ยาวหน่อยนะ พยายามจะรวบรัด
ตอนนี้รักษามาเข้าปีที่ 5 แล้วเปลี่ยนหมอมาสามคน คนที่รักษาอยู่เข้าปีที่ 3
เข้าเรื่อง ผมคือผู้ป่วยคนหนึ่งหลังจากการพูดคุยกับจิตแพทย์
พื้นฐานผมเป็นคนเฮฮา ตัวโจ๊กของกลุ่ม เป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์ ไปไหนก็มีแต่เพื่อนคนรู้จัก
ผมเคยพิมพ์ไว้นานแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งในเฟส และ ในนี้ แต่วันนี้จะมาเพิ่มเติมนิดนึง
ตั้งแต่ครั้งแรกเลยที่ไม่รู้ตอนนั้นคือมีอาการใจสั่นเหมือนจะตายนอนอยู่หอโทรไปสั่งเสียพ่อแม่ สุดท้ายบอกเพื่อนให้พาไป รพ. (ตอนนั้นยังไม่รู้)
สาเหตุที่เป็นคือผมนอนน้อย ทำงานหนัก ใช้สารเสพติด แล้วมันฮีท ๆ เลยตอนเครียดมาก ๆ ที่ทำวิทยานิพนธ์ไม่ผ่าน ไม่เคยรู้สึกหมดแรงอะไรขนาดนี้
เวลาใจสั่นจะต้องการที่เดียวคือ รพ. แล้วจะหายไปเอง (คงเป็นเพราะแบบสบายใจแล้วเมื่ออยู่ในมือหมอ) เป็น ๆ หาย ๆ มาโรงบาลก็ตรวจไม่พบหรอกเพราะชีพจรกลับมาปกติ
ไม่กล้าออกไปไหนกลัวจะวูบ หัวใจเต้นรัว หนัก ๆ สมอง ปวดหัว อยากนอนอยู่บ้าน ขนาดจะอาบน้ำยังไม่กล้ากลัวจะล้มในห้องน้ำแล้วไม่มีใครรู้
จนขอที่โรงบาลเอกชลเอาเครื่องวัดชีพจรติดไว้ 24 ชม.
ผลคือไม่มีอะไรเลย กราฟหัวใจปกติดี (ตอนนั้นหากูเกิ้ลอ่านเกี่ยวกับแต่หัวใจ)
จนผมต้องศึกษาจากกูเกิ้ลแล้วก็เจอที่ตรงกับอาการของผมคือ
โรคแพนนิค (วิตกกังวล) (แล้วตอนนั้นมั่นใจว่าจำได้ว่าอาการนี้เมื่อเสิทหาข้อมูลมีให้อ่านแต่เนื้อหาซ้ำ ๆ เหมือนก๊อป ๆ กันมา)
ก็เลยลองไปหาจิตแพทย์เล่าทุกอย่างให้ฟัง ตั้งแต่การใช้ชีวิตยันอาการ
สรุปคือแพนนิคครับ หมอก็บอกนะว่าคุณเก่งมากนะที่รู้ตัวเร็ว ยิ่งรู้ช้ายิ่งปล่อยไว้นานมันจะรักษายาก
รักษาอยู่ปีนึงกินยาวันละสองเม็ด ลดเหลือเม็ดนึง จนกลับมาใช้ชีวิตได้ปกติแบบเดิม เลิกสารเสพติดแล้วทุกอย่าง
(ระหว่างนั้นมีเพื่อนคนนึงในคณะก็เป็นแพนนิคเหมือนกันหลังจากผม ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตคล้ายกัน มันรู้มากเพื่อนผมที่เคยเล่าอีกที ก็เลยได้แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตเหมือนกัน ไม่กล้าขับรถคนเดียว ไม่กล้าไปไหน ไม่ค่อยมั่นใจเมื่ออยู่ต่อหน้าคน ตอนนี้ไม่ได้ไถ่ถามกันเลย)
แต่ผมกลับมามีอาการใหม่หนักกว่าเดิม อันนี้เพราะเรางดกินยาต่อเนื่องไปไม่ถึงขั้นที่เขาควรจะกินต่อไปก่อน
