เนื่องจากน้ำหอมมีหลากหลายมากและคนที่ชื่นชอบน้ำหอมก็มักจะสะสมทีละขวดสองขวดจนสุดท้ายมีเป็นร้อยเป็นพันขวด

ปัญหาที่ตามมาสำหรับหลายคนคือจริง ๆ แล้วเราควรมีน้ำหอมเท่าไหร่สำหรับใช้งานจริง เพราะขวด 100 ml. ขวดนึงต่อให้ใช้ทุกวันก็ไม่ต่ำกว่า 6 เดือน - 1 ปีกว่าจะหมดแล้วแต่สเปรย์ที่อัดในแต่ละครั้ง ผมจึงมีไอเดียว่าถ้าเราจำเป็นต้องเลือกน้ำหอม 1-2 กลิ่นสำหรับใช้ทุกสถานการณ์ แบบกำลังจะไปนึกอะไรไม่ออกก็ฉีดตัวนี้เลยเราจะใช้ตัวไหนกันบ้าง? สำหรับคนที่ใช้น้ำหอมอยู่ลองมาแชร์กันดูเพื่อเป็นทางเลือกให้กับหลายคนที่มองหาน้ำหอมแต่ไม่รู้จะเลือกซื้อตัวไหนดี ไม่อยากซื้อเยอะอยากใช้ขวดเดียวจบไม่ได้อยากสะสม

ของผมมี 2 ตัวนี้ครับ



Prada - Luna Rossa Carbon

เอาของเก่ามาหากินอีกรอบแต่กลิ่นนี้ผมชอบมากจริง ๆ ครับ เป็นกลิ่นสดชื่นที่ใช้ง่ายเข้าถึงง่าย มีความทนและใช้ได้แทบทุกฤดูกาลทุกสถานการณ์ โน๊ตที่ผมสัมผัสได้ชัดสำหรับตัวนี้คือลาเวนเดอร์บาง ๆ แต่ลอยเด่นตัดกับความสดชื่นและสะอาดพร้อมแซมด้วยเครื่องเทศที่ผมมาดูตอนหลังถึงรู้ว่าเป็นพริกไทย (ตอนดมดมไม่ออกครับ)

ถ้าใครเคยอ่านน้ำหอมตัวนี้คงจะมีีคนที่บอกว่ามันเหมือน Dior Sauvage มาก สำหรับผมมันเป็นความคล้ายมากกว่าและถ้านับจริง ๆ มันคือเวอร์ชั่นที่ละมุนขึ้นของ Dior Sauvage ครับ



Creed Aventus

จริง ๆ ผมชอบ Silver Mountain Water มาก ๆ แต่สำหรับผิวผมความติดทนมันสู้ตัวนี้ไม่ได้ผมจึงขอเลือกตัวนี้แทน อย่างที่กระทู้อีกท่านตั้งบอกว่ามันเป็นน้ำหอมที่ใช้งานง่ายมาก กลิ่นเข้าถึงง่ายโดยเฉพาะสำหรับผู้หญิง แต่แม้จะเป็นอย่างนี้ก็มีผู้หญิงบางคนที่ไม่ชอบ Aventus เช่นกัน เป็นเรื่องธรรมดาเหมือนที่หลายคนชอบกินไก่ทอดแต่ไม่ได้แปลว่าทุกคนต้องชอบไก่ทอดเหมือนกันหมด

เป็นกลิ่นที่ใช้ได้แทบทุกสถานการณ์และทุกฤดูกาลเช่นกัน ความติดทนบนผิวผมน้อยกว่าโคลนบางตัวแต่สิ่งหนึ่งที่คุณจะได้จากตัวนี้และไม่ได้จากโคลนคือ "โน็ตหลัก" ของมันคือสับปะรด + อะไรซักอย่างที่จะอยู่คลอไปตลอดจนติดเป็นกลิ่นติดผิว โคลนนั้นแม้จะมีส่วนที่่เหมือนแต่ก็จะไม่ได้เหมือนทั้งหมด บางตัวเหมือนตอนกลิ่นเปิด บางตัวเหมือนตอนผ่านไป 2 ชั่วโมงตอนกลางและบางตัวก็คล้ายในช่วง Dry Down แต่โคลนจะให้กลิิ่นเบสที่เด่นชัดเท่านั้นและไม่สามารถให้กลิ่นสัปปะรดได้ยาวนานแบบที่ตัวต้นแบบทำได้ครับ ซึ่งกลิ่นนี้เป็นเอกลักษณ์และจุดเด่นสุดของ Aventus ที่ทำให้เกิดโคลนจำนวนมากขึ้นมา

แล้วคุณมีตัวไหนกันบ้างครับลองมาแชร์กันเป็นข้อมูลกันครับ

Prada ประมาณเท่าไหรครับ ติดทนนาน กระจายตัวดีไหมครับ

ผมฝากเพื่อนหิ้วมาครับ ราคาตอนหิ้วคือ $69 / 100 ml. ถ้าเป็นในไทยราคาน่าจะอยู่ที่ 2-3,000 บาทครับสำหรับร้านข้างนอกไม่เกินนี้ ราคาในช็อปไทยคึือ 4,200 บาทครับ

