บทความนี้ถูกเผยแพร่ครั้งแรกที่ CatDumb ได้รับอนุญาตให้มาลงที่นี่เรียบร้อยครับ


กลางเดือนธันวาคม ในเมือง Manchester ที่หนาวเหน็บและฝนตกแทบจะตลอดทั้งปี มีสโมสรฟุตบอลใหญ่อยู่ 2 สโมสร…

สโมสรหนึ่งประสบความสำเร็จมากกว่า ส่วนอีกสโมสรนั้นกำลังอยู่ในช่วงวิกฤติ พวกเขามีปัญหาทางการเงิน หนำซ้ำผลงานในสนามที่ทำได้ย่ำแย่ ทำให้ตกชั้นจากลีกสูงสุดของประเทศ นั่นทำให้กองเชียร์หมดศรัทธา แทบไม่เข้ามาดูในสนาม ขายตั๋วก็ไม่ได้

พวกเขาไม่มีเงินค่าตั๋วมาจ่ายค่าแรงนักเตะ รวมถึงเจ้าหน้าที่ส่วนต่างๆ ในสโมสร… นี่ก็ใกล้จะสิ้นปีแล้ว พวกเขาจะผ่านพ้นปีนี้ไปได้อย่างไร





แล้วจู่ๆ “อัศวินขี่ม้าขาว” ก็ก้าวเข้ามา เขาไม่ได้มาพร้อมอาวุธ แต่มาพร้อมกับ “เงิน” จำนวนมหาศาล เขาตัดสินใจให้สโมสรฟุตบอลแห่งนี้กู้ยืมเงินโดยไม่คิดดอกเบี้ย

นอกจากจะจ่ายค่าแรงนักฟุตบอลได้แล้ว เงินดังกล่าวยังพอจ่ายโบนัสส่งท้ายปีให้กับพนักงานในสโมสรด้วย นั่นทำให้สโมสรพ้นวิกฤติในปีนั้นไปได้

และจนกระทั่งปัจจุบัน… เงินกู้ยืมก้อนนั้นกลายเป็นเสมือนเงินให้เปล่า สัญญาเงินกู้นั้นก็ไม่ได้รับการเรียกคืน สโมสรฟุตบอลแห่งนี้ไม่ได้จ่ายเงินคืนแต่อย่างใด


แต่ผ่านพ้นไปไม่นาน สโมสรก็พบว่าตัวเองประสบปัญหาทางการเงินอีกครั้ง และ “อัศวินขี่ม้าขาว” ก็กลับมาพร้อมกับเงินก้อนใหญ่ ที่มากกว่าเดิมเกือบ 10 เท่า

รอบนี้เขาไม่เพียงแต่จ่ายค่าแรงให้ แต่ยังเคลียร์หนี้สินทั้งหมดของสโมสรแห่งเมืองแมนเชสเตอร์นี้แทบทั้งหมด เขาเป็นคนที่รวยมาก เงินแค่นี้จึงไม่สะเทือนกับฐานะของเขาเลย เขาแค่อยากให้สโมสรแห่งนี้ลืมตาอ้าปากและยิ่งใหญ่ได้เท่านั้น

“ในเมือง Manchester แห่งนี้ มีที่พอสำหรับ 2 สโมสรฟุตบอลที่จะยิ่งใหญ่ได้” เขากล่าวเอาไว้






สโมสรพ้นจากปากเหว ตอนนี้พวกเขาไม่เสี่ยงล้มละลาย พวกเขาสามารถลดกระหน่ำราคาตั๋ว และดึงดูดคนให้เข้ามาชมเกมในสนามได้

สถานการณ์ยิ่งดีขึ้น เมื่อพวกเขาสามารถเลื่อนชั้นกลับมาสู่ลีกสูงสุดของประเทศได้สำเร็จ ส่วนด้านนอกสนาม เจ้าของคนรวยนี้ก็ซื้อที่ดินสร้างสนามซ้อมให้กับทีม แถมยังตั้ง “ทีมเยาวชน” ของสโมสรเป็นครั้งแรก เพื่อหวังจะให้มีดาวรุ่งคุณภาพสูงจากทั่วประเทศ มาป้อนเข้าสู่ทีมอย่างไม่ขาดสาย