อาการใหม่ไม่ถึงปีที่กลับมาคือซึมเศร้า แต่ในส่วนของผมคือไบโพล่า คือมีขั้วที่แบบซ่าตลกโปกฮาสุด ๆ กับขั้วที่เศร้าแบบไม่มีแรงที่จะทำอะไรเลยจนถึงอยากตาย
(ขั้วซ่าเพิ่งมารู้ทีหลัง หลังจากพาเพื่อนร่วมงานไปคุยกับหมอ หมอบังคับให้พาคนรอบตัวมาอาทิตย์ละคนในช่วงสองเดือนแรก เราก็พา พ่อแม่ แฟน เพื่อนรอบ ๆ ข้างไปพูดคุยเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของเรา และหมอเขาจะพูดในสิ่งที่เราอาจจะสื่อสารไม่ดีพอให้เขาเข้าใจ คือพูดแทนเรานั่นแหละ อย่าเพิ่งงง)
หมอคนนี้เลยเลือกที่จะรักษาขั้วที่มันเศร้าให้หายแค่นั้น เพราะมันเป็นผลร้ายมากกว่า
ข้ามตอนที่ฟุ้ง ๆ ไปเลยละกัน คือระหว่างนั้นมันก็ไม่ได้ถึงกับเศร้าทั้งสัปดาห์ หรือตลอดเวลาอะไรอย่างนี้นะ
อย่างที่บอกมันมีซ่ากับเศร้า ซ่าเลยก็เช่นใส่เสื้อกันฝนกับกางเกงขาสั้นไปโรงหนัง และอีกหลาย ๆ วีรกรรม เป็นต้น สำหรับเรามันรู้สึกฟิลกู๊ดแหละ
(ซึ่งอันนี้คนรอบ ๆ ตัวหลายคนก็งงว่ามึงเนี่ยนะเป็นโรคซึมเศร้า เพราะมึงเคยอะเลิทอยู่ตลอดเวลา)
มันก็คือสารเคมีในสมองทำงานผิดปกติ
ตอนนั้นเราก็บอกเขาได้แค่นี้จริง ๆ
ตอนเศร้าก็คือหมดแรง ไม่มีไฟ อะไรก็ไม่สุนทรีด้วย แต่พยายามจะออกไปหาที่นั่งคุยกับคนอื่น
ตอนนี้ก็จะ 3 ปีแล้วที่ยังคงกินยาอยู่ อาการที่ประเมินน่าจะ 80-90 เปอร์เซ็นได้ที่ใช้ชีวิตได้ปกติ
สิ่งที่หายไปหลังจากรักษาคือ ไม่ค่อยมีไอเดียในการทำงาน และเซ็กซ์ ผมไม่มีเซ็กซ์กับแฟนมาเกือบปีแล้ว คือนาน ๆ ทีเลยแหละจริง ๆ
มันมีผลกระทบต่อชีวิตแหละ แต่ส่วนนี้ผมรับได้
ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณคนรอบข้างหลายคนที่เข้าใจเรา จากตอนแรกที่พาไปพบหมอ
และตอนนี้หรือก่อนหน้านี้ก็เริ่มมีประเด็นเกี่ยวกับโรคนี้ให้ได้อ่านว่ามันมาจากเหตุนี้ ๆ นะ
ทีนี้ถึงส่วนที่ผมจะพูดอีกใจความหนึ่งคือ
ผมไม่เคยโกรธเลยนะใครที่เขาไม่เข้าใจเรา เพราะตอนแรก ๆ ผมก็เจอแบบ มึงจะไปเครียดทำไมวะ มึงจะคิดมากทำไม ประโยคประมาณนี้ที่เขาปลอบผม
เขาหวังดี เพียงแต่ เขาไม่รู้ตรงนี้ที่เราก็ต้องเข้าใจเขาด้วยว่าเขาไม่รู้จริง ๆ และบางทีอาจจะยังไม่คิดจะสนใจที่จะศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้
ตัวอย่างคือคนที่บอกว่าฆ่าตัวตายแล้วบอกว่ามันบาปนะ อันนั้นก็คือในความคิดของเขา
เขาเตือนเรา
อีกตัวอย่างคือทำไมมึงไม่คิดถึงคนข้างหลังบ้างว่ะ ว่าทำไมมึงต้องฆ่าตัวตายกันด้วย มึงไม่ห่วงคนที่มึงต้องดูแลหรือคนที่เขาเสียใจหรือไง อันนั้นก็คือในความคิดของเขาอีกนั่นแหละ
