บทสัมภาษณ์เก่าแล้ว (น่าจะ 2 ปี) แต่คิดว่าในนี้ยังไม่เคยมีใครเอามาลงครับ
จากที่ไปย้อนอ่าน Bakuman มา เลยอิน ไปหาบทสัมภาษณ์ที่คู่แข่ง 2 คนนี้เค้าเคยคุยกันมาอ่าน กัดกันมันส์555
http://www.j-hero.com/webboard/viewtopic.php?t=4
คำถาม : อาจารย์ทั้งสองท่านพบกันครั้งแรกเมื่อไหร่ครับ?
คิชิโมโต้ : เมื่อไหร่เหรอ ... น่าจะเป็นสมัยที่พวกเราสองคนยังเป็นนักวาดการ์ตูนหน้าใหม่ในงานฉลองปีใหม่ของจัมพ์ล่ะมั้งครับ
โอดะ : จริงเหรอเนี่ย?
คิชิโมโต้ : ก็คงงั้นล่ะ (ฮา) ในตอนนั้นความรู้สึกของผมที่ได้เจอเค้าเนี่ย มันเหมือนกับการได้พบสุดยอดปรมาจารย์นักวาดการ์ตูนคนนึงเลยล่ะครับ
โอดะ : ก็ว่าไปนั่น (ยิ้ม)
คิชิโมโต้ : อ่า ... ก็คงเพราะว่าคุณโอดะมีงานเขียนออกมาก่อนหน้าผมถึง 2 ปีล่ะครับ ผมคิดว่าเค้าเป็นผู้ชายที่สุโก้ยจริงๆ ต่อมาผมก็เรียกเค้าว่า “โอดะเซ็นเซย์” แต่เค้าก็ขอร้องผมว่าอย่าเรียกเค้าแบบนั้นเลย มันดูอลังการเกินไป
โอดะ : ผมพูดไปแบบนั้นเพราะเราสองคนอายุเท่ากันครับ ผมเลยรู้สึกเขินๆ นิดหน่อยเวลาเค้าเรียกผมแบบนั้น
คิชิโมโต้ : ก็นะครับ พวกเราไม่ใช่คนที่ทำงานอยู่เบื้องหน้านี่นา ผมมองว่าใครที่เข้ามาในวงการนี้ก่อนก็สมควรจะให้ความเคารพอยู่แล้วนี่ครับ (ฮา)
โอดะ : ผมเองก็กลัวเค้าอยู่เหมือนกันนะครับ ถึงแม้ว่าคุณคิชิโมโต้จะเป็นหน้าใหม่ในตอนนั้นก็จริง แต่ผีมือของเค้าเรียกได้ว่ามีสไตล์คล้ายคลึงกับผมเลยทีเดียว
คิชิโมโต้ : สไตล์แบบไหนครับ ...
โอดะ : ก็เรื่องที่คุณวาดโดยมีตัวละครเป็นตาลุงแก่ๆ เหมือนกับผู้เฒ่าเต่าอะไรทำนองนั้นล่ะครับ (น่าจะหมายถึงรุ่นที่ 3) จริงๆ พล็อตที่ผมคิดเอาไว้ก็อยากจะทำแบบนั้นเหมือนกันนะ
คิชิโมโต้ : นี่ ... ตั้งใจไว้นานแล้วสินะครับ (ฮา)
โอดะ : ก็เพราะว่าเราทั้งสองคนอยู่ในวงการการ์ตูนด้วยล่ะครับ มันจะมีการแก่งแย่งชิงชัยกันตลอด แต่หลังจากได้พบกับเค้าแล้วเนี่ย ผมรู้สึกได้เลยว่าเค้าเป็นคนที่พิเศษมากๆ พิเศษจนผมคิดว่าไม่อาจจะเอาชนะเค้าได้เลย นั่นล่ะคือสิ่งที่ผมคิดเอาไว้ล่ะครับ
คิชิโมโต้ : ผมมองว่าเป็นเพราะเราสองคนเข้าใจถึงความยากลำบากในการสร้างผลงานมากกว่าครับ