ด้วยเส้นสายของเจ้าของคนรวยนี้ เขาสามารถสร้างสถานีรถไฟใกล้กับสนามฟุตบอล เพื่อดึงดูดแฟนๆ ให้เดินทางมาง่ายขึ้นไปอีกด้วย

หลังจากนั้นไม่นาน สนามฟุตบอลต้องการการปรับปรุงใหม่ เป็นโชคดีของทีมที่ไม่ต้องไปสร้างสนามใหม่ หรือเช่าที่อื่นไกลนัก เพราะสโมสร “เพื่อนบ้าน” อีกแห่งในแมนเชสเตอร์ ยอมให้พวกเขาใช้สนามร่วมด้วยระหว่างการก่อสร้างสนามใหม่นี้







พวกเขามีสนามซ้อมดีๆ มีทีมเยาวชน มีเงินมหาศาล และพวกเขาก็เริ่มประสบความสำเร็จอย่างสูงในเวลาต่อมา…

คุณอาจจะคิดว่านี่คือเรื่องราวของ Manchester City แต่แท้จริงแล้วนี่คือประวัติศาสตร์ของสโมสร Manchester United กับเรื่องราวของอัศวินม้าขาวที่ชื่อว่า James Gibson

เขาเป็นนักธุรกิจที่ชื่นชอบฟุตบอล และพร้อมจะอัดฉีดเงินไม่อั้นเพื่อทำให้สโมสรแห่งนี้ยิ่งใหญ่ เขาเป็นทั้งเจ้าของและผู้บริหารของ Manchester United ในช่วงปี 1931-1951

หลังจากนั้นพวกเขาก็ก้าวขึ้นมาเป็นยอดทีมของประเทศอังกฤษ และโด่งดังสุดขีดในช่วงยุค 1990-2013 ภายใต้การคุมทีมของ Sir Alex Ferguson





หลายคนกำลังพูดว่า “ฟุตบอลยุคนี้ มีแต่ทีมที่ใช้เงินซื้อความสำเร็จ” โดยลืมไปว่า....


- Arsenal ในยุค 1930 เป็นทีมที่รวยและประสบความสำเร็จ เช่นเดียวกับทีมปืนใหญ่ในยุครุ่งเรืองช่วงปี 2000-2004 พวกเขาก็ติดอันดับทีมที่จ่ายค่าเหนื่อยให้นักฟุตบอลสูงที่สุดในอังกฤษเช่นกัน


- Arsenal ชุดไร้พ่าย ติดอันดับทีมที่จ่ายค่าเหนื่อยสูงที่สุดของอังกฤษในยุคนั้น


- Manchester United ก็สร้างสถิติการซื้อตัวผู้เล่นที่สูงที่สุดในอังกฤษ ตั้งแต่ช่วงกลางยุค 1990 เรื่อยมาจนกระทั่งถึงช่วงยุค 2000


- Real Madrid ซื้อ Ronaldo ในปี 2009 เป็นสถิติโลก แต่กว่าจะคว้าแชมป์ยุโรปได้ ก็ต้องรออีกถึง 5 ปี


แท้จริงแล้ว ความสำเร็จในอดีตจนถึงปัจจุบัน ต่างก็ต้องแลกมาด้วยเงินแทบทั้งสิ้น...


