แม้ฟุตบอลจะตัดสินแพ้ชนะกันที่การทำ “ประตู” แต่ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่า “เกมรับ” ก็เป็นส่วนหนึ่งของเกมที่มีความสำคัญ และสามารถเปลี่ยนผลการแข่งขัน กับประตูที่อุตส่าห์ยิงได้ไม่ให้เป็น “ผลชนะ” ได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีเกมรับที่ไม่ลงตัว ไม่สมดุลย์ หรือมีความผิดพลาดเกิดขึ้น
สัปดาห์นี้จะขอยกตัวอย่าง 3 มุมมอง “เกมรับ” ที่น่าสนใจ ทั้งที่เกิดขึ้นแล้ว และน่าจะเป็น “เทรนด์” เกิดขึ้นในอนาคตซีซั่นนี้ 2017/18 ของพรีเมียร์ลีกมาฝากกัน…
1.ลิเวอร์พูล จะต้องเสียอีกกี่แต้ม?
จะต้องเป็น Talk of the town ไปอีกกี่หน? และไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่? เฉพาะอย่างยิ่งหลังเกมเสมอ 2-2 เซบีญ่า คารังในบอลยุโรปอันเป็นเกม UCL นัดเดียวที่ตัวแทน พรีเมียร์ลีก ไม่ได้มาตามนัด!
เยอร์เก้น คลอปป์ กล่าวว่า จะต้องไม่พลาดโอกาสทำประตูแบบนี้อีก! แต่ประเด็นที่ต้อง “ถกเถียง” คือ จะต้องไม่พลาดเสียประตูแบบนี้อีกใช่ไหม? เพราะ เดยัน ลอฟเรน “วืด” เปิดหัวเสียประตูก่อนตั้งแต่ต้นเกม และมาเสียง่าย ๆ อีกท้ายเกมทั้งที่ตามหลักฟุตบอลแล้ว การยิงได้ 2 ประตูใน 90 นาทีน่าจะเพียงพอกับชัยชนะ และ 3 แต้มสบาย ๆ
หาก “เกมรับ” ไม่เป็นแบบนี้!!!
ครับ นี่เป็นครั้งที่ 3 ในฤดูกาลนี้จากทั้งหมด 5 เกมที่ลงสนามแล้วหงส์แดงทำ “แต้มหล่น” เริ่มจากเกมกับวัตฟอร์ด, แมนฯซิตี้ และเซบีญ่า
โดยจุดที่อยาก “ชี้ชัด” จะขออนุญาตหยิบยกมาแค่ 2 ข้อ คือ 1.การประกบแบบคุมโซนตอนเสียลูกตั้งเตะที่พิสูจน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าแล้วว่า “ไม่เวิร์ก” ดังที่ อลัน แฮนเซ่น อดีตตำนานสโมสรฯเคยกล่าวว่า “คน” คือ ตัวทำประตูไม่ใช่ “พื้นที่” (Zone) ดังนั้นจะไปคุม (ประกบ) พื้นที่ทำไม?
ว่าแล้วก็เห็นภาพ สเตฟาโน่ โอกาก้า และใครต่อใครเตรียม “ลูบปาก” อีกหลายคน!