โอดะ : ดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะครับ ตอนที่ทำงานหนักเนี่ย มันเป็นอะไรที่สำคัญมากๆ ถ้าเรารู้ว่าคนอื่นเข้าใจเรามากขนาดไหน ผมสัมผัสได้นะว่าคุณเองก็ต้องเจอกับปัญหาและอุปสรรคมามากมายเช่นเดียวกับผม พอได้เจอคนที่เข้าใจซึ่งกันและกันแล้วมันก็รู้สึกดีจริงๆ
คิชิโมโต้ : ก็ประมาณนั้นล่ะครับ (ฮา) แต่ผมเองก็อยู่ในสภาวะความกดดันที่ต่ำกว่านิดนึงนะ เพราะคุณโอดะนั้นโด่งดังแบบสุดๆ ไปเลย ความลำบากในการสร้างผลงานเนี่ยมันมากเกินกว่ามนุษย์ทั่วไปจะทนรับไว้ได้อีก ถ้าผมเป็นคุณ ผมคงเป็นความดันโลหิตสูงตายไปแล้วล่ะครับ
โอดะ : เป็นเรื่องที่น่าสนุกนะครับกับการมีนารูโตะเป็นคู่แข่ง แต่โชคยังดีที่คุณไม่ปล่อยให้ผมเอาชนะแบบเด็ดขาด ก็เพราะนารูโตะสามารถเปิดตลาดต่างประเทศได้มากกว่าวันพีซซะอีก แม้ว่าส่วนนึงในความคิดผมจะยอมรับความจริงข้อนั้นไม่ได้ แต่ผมก็ประทับใจงานชิ้นนี้ที่เรียกว่าเป็นงานชิ้นพิเศษของโลกเลยทีเดียว
คิชิโมโต้ : เช่นเดียวกันกับผมล่ะครับ ผมเองก็มองว่าวันพีซเป็นเป้าหมายที่ผมจะต้องก้าวข้ามไปให้ได้ ผมคิดแบบนั้นมาตลอดจริงๆ
คำถาม : มีผลงานมังงะเรื่องไหนที่มีอิทธิพลต่อผลงานของพวกคุณทั้งสองบ้างครับ?
คิชิโมโต้ : ก็ต้องบอกว่าเป็นงานของ อ.โทริยามะล่ะครับ (ผู้วาดดราก้อนบอล) ผมประทับใจใน ดร.สลัมป์แบบสุดๆ อีกชิ้นนึงก็คือ “อากิระ” ของ อ.คัทสึฮิโระ โอโตโมะครับผม
โอดะ : ตอนแรกผมเห็นงานของคุณ ผมนึกว่าถอดแบบมาจาก อ.โอโตโมะเลยนะนั่น
คิชิโมโต้ : จริงดิ? (ฮา)
โอดะ : ในฐานะของนักวาดการ์ตูนแล้วเนี่ย คุณสามารถแบ่งประเภทของนักวาดได้ตามการดำเนินเรื่องของพวกเค้าครับ
คิชิโมโต้ : อย่างกรณีของผมเนี่ย ผมมีดราก้อนบอลเป็นต้นแบบในการสร้างโรงเรื่อง ยกตัวอย่างเช่นสไตล์ของการ์ตูนในโชเน็นแมกกาซีนที่เราจะรู้สึกตื่นเต้นเมื่อเห็นโกคูเติบโตขึ้นและกลายมาเป็นพ่อแม่คน ผมชอบตรงจุดนั้นมากๆ เลย และ อ.โทริยามะเองก็สามารถใช้ความสมดุลย์ของสีขาวดำได้อย่างลงตัว มองแล้วดูสบายตาดีครับ แทบไม่ต้องใช่สกรีนโทนอะไรเป็นพิเศษเลย
โอดะ : และอีกอย่าง งานของ อ.โทริยามะยังเป็นงานที่ดูแล้วไม่ล้าสมัยไม่ว่าจะหยิบมาอ่านมนยุคสมัยไหนก็ตาม นั่นล่ะครับคือเรื่องที่พิเศษสุดๆ
คำถาม : นอกเหนือจากการ์ตูน และนักวาดการ์ตูนแล้ว ยังมีใครที่มีอิทธิพลต่องานของอาจารย์บ้างครับ?