มันคือการเตือนสติได้นะสำหรับคนที่เขาไม่รู้จริง ๆ หรือไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
เราก็ยังคงมองว่าเขาหวังดีแหละ ความเห็นส่วนตัวสำหรับผม
(คือตอนนี้ผมอาการดีขึ้น ผมก็จะมองกลับไปในมุมของคนที่ไม่เข้าใจเลย เพราะก่อนที่พ่อแม่ผมได้คุยกับหมอก็แบบว่าจะเครียดทำไมละลูก ประมาณนี้)
แต่บางอารมณ์คือมันไม่ให้ไง แบบกูยังอยู่ได้เลย มึงดูคนที่เขาไม่มีอะไรเลยสิ
มันเหมือนเป็นเส้นบาง ๆ บนดาบสองคมอีกทีที่แบบความหวังดี คนที่หวังดีจริง ๆ ก็ควรจะศึกษาหรือคิดอะไรก่อนพูดนึงนิด
ส่วนใครที่แบบกำลังเห็นว่าแม่งเชี่ยนี่แม่งซึมเศร้าเก๊ว่ะ อันนั้นผมว่าคนที่คิดแบบนี้ผมว่าไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก
ปล่อยเขาไปเถอะจริง ๆ ยิ่งพยายามทำให้เขาเข้าใจเขาจะยิ่งไม่อยากฟัง คือเขาคิดลบไปแล้ว
(แต่บางคนแม่งเป็นดาราหรือคนติดตามเยอะนี่สิอันนี้อีกกรณี)
ใครที่สงสัยว่าตัวเองเป็นหรือไม่เป็นไม่ต้องกลัวอายครับ ลองไปปรึกษาหมอก่อน
มีคนเคยมาปรึกษาผมสามสี่ห้าคน ผมก็ไม่ได้เก่งอะ ผมก็แนะนำไปหาหมอทุกคนแหละ แค่แนะนำหมอไป
กาลเวลาเปลี่ยนโลกมันก็เปลี่ยนครับ
ไลฟ์สไตล์ การแข่งขัน ผมเคยฟังข่าวโรคนี้มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นทุก ๆ ปีครับ และอนาคตจะเป็นโรคที่จะเป็นกันมากอันดับที่สอง (ไม่มั่นใจว่าในปีไหน ขอโทษด้วยที่หาแหล่งข่าวไม่ได้ เคยฟังมาจากทีวี)
ผมจะฝากเท่านี้แหละครับ คนที่หวังดีผมขอขอบคุณ และขอบคุณทุก ๆ คนในสื่อโซเชียลที่เป็นกระบอกเสียงช่วยอธิบายเกี่ยวกับอาการ สาเหตุของโรคนี้
ส่วนคนที่เขาแบบคิดลบเราปล่อยแม่งไปเถอะครับ ถ้าไม่ใช่พวกคนที่เขาเป็นเซเลปหรือคนติดตามเยอะนะ ผมเห็นหลาย ๆ คนเข้าไปให้ความรู้ บางคนไปด่า ผมว่าอย่าไปด่าเขาดีกว่า บอกกันดี ๆ คือเขาไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง เขาไม่เคยประสบ
อันที่จริงมันก็ควรให้ความสำคัญกับทุกอาการป่วยนะ แต่ตอนนี้กระแสมันกำลังมา
คนที่เขาวิจารณ์ในทางไม่ดีอย่าไปด่าครับเขาจะยิ่งคิดลบ ถ้าหวังดีขอแค่ไปพิมพ์ ๆ ข้อมูลทิ้งไว้ ไม่ต้องไปเล้าหลืออะไรเค้ามาก
ในชีวิตผมเคยประสบกับเคราะห์ร้ายมาหลายครั้งนะ เคยโดนล้อ กูก็แช่งในใจให้มึงเป็นบ้าง
แต่อันนี้ผมว่ามันน่ากลัวเกินกว่า แล้วก็ไม่อยากให้ใครเป็นจริง ๆ
ขอบคุณที่รับฟังกันครับ
Spoil
ไม่ต้องแผล่บ โหวตแนะนำก็พอ