ปัจจุบันนี้ ทีมอย่าง Real Madrid, Barcelona, Paris หรือ Manchester City ต่างก็ทุ่มเม็ดเงินเพื่อหวังที่จะประสบความสำเร็จ

พวกเขาไม่ได้เพิ่งทำ พวกเขาทำสิ่งที่สโมสรใหญ่อื่นๆ ทำมาเมื่อ 50-70 ปีที่แล้ว และเชื่อว่าในอนาคต ก็จะมีสโมสรอื่นๆ ที่เติบโตเพราะความร่ำรวยอย่างรวดเร็วตามมาอีกไม่น้อย…



แต่อย่าลืมว่า การประสบความสำเร็จนั้น นอกจากเงินก็ต้องอาศัยการบริการจัดการที่ดี มิฉะนั้นก็อาจจะเป็นอย่าง Monaco (ไม่กี่ปีก่อน), Everton ที่ทุ่มเงินในปีนี้ แต่ผลไม่ดีนัก

หรืออาจจะเป็นอย่างทีม Portsmouth ที่มีเจ้าของรวยเข้ามาซื้อ แต่ขาดการบริหารจัดการที่ดี จนสุดท้ายพวกเขาก็ตกชั้นลงลึกไปถึงลีกระดับ 3 ของประเทศ และยังไม่มีวี่แววจะกลับมาในลีกสูงสุดได้อีกเลย…


ที่มา: http://www.catdumb.com/rich-club-baby-248/

อ่านเพลินเลย ขอบคุณครับ

ตามนั้น

เวลาพูดคำนี้...หน้า บอบู๋ ลอยมาทุกครั้ง...(หลังๆวลีนี้จากปากแกเงียบหาย คล้ายตดที่ปล่อยทิ้ง)

เพื่อนบ้านน่ารำคาญ

ผมไม่ได้มาเชียร์ City ตอนที่ทักกี้ซื้อ หรือตอนได้แชมป์ช่วงปี 2012-2014 เพราะงั้นเลยถือว่ามาเชียร์ช้ากว่าหลายๆ คน

แต่ผมตามมาเพราะชอบบาร์ซ่า แล้วอยากดูว่า Pep จะทำได้ในอังกฤษมั้ย

พอศึกษาไปๆ มาๆ ได้มีโอกาสไปเที่ยวชมสโมสร ได้ไปดูอคาเดมี่ ได้ฟังแผนงานในอนาคต ได้ศึกษาแนวคิดของผู้บริหารกับเจ้าของทีม

ต้องบอกเลยว่าทีมนี้มันน่าตามลุ้นมากๆ ว่าจะประสบความสำเร็จแบบที่เค้าตั้งใจไว้รึเปล่า...


เขียนประวัติศาสตร์ใหม่ให้ทีมไปพร้อมๆ กันในตอนนี้ มันสนุกกว่ามานั่งอ่านประวัติศาสตร์แล้วรำลึกความหลังอีกนะ อิอิ

มีใครจะเถียงไหม

อ่าว หายไปอีกหนึ่งอย่างที่จะเอาไว้ล้อคนอื่น

บอบู๋ชอบแซวว่าแมนซิสร้างสโมสรตอนปี 2007-2008

บทความนี้ทำให้รู้ว่ายังดีที่แมนยูสร้างทีมตอน 1931 555

ขอบคุณบทความครับผม อ่านเพลินดี

ผมสงสัยเรื่องนึงครับ

คำว่า"เพื่อนบ้านน่ารำคาญ" นี่เป็นคำที่คนไทยหรือคนแมนเชสเตอร์คิดมาครับ

รบกวนผู้รู้มาตอบด้วยครับ

เซออเล็กซ์เป็นคนพูดเองเลย

อ่านเพลินดี ขอบคุณครับ

อ่านสนุกดีครับ

เพื่อนบ้านน่ารำคาญ นี่วลีของเซอร์อเล็กเลย อย่างมาแหละระดับแกนี่แชมป์ทั่วแผ่นดินพูดอะไรก็ได้ ตอนนี้กลายเป็นผีน่ารำคาญไปละ เซ็งจริงๆ

ใครๆก็ใช้เงินทั้งนั้นแหละ อยู่ที่ใช้แล้วจะประสบความสำเร็จหรือเปล่า เร็วหรือช้า

เชลซีโดนด่าอยู่หลายปีว่าใช้เงินซื้อแชมป์ แท้จริงแล้วทุกทีมมันก็ใช้เงินเพื่อพัฒนาทีมทั้งนั้นแหละ