คิชิโมโต้ : ของผมน่าจะเป็นผู้สร้างอนิเมะล่ะครับที่มีอิทธิพลกับผมพอสมควร
โอดะ : ทุกครั้งที่คุณคิชิโมโต้มาพบกับผม เค้าจะพูดถึงชื่อที่ผมไม่คุ้นเคย แถมด้วยประโยคที่ว่า “นักสร้างอนิเมะคนนี้แจ่มจรัสไปเลย!” ตกลงว่านี่คุณรู้จักเบื้องหลังของทีมงานคุณมาก่อนที่จะสร้างเป็นอนิเมะรึเปล่าเนี่ย?
คิชิโมโต้ : รู้สิแหม่ ... (ฮา)
โอดะ : อีกอย่างนะ คุณคิชิโมโต้แกยังไปดูดความรู้ของการสร้างอนิเมะมาไว้กับตัวอีก ไม่มีนักวาดการ์ตูนคนไหนเค้าทำกันหรอก (ฮา)
คิชิโมโต้ : คนที่ผมพูดถึงเค้าเป็นนักสร้างอนเมะที่ได้รางวัลจากประเทศฝรั่งเศสเลยล่ะครับ จริงๆ แล้วตอนที่ผมเป็นนักวาดการ์ตูนหน้าใหม่ ผมเองก็เคยขอให้เค้ามาร่วมงานด้วยถ้าหากนารูโตะถูกทำเป็นอนิเมะจริงๆ แล้วพอทุกอย่างลงตัว ผมคิดว่าการร่วมงานกับเค้าจะทำให้คนทั้งโลกรู้จักนารูโตะได้ดียิ่งขึ้นครับ
โอดะ : งั้นการที่นารูโตะโด่งดังไปทั่วโลกเนี่ย มันก็เป็นแผนของคุณตั้งแต่แรกแล้วสินะครับ
คิชิโมโต้ : ตอนนั้นก็แค่คิดน่ะครับ ว่าถ้ามันดังได้ก็ดีน่ะสิ
โอดะ : ถ้าผมเป็นคุณผมคงอึ้งแดกล่ะครับ เพราะเมื่อช่วง 2 – 3 ปีแรกในอาชีพนี้คุณยังเป็นหน้าใหม่อยู่เลย แล้วดูคุณตอนนี้สิ สุดๆ ของสุดแล้วล่ะครับ
คำถาม : แล้วอาจารย์โอดะล่ะครับ ใครที่มีอิทธิพลต่องานของคุณบ้าง?
โอดะ : ก็ถ้าให้ระบุแบบเจาะจงแล้วล่ะก็ น่าจะเป็น อ.ฮายาโอะ มิยาซากิ (แห่ง Studio Ghibli) ล่ะครับ
คิชิโมโต้ : แต่พวกคุณทั้งสองก็มีงานออริจินัลนี่ครับ ผมรู้สึกว่าไม่น่าจะมีใครที่มีอิทธิพลต่องานของคุณนา
โอดะ : จริงๆ แล้วสมัยที่ผมยังเด็ก ผมอ่านการ์ตูนหลายแบบมากๆ ครับ ผมจะบอกว่าตัวผมเองโชคดีก็ได้ที่เติบโตมาในยุคทองของการ์ตูนจัมพ์ ทำให้แนวคิดการวางเรื่องต่างๆ มันค่อนข้างจะหลากหลายและไม่ซ้ำแบบกัน
คิชิโมโต้ : นั่นล่ะครับ ... เพราะพวกเราอยู่ในยุคที่ทุกอย่างมันกำลังคงตัว การซื้อการ์ตูนจัมพ์อ่านทุกวัปดาห์มันทำให้พวกเรามีแนวคิดในการสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจได้ตลอดเวลา
โอดะ : จะบอกว่ารุ่นของพวกเราน่าภูมิใจสุดๆ ล่ะครับที่ได้อ่านการ์ตูนจัมพ์แบบนั้น (ฮา)
คำถาม : ถาม อ.คิชิโมโต้นะครับ อาจารย์ประทับใจตัวละครไหน หรือเรื่องราวส่วนไหนในวันพีซบ้างครับ?
