (แต่ก็มักเป็นเกมใหญ่ๆ) สำหรับเกมใหญ่ๆที่ยกตัวอย่างมา จะลงลายละเอียดแค่บางส่วน เฉพาะในประเด็นที่เกี่ยวข้อง

- (15-16) แพ้ บาเยิร์น มิวนิค 2-4
: เกมนี้ เป็น ucl รอบ 16 ทีมนัดที่ 2 หลังจากที่นัดแรกเสมอในบ้านของยูเว่มา 2-2 เท่ากับว่ายูเว่เสียเปรียบในเรื่องของกฏประตูทีมเยือน
การคาดเดารูปเกม / แผน ในช่วงก่อนเกม ค่อนข้างจะลำบาก วันนั้นยูเว่ขาดตัวหลักหลายคน + เกมนัดแรก โดนนำไปก่อน 2-0 ในสภาพที่แย่มาก (โดยเฉพาะในครึ่งแรก)
แต่ผิดคาด นัดนี้เป็นยูเวนตุสที่มาสู้อย่างดุเดือด วิ่งฟัด วิ่งบวก เกมรับทำได้ดี เกมรุกดี เกมสวนกลับยิ่งดีมาก ไม่มีใครคาดคิดว่ายูเวนตุสจะขึ้นนำไปก่อน 2-0 ด้วยฟอร์มในช่วง 60 นาทีแรก ที่ยอดเยี่ยมที่สุด ชนิดที่พูดได้ว่าฟอร์มใน 60 นาทีแรกนั้น สามารถเจอใครก็ได้ในยุโรปในปีนั้น
แต่หลังจากช่วงเวลานั้น ความยอดเยี่ยมตรงนั้นก็ค่อยๆหายไป ทั้งในเกมรับ เกมสวนกลับที่หายไป ซึ่งเท่ากับเกมรุกที่เงียบลงไปมาก รวมไปถึงการเปลี่ยนแทคติคที่ยอดเยี่ยมของกวาดิโอล่า บาเยิร์

นกลับมาตีเสมอได้ทันก่อนหมดเวลา หลังจากนั้นช่วงต่อเวลาอีก 30 นาที ยูเว่ก็ยังไม่ดีขึ้น โดยเฉพาะประตู 3-2 ที่สามารถพูดได้ว่า ถ้าเป็นในช่วงที่ยังมีเรี่ยวแรงตามปกติ ลูกนี้จะเกิดขึ้นได้ยาก

- (16-17) ชนะ บาร์เซโลน่า 3-0,0-0
: แม้จะเป็นเกมที่ผลรวมชนะ ก็ยังอยู่ในประเด็นนี้
โดยเฉพาะในเกมนัดแรกที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผน และยังเป็นวันที่ดิบาล่าร้อนแรงแบบสุดๆ แต่หลังจากนั้นจะพบว่าในช่วงเวลาที่เหลือ การสวนกลับก็มีน้อยลง ขณะที่บาร์เซโลน่ามีจังหวะเข้าทำมากขึ้น บางจังหวะเป็นจังหวะที่ได้ลุ้นมากๆน่าเป็นประตู แต่ก็เช่นกัน วันนั้นบุฟฟอนทำได้อย่างยอดเยี่ยม สกอร์ที่ออกมา จึงค่อนข้างไม่สอดคล้องกับรูปเกมที่เกิดขึ้น
เกมที่สอง สถานการณ์โดยรวมก็ยังคล้ายๆกับเกมแรก ถึงแม้เกมรุกจะไม่จัดจ้านเท่านัดแรก แต่ด้วยสกอร์ที่ยูเว่ตุนเอาไว้เยอะ + บาร์เซโลน่ายังไม่ดีพอในจังหวะสุดท้าย ทำให้ยูเว่ผ่านเข้ารอบได้