2.การรับแบบไม่เป็นทีม (ไม่ใช่ Collective Defence) เช่น เกมแพ้ 0-5 แมนฯซิตี้ ที่เสียง่ายทั้ง 5 ประตู และแม้จะเล่น 10 คนก็ไม่สมควรเกิดเหตุการณ์ อาทิ เควิน เดอ บรอยน์ มีเวลาจุดบุหรี่ก่อนแทงทะลุ หรือเลอรอย ซาเน่ มีเวลาเลือกมุมปั่นโค้งประตูสุดท้าย หรือทั้งกุน และเฆซุส หลุดเดี่ยวไปล่อเป้าพร้อมกัน 2 คน, เฆซุส ตัวน้อยลอยโหม่งเหน่ง ๆ ฯลฯ
ครับ ในเกมกับแมนฯซิตี้ จะโทษแผงหลัง 100% ไม่ได้ แต่เป็นเพราะแดนกลางไม่ได้ทำหน้าที่ และเปิดพื้นที่พร้อม ๆ กับสร้างความกดดันให้ตกกับเกมที่อ่อนอยู่แล้วเช่นกัน
หรือเพราะไม่ได้สื่อสารกันดีพอ หรือเพราไม่ได้รับจาก “แดนบน” หรือเพรสซิ่งดีพอในแดนสำคัญ
ทั้งหมดนี้ ไม่นับ ลอริส คาริอุส คือ ประเด็นที่เยอร์เก้น คลอปป์ ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วนหาไม่แล้วลิเวอร์พูลจะต้องทำ “แต้มหล่น” อีกมากมายแบบง่าย ๆ และมากกว่าฤดูกาลที่ผ่านมาแน่นอน
สมัครแพ็กเกจวันนี้ คลิก
http://bit.ly/true_id4gfununlimit รับความบันเทิง ไม่อั้นแบบ Premium HD ที่ TrueID แอพเดียวครบ สมัครวันนี้ ดูฟรีสูงสุด 1 ปี ทั้งหนังใหม่ออกโรง ชมพรีเมียร์ลีกสด ฟังเพลงฮิต รับชมต่อเนื่อง พร้อมแชท แชร์ สนุก ทุกโซเชียล
2.พิเคราะห์ระบบเซนเตอร์ฮาล์ฟ 3 คน
จะยกตัวอย่าง เชลซี ที่ค้นพบระบบนี้ในเกมกับอาร์เซนอลที่แพ้ 0-3 (ตั้งแต่ครึ่งแรก – แล้วครึ่งหลังปรับมาใช้เซนเตอร์ฯ 3 คนแล้วไม่เสียประตู) ในฤดูกาลที่ผ่านมาที่ เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม นี่แหละครับ
หากจะใช้ “สูตรสำเร็จ” จากอันโตนิโอ คอนเต้ มาเป็นบริบทอ้างอิงก็คงต้องบอกว่า “หลัง 3” จำเป็นต้องมีกองหลังที่ไปกับบอลได้ดี 1 คน (ซีซ่าร์ อัซปิลิคูเอต้า), แข็งแกร่ง ตัดบอลดี 1 คน (แกรี่ เคฮิลล์) และรวดเร็ว อ่านเกมดี เปิดบอลได้ 1 คน (ดาวิด ลุยซ์) และทั้งหมดต้อง “ไม่กลัว” เส้นกลางสนาม หรือหมายถึง ต้องพร้อมจะดันเกมรุก และดันเกมขึ้นเพรสซิ่งสูงไปในแดนคู่แข่งเพื่อสนับสนุนเกมบุกโดยไม่ทำให้เสียสมดุลย์ทีม (ช่องว่างระหว่าง 3 แดน: หน้า, กลาง และหลัง)
อาร์เซนอล (หยิบได้ทุกชื่อ) ทำไม่ได้แบบข้างต้น แถมยัง “แข็งทื่อ” แทบทุกตัวเสมือน “อนุสาวรีย์” ยืนปักหลัก 3 คน หรือทีมอื่น ๆ ก็เช่นกันอันทำให้ไม่ใช่ใครก็ได้ที่จะเล่นระบบนี้ได้ดี
จุดที่ตามมาคือ “วิงก์แบ็ค” ที่แน่นอนว่า ทำไมคอนเต้ ถึงอยากได้ อเล็กซ์ ออกเลด-แชมเบอร์เลน เพราะเค้ามองว่า มีความคล้ายกับ วิคเตอร์ โมเซส ขณะที่ฝั่งซ้าย คือ มาร์กอส อลองโซ่ ที่ก็เติมเกมรุกได้ดี
หรือก็คือ เหมือน “ปีก” มากกว่า “แบ็ค” อันนำมาซึ่งคำถามว่า วิงก์แบ็คแบบนี้จะมีสักกี่คนในพรีเมียร์ลีก หรือบนโลกใบนี้?