คิชิโมโต้ :: ผมไม่ขอตอบนะถ้า อ.โอดะนั่งอยู่แถวนี้ (ฮา) เอาจริงๆ ผมชอบทุกตัวครับ แต่ที่ประทับใจน่าจะเป็นเรื่องความสามารถของเบลามี่ (ผลสปริง) และเรื่องราวของคุณหมอช็อปเปอร์ ตอนที่เค้าออกจากเกาะของ ดร.ฮิรุลุคมันดูซึ้งใจเอามากๆ เลย
โอดะ : ผมซึ้งใจที่ได้ยินแบบนั้นเหมือนกันครับ
คิชิโมโต้ : แต่ถึงกระนั้นผมก็กลัวช็อปเปอร์อยู่นะ เพราะเหมือนว่าตานี่จะมีพลังมากกว่าลูฟราซะอีก ไม่แน่ว่าช็อปเปอร์อาจจะเป็นลาสบอสก็ได้นะเออ (ฮา)
คำถาม : ที่ว่าช็อปเปอร์จะกลายมาเป็นลาสบอสเนี่ย คิดได้ไงน่ะครับ?
คิชิโมโต้ : อืมมมม ... นั่นสินะครับ เพราะลูฟี่เป็นมิตรกับทุกๆ คนอยู่แล้ว ผมคิดว่าจะเป็นยังไงนะถ้าหากมันเป็นแบบนั้นจริงๆ ทุกคนคงต้องช็อคอย่างแน่นอนเลยล่ะ อีกอย่างนะ ความน่ารักของช็อปเปอร์อาจจะมีอะไรที่น่ากลัวซ่อนเอาไว้ก็ได้เนอะ
โอดะ : จริงๆ แล้วช็อปเปอร์คือสัตว์ประหลาดดีๆ นี่เองครับ ... ผมล้อเล่นน่ะ (ฮา) ในเนื้อหาของเค้านั้นเค้าเกิดมาจากความสิ้นหวังแบบสุดขีด ตั้งแต่ตอนที่ออกแบบ ผมจะให้เค้ามีร่างกายที่ดูสูงใหญ่ขนฟูเต็มตัวเหมือนมนุษย์กวางยักษ์ แต่ตัวละครอื่นๆ ที่ออกมาก่อนหน้านั้นดันเป็นที่นิยมไปซะหมด ผมเลยหาที่ลงให้ช็อปเปอร์ไม่ได้ว่าเค้าจะมีดีไซน์แบบไหน สุดท้ายแล้วก็เอาแบบอย่างที่เห็นล่ะครับ น่ารักสุดๆ ไปเลย
คิชิโมโต้ : นี่ล่ะครับขั้นตอนของการสร้างตัวละคร เอาจริงๆ ผมแอบอิจฉาช็อปเปอร์สุดๆ เลยนะ
โอดะ : คุณก็พูดแบบนี้เสมอนั่นล่ะ (ฮา)
คิชิโมโต้ : เอาจริงๆ แล้วผมคิดจะสร้างมาสคอตที่เป็นลูกอ๊อดตัวสีชมพูครับ เคยลองวาดลงปกตัวอย่างดูแล้วรู้สึกว่ามันไม่ตอบโจทย์ซักเท่าไหร่
โอดะ : (ฮา) แต่มันก็มีตัวอื่นๆ ขึ้นมาแทนทั้งๆ ที่ไม่ได้คาดหวังอะไรขนาดนั้นใช่ไหมล่ะ? สำหรับผมช็อปเปอร์เองก็เป็นหนึ่งในนั้นนะ
คำถาม : บ่อยครั้งไหมครับที่เนื้อเรื่องมันถูกดำเนินออกไปต่างจากที่อาจารย์ได้วางแผนเอาไว้ในตอนแรกของการสร้างซีรี่ย์น่ะครับ
โอดะ : พอสมควรครับ เพราะความคิดตอนที่วาดใหม่ๆ สมัยอายุ 20 มันได้ถูกเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากเลย
คิชิโมโต้ : ถูกต้องเลยครับ
โอดะ : เหมือนจะบอกว่า “ชั้นจะไม่แพ้ตัวชั้นเองในอดีต” แบบนั้นสินะ (ฮา
คิชิโมโต้ : ก็เพราะว่าคุณประสบการณ์สูงกว่านั่นล่ะครับ
คำถาม : ในระหว่างการทำงาน มีอะไรที่เป็นอุปสรรคในการสร้างผลงานของอาจารย์บ้างครับ?