- (16-17) แพ้รีล มาดริด 1-4
: ยูเว่ผ่านเข้าสู่นัดชิง ด้วยฟอร์มทั้งทัวร์นาเมนต์ที่ยอดเยี่ยม
ยูเวนตุสเริ่มเกมนี้ได้อย่างทรงพลัง ถึงแม้จะโดนขึ้นนำไปก่อน แต่ก็ตีเสมอกลับมาได้ไว ฟอร์มในครึ่งแรก ทำได้อย่างน่าประทับใจ
ครึ่งหลังกลับกลายเป็นคนละเรื่อง มาดริดเริ่มดันผู้เล่นในแดนกลางขึ้นมาสูงกว่าครึ่งแรก + เช่นเดียวกับแบ๊คที่ดันขึ้นมากกว่าเดิม
หลายครั้งที่ยูเว่สวนกลับแทบไม่ได้เลย โดนตัดบอลในแดนกลางเยอะ ส่วนประตูขึ้นนำ 2-1 นั้น ถ้าดูแค่จังหวะนี้ จังหวะเดียว อาจพูดได้ว่าเป็นโชคดีของมาดริด แต่ถ้าดูตั้งแต่ครึ่งแรกจนมาถึงลูก 2

-1 จะพบว่ามาดริดมีโอกาสได้ยิงแถวสอง ประมาณ 4-6 ครั้ง ถ้าโดนโจมตีแบบนี้หลายๆครั้ง แล้วซักครั้งจะกลายเป็นประตูจึงไม่ใช่เรื่้องแปลก หลังจากนั้นมาดริดได้อีก 2 ประตู
ทางฝั่งยูเว่ ถ้าดูสถิติครึ่งหลังอย่างเดียว พวกเขาไม่ได้ยิงเลย ตั้งแต่นาทีที่ 45 ไปจนถึงนาทีที่ 80 กว่าๆ

- (17-18) แพ้ บาร์เซโลน่า 0-3
: รอบแบ่งกลุ่ม
วิธีเล่นของยูเว่ยังคล้ายๆเดิมกับการเจอกันในปีก่อน แต่สิ่งที่บาร์เซโลน่าแตกต่างออกไปคือ พวกเขามีโค้ชใหม่และผู้เล่นใหม่ๆ
โดยเฉพาะแบ๊ค ฝั่งซ้ายอัลบาได้กลับมาลงสนามเป็นตัวหลักอีกครั้ง ส่วนฝั่งขวาได้เซเมโด้
จุดร่วมที่ทั้ง 2 คนมีเหมือนกันคือ ความเร็วและความคล่องที่สูง หลายครั้งที่ยูเว่พยายามสวนกลับและวิ่งยาวๆ มักจะถูกขัดขวางและรบกวนจากแบ๊คของบาร์เซโลน่า บอลนักวิ่งทำได้ยากขึ้นมาก
นี่ยังไม่รวมถึงว่า ยูเวนตุสได้เสียโบนุชชี่ไปด้วย ความสามารถในการป้องกันก็ยิ่งลดลงเข้าไปอีก

- (17-18) เสมอ สเปอร์ 2-2
: รอบ 16 ทีม นัดแรก
เป็นช่วงที่ยูเวนตุสได้แผนการเล่นใหม่ของปีนี้แล้ว ถึงแม้จะยังไม่ลงตัวนัก ขณะที่คู่แข่งคือสเปอร์ ทีมที่มีระบบป้องกัน / การเอาชนะจังหวะ 2 / การเข้าปะทะ / ความแข็งแกร่ง พวกเขามีความสามารถในเรื่องนี้สูงเป็นลำดับต้นๆของลีกอังกฤษ โดยเฉพาะแดนกลางที่ยอดเยี่ยม
ถึงแม้ยูเว่จะมีแผนใหม่ แต่ก็ยังเห็นหลายอย่างในวิธีการเล่นแบบที่ได้พูดถึงก่อนหน้า ผลลัพธ์ออกมา น่าสนใจตรงที่ว่า ความแข็งแกร่งของแดนกลางสเปอร์ นั้นทำให้ยูเว่ประสบปัญหาอย่างมาก
ในจังหวะที่ควรได้บุก ได้สวนกลับ ก็ทำได้น้อยลงมาก ขณะที่การไล่เพรสซิ่งใส่สเปอร์ พอต้องชน ต้องปะทะ ยูเว่จะช้ำและเสียเปรียบกว่าในหลายๆจังหวะ ความอันตรายที่สุดของยูเว่ในนัดนั้น เกิดขึ้นจากดักลาส คอสต้าเพียงคนเดียว


แล้วค่ำคืนนี้ จะเป็นอย่างไร ?
- (17-18) .....สเปอร์ ?-?
: ถ้าต้องเดา ก็คงเดาว่าจะเล่นแบบที่พูดถึงมานี่แหละ และน่าจะโถมพลังงานใส่อย่างมากในครึ่งแรก โดยเฉพาะถ้าดูจากคำให้สัมภาษณ์ของอัลเลกรี้
http://www.soccersuck.com/boards/topic/1614286

มาดูกันว่า คืนนี้ จะเป็นแบบที่อัลเลกรี้พูดหรือไม่ ? และถ้าเป็นแบบนั้น ยูเวนตุสจะได้ผลการแข่งขันที่ต้องการ ก่อนที่จะหมดแรงหรือเปล่า ?