กองกลาง 2 คน: เอนโกโล่ กองเต้ และเนมันย่า มาติช ในปีก่อน หรือใครก็ตามในปีนี้ ก็จะต้องวิ่งคลุมพื้นที่สร้างสถิติระดับ “ท็อปไฟว์” พรีเมียร์ลีกในแง่ระยะทางการเคลื่อนที่ และเปอร์เซนต์การเปิดบอลสำเร็จ รวมถึงแย่งบอล ตัดบอล
ไม่นับกองหน้าระดับ ดิเอโก้ คอสต้า หรืออัลบาร์โร่ โมราต้า
ครับ ทีมใดก็ตาม เช่น อาร์เซนอล หรือแม้แต่ แมนฯซิตี้ (ปีก่อน – และปีนี้ตอน แวงซองต์ กอมปานี เจ็บ) ก็ไม่สามารถชนระบบนี้กับเชลซีได้แน่นอน หรืออาจทำได้บ้าง เช่น สเปอร์ส แต่การยืนระยะยังไงก็จะเป็นรอง
สมัครโปร 4G+ Fun Unlimited เริ่มต้นเพียง 499 บ. แบบรายเดือน หรือเปิดซิม Super Fun และเติมเงินสะสมครบ
พิเศษ! ย้ายค่ายวันนี้! รับส่วนลดรายเดือน 25% พร้อมเพลินกับแอพบันเทิง ไม่อั้น ฟรี 1 ปี เต็ม ดาวน์โหลดแอพ TrueID ฟรีที่
http://bit.ly/2fK6pB8
3.ความผิดพลาดส่วนบุคคล
ประเด็นนี้พูดหยาบ ๆ อาจต้องบอกว่า คือ “สันดาน” ของผู้เล่นที่ โค้ชเองก็สอนไม่ได้ เช่น ลิเวอร์พูล กับหลายเหตุการณ์ “อลหม่าน” เสียความมั่นใจ หรือเกมแพ้สเปอร์ส 0-3 ของเอฟเวอร์ตันเราจะเห็นแผงหลังทอฟฟี่ พลาดง่าย ๆ อาทิ เปิดพื้นที่ให้หัวหอกระดับ แฮร์รี เคน มีเวลาได้จับ ได้พลิกไปกับบอล
ซึ่ง ไมเคิล คีน และเพื่อน ๆ ทำแบบนั้นไม่ได้ในเกมระดับสูง!
เขียนถึงตรงนี้ ก็ต้องจับตา “ความอดทน” ของ โจเซ่ มูรินโญ่ เช่นกันหลังได้เห็นลูกทีมเสีย 2 ประตูแรกในฤดูกาลให้ เอริค มักซิม ชูโป-โมติง และสโต๊ค โดยเม็ดแรกเป็นความ “ประมาท” ของ เอริค บาญี่ ส่วนประตูที่สอง ฟิล โจนส์ ดันมาลื่นล้มในจังหวะสำคัญที่สุด
แน่นอน กุนซือ “ละเอียด” ระดับมูรินโญ่ คงไม่ปล่อยพลาด และคงแค้นกับการเสียประตูด้วย “พฤติกรรม” ดังกล่าวจนอดคิดไม่ได้เลยว่า บาญี่ และโจนส์ จะโดนอะไรบ้าง?
ในเรื่องนี้ ไม่ได้เขียนเพื่อจะบอกว่า “ผิดพลาด” ทั้งบุคคลในที่นี้ หรือพลาดง่าย ๆ จะเปิดขึ้นไม่ได้ในเกมฟุตบอล
แต่ความผิดพลาดแบบนี้ภาษาบอล คือ ผิดพลาดแบบเด็กประถม และสามารถป้องกันได้
และไม่สมควรด้วยประการทั้งปวงจะเกิดกับนักเตะอาชีพค่าตัวหลักพันล้านบาท
ทั้งหลายทั้งปวง (ในบทความนี้) ยังจะหมายความว่า เกมรับ คือ หัวใจพื้นฐาน เพราะหากไม่เสียประตู เราแค่ยิงได้ 1 เม็ดก็ชนะ หาใช่ยิง 2-3 ประตูแล้วยังไม่ชนะ หรือแพ้ครับ
สุดท้ายสมัครแพ็กเกจวันนี้ คลิก
http://bit.ly/true_id4gfununlimit และดาวน์โหลดแอพ TrueID ฟรีที่
http://bit.ly/2fK6pB8
“ไข่มุกดำ”