คิชิโมโต้ : ของผมเป็นเรื่องของการวาดตัวละครหญิงไม่สวยครับ แต่นักวาดการ์ตูนต้องวาดได้ทุกอย่างนี่นา ... จริงมั้ย?
โอดะ : ก็ตามนั้น
คิชิโมโต้ : ผมเองก็คิดแบบนั้นนะครับ กล้าพูดได้ว่ามันยากนะ ยิ่งการวาดใกล้ช่วงส่งงานเนี่ย มันเป็นอะไรที่กดดันเอามากๆ เลย เพราะถ้าไม่มีความรู้สึกที่อยากวาด งานก็ไม่ได้เริ่มซะที นี่ล่ะครับที่ยากสุดๆ
โอดะ : ใช่แล้วครับ คุณอยากจะวาดในสิ่งที่คุณชอบวาดอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ?
คิชิโมโต้ : นั่นล่ะครับ วาดเพราะชอบที่จะวาดนี่ล่ะ
โอดะ : นั่นคือประเด็นเลยครับ เพราะคนที่คิดว่าวาดเพราะเป็นหน้าที่เนี่ย พวกเค้ากำลังคิดผิดนะ (ฮา) เพราะถ้ามีอะไรบางอย่างที่เข้ามารบกวนจิตใจ หรือขัดต่อความชอบของเรา พวกเราจะรู้สึกไม่อยากแตะอะไรเลย (ฮา)
คำถาม : ผลงานใหม่ของ อ.คิชิโมโต้จะตีพิมพ์ลงในนิตยสารโชเน็นจัมพ์วันที่ 27 เมษายนนี้แล้วสินะครับ
โอดะ : ตกลงจะวาดเรื่องนี้กี่อาทิตย์กันล่ะเนี่ย?
คิชิโมโต้ : ไม่รู้สินะ
โอดะ : คุณไม่คิดจะกำหนดระยะเวลาเลยรึไง?
คิชิโมโต้ : ใครจะไปคิดล่ะแหม่ ... (ฮา)
โอดะ : มันต่างจากที่ต้องวาดทุกอาทิตย์แบบผมเลยนะเนี่ย
คิชิโมโต้ : ใช่แล้วครับ เหมือนกับว่าการที่หยุดวาดไประยะหนึ่งหลังจากที่ว่าต่อเนื่องกันเป็นเวลานานเนี่ย มันทำให้ผมรู้สึกหมดไฟนิดหน่อยนะ
โอดะ : แต่อย่าลืมนะครับว่าเรื่องราวในส่วนหลักๆ ของนารูโตะก็ได้จบลงไปแล้วก็จริง การที่มีเนื้อเรื่องเสริมออกมาแฟนๆ เองต่างก็คาดหวังเอาไว้สูงพอสมควร คุณเองก็คงจะต้องเพิ่มรายละเอียดให้สมบูรณ์กว่าเมื่อก่อนล่ะครับ
คิชิโมโต้ : ถูกของคุณโอดะเลยครับ
โอดะ : ผมคิดว่านั่นคงเป็นจุดเริ่มต้นที่คุณจะขี้เกียจหลังจากการหยุดพักแล้วล่ะครับ (ฮา)
คิชิโมโต้ : เพราะว่าการเป็นนักวาดการ์ตูนนั้น หากเราหยุดพักไป การกลับมาทำงานอีกมันจะดูเป็นเรื่องยากสุดๆ เลยล่ะครับผม
โอดะ : เหมือนหยุดยาวช่วงปีใหม่แล้วกลับมาอีกทีวาดช้าลงกว่าเดิมอะไรแบบนี้สินะครับ
คิชิโมโต้ : คุณเองก็รู้ดีไม่ใช่เรอะ (ฮา) มันรู้สึกได้เลยครับว่าการกลับมาวาดการ์ตูนอีกครั้งหลังจากหยุดยาว ปริมาณยางลบที่เราใช้ก็มากขึ้นตามไปด้วย
โอดะ : อย่างตอนที่กำลังวาดโครงแบบอยู่ดีๆ ก็เหมือนกับว่า เอ๊ะ! ลายเส้นเราทำไมมันไม่เหมือนเดิม พอยิ่งวาดก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็นงานยากกว่าเดิมอีก (ฮา) คนเราก็เป็นแบบนี้ล่ะครับ ถ้าไฟไม่ลนก้น งานก็ออกมาไม่ดีอย่างแน่นอน
คำถาม : ตอนที่อาจารย์วาดนารูโตะยังไม่จบ ตอนไหนรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะแย่แน่ๆ ?