ความติดทนผมให้ 9 / 10

การกระจายตัวผมให้ 8.5 / 10

อันนี้วัดกันที่การใช้งานกลางอากาศร้อน ๆ มีเหงื่อนะครับ ถ้าในห้องแอร์เย็นก็จะได้ดีกว่านั้นครับ

ขอบคุณสำหรับรีวิวดีๆอีกอันนะครับ

รบกวนถามเพิ่มเติมครับ Luna Rossa Carbon มันดีถึงขนาดว่าถ้ามีตัว Luna Rossa ธรรมดาอยู่แล้ว ยังต้องซื้อตัว Carbon มาใช้รึปล่าวครับ?

Giorgio Armani Attitude

Creed Aventus[/img]

คุ้มที่จะซื้อครับ แม้มันจะเป็น Flanker แต่มันแทบไม่มีอะไรที่เหมือนกับ Luna Rossa ตัวปกติเลยครับ

ตัวปกติผมก็ชอบมากนะ เคยเขียนรีวิวไว้ในนี้เมื่อนานมาแล้วแต่ในตระกูลนี้ตอนนี้ผมชอบตัว Carbon มากสุดครับ

Attitude นี่เสียดายมากเลิกผลิตแล้วและหาของแท้ได้ยากมาก ๆ แล้วครับ

ใช้ได้ครั้งเดียว พอจะซื้อดันเลิกผลิต ตามหา3-4ห้างเลยต้องเปลี่ยนใช้อย่างอื่นแทน

chanel sport homme
sean John‎ unforgivable

ฉีดละความมั่นใจมาเต็ม

Giorgio Armani Attitude มีตัวอื่นใกล้เคียงไหมครับ

ผมยังลองไม่เยอะค่อยๆซื้อเก็บไปเรื่อยๆ
มี2ตัวที่ชอบสุดตอนนี้ dior sauvage กับ unforgivable sean johnครับ

tom ford white suede ละกัน แต่ราคาแรงเกินไป

ถามหน่อยครับ attitude นี่มันเหมาะกับสภาพอากาศแบบไหนครับ พอดีผมมีขวดทดลอง ญาติซื้อมาฝาก
ไม่กล้าใช้เลยครับบ ว่าจะลองใช้ดู

ตัวนี้ก็ได้ครับ ใส่ได้ทุกโอกาส แต่มันจะคนใช้เยอะเพาระผมก็มี davidoff cool water

ช็อปไทยนี้อยู่ไหนบ้างอะครับ ผมอยู่แถวรัชดา ไปลองที่ไหนดี มันมีให้ลองใช่ปะ

ถามเรื่อง eau de toillette กับ eau de parfum หน่อยครับ ต่วที่แนะนำกันมามันเป็นตัวไหนอะครับ ผมใช้ bleu de chanel อยู่แต่เป็น toillette เห็นว่ามี parfum ด้วยเลยไม่แน่ใจว่าต่างกันเยอะมั้ย

มีใครลอง ck gold แล้วบ้าง

เอาสองตัวที่ผมใช้ประจำละกัน

Bleu de Chanel

Diesel Only the Brave

ความทน และกลิ่นต่างกันนิดหน่อยครับ

สำหรับ Bleu ผมชอบ EDT มากกว่าครับ

เคยลอง EDP แล้ว สำหรับตัวผมกลิ่นมันแน่นๆเกินไปครับ ถึงมันจะทนกว่าก็เถอะ

แต่ก็แล้วแต่คนนะ ท่านอาจจะเหมาะกับ EDP ก็ได้ครับ ต้องลอง

Creed Aventus ใช้ตอนกลางวันที่ชิวๆ วันสบายๆ กลิ่นนี้ใช้ได้แทบทุกสถานการณ์เลยสำหรับผม

อีกตัวหนึ่งกำลังหาอยู่ ยังไม่เจอตัวไหนถูกใจ
ว่าจะเอาไว้ใช้ตอนออกงานกลางคืน

ใช้เกือบทุกวันครับ ชอบมากๆ ถึงมากที่สุด
ตอนนี้ที่ใช้ประจำก็มี CK Be, CK Gold แล้วก็ CK All
CK All อันนี้ผมเฉยๆ นะ เห็นมันใหม่เลยซื้อมาลอง พอใช้ไปมันก็ไม่แย่ แต่ก็ไม่ได้หอมถูกใจแบบ Gold เลย

น้ำหอมอื่นๆ ที่ชอบใช้มาก เป็นของญี่ปุ่นชื่อ RETAW (ย้อนคำมาจาก WATER) กลิ่น Allen หอมมากๆ แต่ราคาสูงพอสมควร กับอีกกลิ่นที่ชื่อ Harajuku ที่เป็นกลิ่นเฉพาะที่ขายเฉพาะที่ร้านในโตเกียวสาขาเดียว