หรือเกมจะออกมาเป็นแบบไหน อย่างไร ต้องรอดูกันในคืนนี้
เข้าร่วม: 25 May 2011
ตอบ: 20938
ที่อยู่: 1244/8
โพสเมื่อ: Wed Mar 07, 2018 10:32 pm
[RE: [Juventus 17-18] :Marathon :ชัยชนะหรือพ่ายแพ้ หรือภาพเดิมๆที่คุ้นเคยจะกลับมา]
คิดว่าน่าจะดีกว่าเกมแรกที่เจอกันอะ เอาปานิซไปยืนกับเคห์ดิร่าอย่างพังเพราะปานิซเล่นเกมรับไม่ได้ ได้มาตุยดี้มายืนตัดเกมให้ปานิซมายืนกลางรุก ปีกดักลาสกับ ดิบาล่า น่าจะเป็นชุดดีที่สุดแล้ว กองหน้าอิกัวอิน คิดว่าสเปอร์ได้เปรียบการเล่น แต่โอกาสเข้ารอบให้ สเปอร์ได้เปรียบ 55% ต่อ 45%
เข้าร่วม: 07 Jan 2009
ตอบ: 891
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Mar 07, 2018 11:27 pm
[RE: [Juventus 17-18] :Marathon :ชัยชนะหรือพ่ายแพ้ หรือภาพเดิมๆที่คุ้นเคยจะกลับมา]
เห็นด้วยอย่างยิ่ง

สังเกตมาตั้งนานแล้วเหมือนกันครับ

ยูเว่เป็นทีมที่ผู้เล่นอายุเยอะ .... แต่แผนการเล่นนั้นผู้เล่นต้องใช้พลังมหาศาลจริงๆ

เป็นเหตุผลว่าทำไมในบางเกมส์ที่ passion สูงๆ ช่วงท้ายเหมือนเครื่องดับไปดื้อๆ เลย

แฟนยูเว่หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าทำไมกรี้ถึงขยันส่งพวกลูกรัก ลูกเทพลงทั้งหลายลงกันจังทั้งๆ ที่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่า จะบอกว่า Fitness นี่แหละครับที่เป็นเรื่องสำคัญ อย่าง Asamoah เห็นแบบนั้น fitness สูงมากนะครับ บางทีเลยจำเป็นต้องมีเค้าวิ่งไล่ในเพื่อเบาแรงเพื่อนๆ ไม่ให้เครื่องดับก่อบเกมส์จบ

แผงหลังที่ดูเหมือนจุดแข็ง ก็ไม่ได้แข็งเหมือนเดิม เพราะขาดผู้นำในแผงหลัง

เอาจริงๆ ถ้าดูแค่ในลีก การขาดโดบนุชชี่อาจจะดูเหมือนไม่ได้ส่งผลกระทบเท่าไหร่

แต่พอเจอเกมส์ใหญ่ๆ Pressing หนักๆ ก็แย่เหมือนกัน

ส่วนโบนุชชี่ที่ไปมิลานก็เล่นได้เสมอตัว แต่ก็ไม่ได้ไปยกระดับแผงหลังมิลานให้แข็งโป๊กได้

แผงหลังที่ขึ้นชื่อของยูเว่เป็นกองหลังที่เล่นกันเป็นระบบ คนนึงหลุด คนนึงซ้อน ช่วยกันเก็บกวาดได้ ส่วนนึงเป็นเพราะมีประสบการณ์ จากการเล่นด้วยกันเยอะ และความเข้าใจใน Tactic และเข้าใจเกมส์ของนักเตะแต่ละคน การขาดโบนุชชี่เลยไม่ได้เป็นแค่การขาดกองหลังไปหนึ่งคน แต่มันคือการขาดฟันเฟืองตัวสำคัญของระบบไป