คิชิโมโต้ : คงเป็นตอนที่โรคปวดหลังกำเริบน่ะครับ
โอดะ : โอ้ ... ผมจะได้เลยว่าตอนนั้นอาการคุณดูแย่สุดๆ ไปเลยเนอะ (ฮา)
คิชิโมโต้ : ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผมกำลังวาดช่วงที่มีการต่อสู้กับคาคุสุ อีกทั้งปอดของผมก็ไม่ค่อยดีอีกด้วยครับ ตอนไหนที่รู้สึกเหนื่อยๆ นี่แทบจะตายให้ได้เลย พอไอออกมาหน่อยก็เจ็บหลังสุดๆ ถ้าใครจำได้ ช่วงนั้นลายเส้นของผมดูแย่สุดๆ เลยล่ะ แถมยังซวยซ้ำซวยซ้อนตกจากบันไดลงมาอีก
โอดะ : เอ่า จริงดิครับ?
คิชิโมโต้ : คงเป็นเรื่องเมื่อซัก 3 ปีก่อนล่ะครับ ตอนนั้นไปออนเซ็นกับครอบครัวแล้วเผลอลื่นตกบันได
โอดะ : นั่นมันน่ากลัวสุดๆ เลยนะน่ะ
คำถาม : เป็นเพราะอาจารย์เครียดเรื่องเนื้อหาด้วยรึเปล่าครับ?
คิชิโมโต้ : ไม่หรอกครับ ช่วงนั้นแค่เหนื่อยกับงานมากไปหน่อย
โอดะ : ไม่ลองคิดเนื้อเรื่องตอนตกลงมาจากบันไดดูบ้างล่ะครับ? (ฮา)
คิชิโมโต้ : จริงๆ ก็ไม่ได้เจ็บหนักเท่าไหร่หรอกครับ แต่ตอนนั้นคิดอยู่เลยนะว่าถ้าตายขึ้นมาจะทำยังไงดี (วะ) เนี่ย (ฮา)
โอดะ : ถ้าคุณตาย คุณจะได้เป็นตำนานอย่างแน่นอน เชื่อผมสิ
คิชิโมโต้ : แต่ผมยังไม่อยากเป็นตำนานตอนนี้หรอกนะ (ฮา)
โอดะ : ผมเองก็ด้วยครับ ตอนนี้ยังไม่พร้อมจะเป็นตำนานเหมือนกัน (ฮา) คิดดูสิว่าถ้าตายขึ้นมาจริงๆ ผมก็คงคิดนะว่าชิวิตของเรามันมาได้แค่นี้เองเรอะ? ผมเองก็ยังไม่อยากจะให้มันเป็นแบบนั้นซักเท่าไหร่
คิชิโมโต้ : เหมือนแวนโก๊ะไง กว่าจะมีคนพูดถึงก็ผ่านมาหลายชั่วอายุคนเลย ผมอยากให้ผู้คนชื่นชอบงานของผมในขณะที่ผมกำลังมีชีวิตอยู่มากกว่าครับ (ยิ้ม)