ความคิดเห็นส่วนตัวผม คิดว่า สาเหตุของการซื้อสโมสรฟุตบอล ลงทุนหนักๆ ของคนบางกลุ่ม คือการ "ฟอกเงิน" มากกว่า "รักฟุตบอล"

อ่านตอนแรกผมนึกว่าแมนซิ อัศวินม้าขาวคือทักกี้หรือดูไบ อ่านไปอ่านมาไม่ใช่แฮะ

จะทำอะไรมันก็ต้องใช้เงินทั้งนั้น แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น รวยด้วยตัวสโมสรเองกับรวยด้วยเงินเจ้าของ มันคนละเรื่องกันเลย รวยด้วยตัวสโมสรเองมันก็น่าภูมิใจกว่าเป็นเรื่องธรรมดา สโมสรพวกนั้นเขาสะสมกันมานาน แต่พวกรวยด้วยเจ้าของไม่มีเวลาแบบนั้นให้ก็ต้องใช้เงินมาซื้อเวลาแทน

แต่แน่นอน เจ้าของรวยๆเข้ามาบริหาร เขาไม่โง่อยู่แล้ว(ถ้าโง่จะรวยได้ยังไงจริงมั้ย เป็นหมื่นเป็นแสนล้าน) เข้ามาแล้วก็ต้องบริหารจัดการดี ทำให้สโมสรที่เทคมายืนได้ด้วยตัวเอง ตอนแรกๆก็อัดเงินเข้าทางสปอนเซอแบบนอมินีไปก่อน ซึ่งเป็นช่องโหว่ง่ายๆของกฎ แต่ตอนหลังพอแบรนด์มันติดตลาดแล้ว เดี้ยวก็ยืนได้ด้วยตัวเอง

ซิตี้และปารีสก็สเตปเดียวกับเชลซี แต่ก่อนเชลซีก็เคยมีข่าวโดนจับได้เรื่องสปอนเซอแบบนิมินี หลังๆเชลซีมันติดตลาดไปแล้วก็ไม่ต้องใช้เงินจากตรงนั้น ปารีสนี่ก็แน่นอนจากกรณีเนย์มาร์ นอมินีแน่ๆ ซิตี้เองก็พึ่งจะมีข่าวที่โดนนักข่าวไปขุดมาเมื่อปีก่อนนี่เองมั้ง แต่เดี้ยวต่อไปพอติดตลาดแล้วก็ไม่ต้องใช้

มีเงินแล้วก็ต้องมีการบริหารจัดการที่ดี อันนนี้แน่นอนแหละ แต่คนเขียนบทความพยามจะเหมารวมว่าใครๆก็ใช้เงินทั้งนั้น แต่ดันไม่มองถึงว่า บางสโมสรเขาหาเงินกันมาแบบไหน เขาใช้เวลานานขนาดไหน ไปเหมารวมแบบนี้ไม่ถูก

แล้วอีกอย่าง รวยด้วยเจ้าของ มันก็เรื่องจริงไม่เห็นจะต้องอาย อย่างที่บอกอยากประสบความสำเร็จไวๆ มันก็อัดเงินเข้าไป เรื่องปกติของธุรกิจ เหมือนตอนซื้อขายตัว บางคนชอบไปล้อเรื่องผ่อน พวกนี้มันไม่เคยทำธุรกิจหรือไม่มีความเข้าใจในวงการธุรกิจกันเลยชัดๆ เขาทำแบบนี้กันหมดแหละ "มันก็แค่วิถีทางของวงการฟุตบอล"

Ferguson: Can City be top dogs? 'Not in my lifetime'

ส่วนตัวประเด็นของบทความนี้ก็คือ

การเอาเงินมา Take Over สโมสร มันไม่ใช่เรื่องใหม่ในยุคปี 2000 ยังไงครับ

Man United ก็มีคนมาลงทุนทำแบบนี้ตั้งแต่ 70 ปีที่แล้ว เพียงแต่ตอนนั้นไม่มีเน็ต ไม่มีเว็บบอร์ด ไม่มีเฟซบุ๊ก ไม่มีข่าวดังไปทั่วโลกให้คนพูดถึงกัน