ถิ่นเดียวกันครับ ไปเซนทรัลพระราม 9 ก็ได้ครับ ฝั่งโรบินสันชั้นเครื่องสำอางค์ มีแผนกน้ำหอม มีหลายแบรนด์อยู่

ก็ Prada ที่ตัวแนะนำไปหนึ่งครับ อีกตัวก็



Dolce&Gabbana - Light Blue Eau Intense Pour Homme

สดชื่นแบบใส ๆ ไม่แก่แน่นอนครับ

เหมาะกับสภาพอากาศเย็นหน่อย กลางคืนครับ เป็นน้ำหอมที่เหมาะมากสำหรับแบบใส่ชุดสุภาพหน่อยไปออกงานกลางคืนที่ไม่ทางการ ไปร้านนั่งชิวหาหญิงไปต่อ เป็นน้ำหอมกาแฟที่กลิ่นนิ่มนวล สุภาพ ผู้ดีมาก มากชนิดที่บางคนบอกมันคือน้ำหอมเกย์คือเรียกเกย์ได้ดี แต่จริง ๆ มันเป็นกลิ่นที่ผู้หญิงชอบครับ

แตกต่างที่ความเข้มข้นครับ ขอยกภาพชาวบ้านมาประกอบให้เห็นง่ายขขึ้น



ไล่จากซ้ายไปขวา ไล่จากมากไปน้อยครับ EDP จะมีความเข้มข้นสูงกว่า EDT ถ้ามองกันตามนี้ความแตกต่างก็น่าจะเป็นที่ความติดทนนานอย่างเดียวแต่จริง ๆ แล้วมันมีปลีกย่อยอีกนิดครับ

น้ำหอมหลายตัวแม้จะมีทั้งแบบ EDT และ EDP แต่ก็ไม่ใช่ว่าโทนกลิ่นเหมือนกันแต่ EDP ติดทนนานกว่า หลายครั้งมันคือโทนกลิ่นที่ต่างไปเลยครับและไม่ใช่ว่า EDP ดีกว่าเสมอไป เช่น

1. Bleu de Chanel แม้ EDP จะเข้มข้นกว่าแต่หลายคนมักนิยมเวอร์ชั่น EDT มากกว่าด้วยเหตุผลว่ากลิ่นมันโปร่งสบายกว่า EDP จะมีความเข้มข้นและแน่นกว่า (แต่ส่วนตัวผมชอบแบบ EDP มากกว่าครับ)

2. Dolce&Gabbana - The One ตัวนี้กลิ่นยอดเยียมมากแต่ EDT กลับกลิ่นอ่อนมาก ติดแป๊ปเดียวหาย การกระจายตัวต่ำ จึงมีเวอร์ชั่น EDP ออกมาซึ่งดีกว่าชัดเจน

3. Jean Paul Gaultier - Le Male ตัวนี้แม้จะเป็น EDT แต่ก็มีพลังความติดทนและการกระจายที่เหลือเฟือมาก ชนิดที่ EDP หลายตัวยังยอมสยบ

นอกเหนือจากความเข้มข้นแล้วตัววัตถุดิบของน้ำหอมนั้นก็มีส่วนครับ มีวัตถุดิบบางตัวที่กลิ่นแรงมากใส่นิดเดียวก็หอมพอ เช่น วนิลา / Tonka Bean / Sandalwood เป็นต้น วัตถุดิบเหล่านี้หากมากไปจะกลายเป็นกลิ่นแย่ขึ้นมา ด้วยเหตุนี้น้ำหอมหลายตัวจึงทำเป็นแค่ EDT ด้วยเหตุผลว่ามันเหลือพอแล้ว มากไปใช่ว่าดีเสมอไปครับ

amouage reflection man ตัวเดียวพอครับ

เดี๋ยวนี้มียี่ห้อใหม่ ๆ ออกมาเรื่อย ๆ ตามไม่ทันเลย

แต่ก่อนผมสะสมซื้อเต็มตู้เสื้อผ้า ปรากฎว่า ใช้ไม่ทัน กลิ่นมันเปลื่ยน

ล่าสุดที่ซื้อคือ jo malone 4 ขวด กับ black kenneth cole กับ abercrombie fierce เมื่อ 3 ปีที่แล้ว

จนปัจจุบัน ยังไม่หมดเลย แล้วดูทีท่าคงไม่น่าจะหมดไปอีก 3 ปี

เลยไม่กล้าไปเฉียดแผนกน้ำหอมเลย กลัวอดใจไม่ไหว


ถ้าตอนนี้ให้เลือกเพียง 2 กลิ่น
กลิ่นแรกก็ต้อง lime basil & mandarin ของ jo malone

อีกตัว ขอแบบเบสิค ๆ ตัวนี้ ดีหมด เสียตรงกลิ่นมันโหล คนใช้มาก davidoff cool water ครับ