ส่วน Madrid ตามประวัติศาสตร์ก็มี "ป๊ะป๋า" คนนึงคอยอุ้มชู จนเป็นทีมยักษ์ใหญ่คับสเปนอยู่ช่วงหนึ่งเลยนี่ครับ

เพราะฉะนั้นสรุปว่า City, Paris หรือกระทั่ง Chelsea ก็ไม่ใช่ทีมแรกและทีมสุดท้ายที่จะทำแบบนี้แน่ๆ

สมัยก่อนมีข่าวนะครับทางหนังสือพิมพ์ แต่คนไม่สนใจอะไรมากมาย เพราะการลงทุนสมัยก่อน กับปัจจุบันมันต่างกัน สมัยก่อนยังมีเวลาให้ทำให้ไม่ต้องรีบร้อนอะไรเท่าไหร่

ไม่ใช่ทีมแรกและทีมสุดท้ายอยู่แล้ว อย่างที่ผมบอกไว้แต่ต้น "มันก็แค่วิถีทางของวงการฟุตบอล"

ที่ผมแย้งคือควรจะเคารพจุดกำเนิดของสโมสรนั้นๆด้วยเท่านั้นเอง อย่างส่วนตัวผมชื่นชมบอร์ดบริหารของบาเยิร์น ผมมองว่าเป็นบอร์ดบริหารที่ดีที่สุด เพราะพวกเขาไม่ทุ่มเงินเยอะเท่าบาร์ซ่าหรือมาดริด แต่กลับได้ชื่อว่าเป็น บิ้กทรี ร่วมกับบาร์ซ่าและมาดริดในยุโรปได้ ทั้งยังยืนระยะได้ยาวนานประสบความสำเร็จมาตลอดหลายต่อหลายปี

แต่คุณจะไปบอกว่า เห้ยบาเยิร์นบินสูงก็เพราะใช้เงินอัดไง มันไม่เมคเซ้นส์ ใครๆก็ใช้เงิน มันเป็น fact ต้องไปดูต่อว่าหาเงินกันมายังไง บริหารยังไง มีเงินแล้วต่อยอดได้มั้ย รักษาความสำเร็จได้มั้ย นี่คือที่ผมอยากแย้ง คือต้องเคารพจุดกำเนิด และการบริหารจัดการรวมทั้งประวัติศาสตร์ของสโมสรนั้นๆด้วยเท่านั้นเอง การเหมารวมว่าใครๆก็ใช้เงิน จึงไม่ได้อะไรขึ้นมาเลย

edit1 มาคิดอีกที บทความนี้อาจจะมีประโยชน์หน่อยกับคนที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าใครๆก็ใช้เงิน(น่าจะเป็นส่วนน้อยคิดว่านะ)

ตอนนั้นเจ็บปวดมากครับ กับคำว่า "ใช้เงินซื้อความสำเร็จ" แต่ ณ ปัจจุบันผมภูมิใจที่ทีมมาถึงจุดนี้ได้ ติดท็อป10 ของโลก อู้ววววว

คิดว่าเสียหมี เข้ามาฟอกเงินไหมท่าน แต่ฟอกเงินไปมาไหงลงหลักปักฐานแฮะ

ผมว่าหลังๆนี่ดีขึ้นเยอะแล้วนะ หลายๆคนก็ยอมรับว่าใช้เงินเยอะ แต่ถ้าใช้แล้วมันประสบความสำเร็จก็ใช้ไปเถอะ

ผมว่าธุรกิจวงการฟุตบอลนี่กำไรโคตรน้อยเลยนะ ฟอกเงินไปไม่คุ้มหรอกเสียเวลา

อยากฟอกกันจริงไปลงในอหังสาริมทรัพย์ดีกว่าได้ไวกำไรดีกว่ากันเยอะ