ผู้ตั้ง
ข้อความ
เข้าร่วม: 20 May 2011
ตอบ: 30020
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jul 14, 2017 1:29 am
เร่งสร้างบุญบารมีให้ตัวเองเพื่อหนีวิบากกรรม
เร่งสร้างบุญบารมีให้ตัวเองเพื่อหนีวิบากกรรม







1. ต้องเร่งเพิ่มพลังบุญก่อน

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า ยามเมื่อวิบากกรรมไม่ดีเข้าและกำลังทำให้ชีวิตเราวุ่นวายนั้น เป็นเพราะบุญเราน้อยกว่าบาปที่ทำมา หรือกรรมดีในตอนนั้นยังไม่มีกำลังพอที่จะต้านกรรมไม่ดีได้เราควรจะเร่งสร้างบุญบารมีของเราเองอย่างเร่งด่วน

บุญบารมีนั้นสร้างได้ทุกวัน ไม่ต้องมานั่งรอ นอนรอรอให้ถึงวันพระ หรือถึงคราวดวงตกแล้วถึงจะไปทำบุญกัน คนที่ไม่ประมาทนั้นเขาจะมีการเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา เมื่อมีภัยมาก็จะรับมือได้ทัน



ดังนั้นเรื่องแรกต้องเป็นเรื่องของการสร้างบุญบารมีที่ถูกต้องและมีอานิสงส์สูงเสียก่อน

เพราะเมื่อเราได้รู้วิธีการสร้างบุญบารมีที่เป็นของตัวเองแล้ว เราก็สามารถจะใช้บุญที่ทำนั้นให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับชีวิตของเราด้วย บุญนั้นเป็นพลังงานบริสุทธิ์ ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา จับต้องไม่ได้ แต่สัมผัสได้ด้วยจิต หากจะเปรียบเทียบกันแล้ว ก็คงเหมือนกับกระแสไฟฟ้า คลื่นวิทยุที่เรามองไม่เห็นแต่มีจริง

บุญที่เราทำนั้นสามารถนำมาใช้ประโยชน์มากมายในชีวิตประจำวัน เป็นพลังงานละเอียดที่บริสุทธิ์ช่วยสลายความทุกข์ยาก การติดขัดในทุกเรื่องได้จริงแต่บุญที่เราทำนั้น เราต้องพยายามให้บุญนั้นเป็นบุญบริสุทธิ์มากที่สุด เพราะบุญบริสุทธิ์นั้นมีอานิสงส์สูงด้วย



บุญบริสุทธ์ คือ บุญที่ไม่มีบาปเจือปน

เหมือนน้ำสะอาดบริสุทธิ์ที่ไม่มีเชื้อโรค สิ่งสกปรก สิ่งแปลกปลอมเจือปนมา ถ้าเราทำบุญ ทำความดี เราก็จะได้บุญ ถ้าเราไม่ทำบุญ ไม่ทำความดี เราก็จะไม่ได้บุญ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการกระทำของเรา

บุญบริสุทธิ์เป็นบุญที่ทำแล้วไม่ได้หวังผลตอบแทน บุญที่ทำแล้วไม่เสียดาย บุญที่ไม่ได้มาจากเบียดเบียนผู้อื่นซึ่งมาจากการทาน ศีล ภาวนา เป็นบันได 3 ขั้นการสร้างบุญบารมีที่ถูกต้อง

ท่านพุทธทาส พระอริยสงฆ์ของเมืองไทยท่านหนึ่ง ท่านได้เคยเมตตาเทศนาเรื่องบุญ 3 แบบที่ดีมากๆ จึงใคร่ขออนุญาตน้อมนำคำเทศนาของท่านมาให้ท่านผู้อ่านได้ทราบเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องร่วมกัน ซึ่งจะสรุปย่อๆ ให้เข้าใจกันดังนี้



1. ทำบุญแบบอาบน้ำโคลน หมายถึง ทำบุญแต่ทำบาปด้วย เช่น ไปทอดกฐิน ทอดผ้าป่าด้วย ไปกินเหล้าสูบบุหรี่ด้วย ไปฆ่าวัว ฆ่าหมู เป็ดไก่ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเอามาทำบุญ เป็นการเบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น แบบนี้เรียกว่า บุญที่มีบาปเจือปนอาจจะได้บุญน้อยหรือแทบไม่ได้บุญเลย ควรหลีกเลี่ยงเสีย



2. ทำบุญแบบอาบน้ำหอม หมายถึง การทำบุญเพื่อหวังผลตอบแทน ทำบุญเพื่อแลกเอาสวรรค์วิมาน ทำบุญเพื่อถูกหวย ถูกลอตเตอรี่ ให้ค้าขายร่ำรวย ให้การงานก้าวหน้า ทำบุญสิบบาทจะให้ถูกรางวัลที่ 1 ทำบุญสร้างโบสถ์เพื่อจะให้ได้วิมานหลังหนึ่ง จะให้หายจากโรคภัยต่างๆ เป็นการค้ากำไรเกินควรแบบนี้เรียกว่า บุญที่ต้องการหวังอะไรตอบแทน ทำบุญเพราะหวังวาจะได้สิ่งนั้น สิ่งนี้ซึ่งมักจะไม่ได้เพราะความโลภและกิเลสนั้นจะไปขวางทางบุญนั้นไม่ให้ได้ตามที่หวัง



3. ทำบุญแบบอาบน้ำสะอาด หมายถึง คนที่ทำบุญเพื่อที่จะละจากความยึดมั่น ถือมั่น ไม่ให้มีความยึดมั่น ถือมั่นสิ่งใด ว่าเป็นตัวเราหรือว่าของเรา ทำบุญเพื่อให้กิเลสหมด ออกไปจากสันดานอย่างนี้เหมือนกับคนที่อาบน้ำสะอาด

บุญนั้นจึงเป็นบุญที่เหมือนกับน้ำที่สะอาด ซึ่งจะส่งผลแน่นอนทั้งในชาตินี้และชาติหน้าโดยที่เราไม่ต้องไปกำหนดกะเกณฑ์ว่าต้องออกมาในแบบที่เราต้องการ ขอให้เพียงเชื่อว่าเมื่อเราทำดีแล้วต้องได้ดี ทำชั่วและต้องได้ชั่ว

การที่บุญจะส่งผลในเรื่องใดนั้นสำเร็จได้เร็วนั้น ครูบาอาจารย์ท่านสอนไว้ว่า ส่วนหนึ่งจะมาจากการอธิษฐานที่ถูกต้องและสะสมบุญมากพอที่จะส่งให้กรรมดีนั้นสำเร็จลงได้ และไม่ต้องกลัวว่าบุญนั้นจะไม่ส่งผล เพราะกรรมดีที่เราทำนั้นต้องส่งผลตามหน้าที่ ตามลำดับ ตามกาลหรือตามเวลา

ในเวลาทำบุญนั้นทั้งก่อนทำ ขณะทำและหลังทำไม่ต้องไปพะวงคิดอะไร ขอให้จิตนั้นสะอาดและบริสุทธิ์เท่าที่จะทำได้ ทำเพราะหวังจะคลายทุกข์ให้ผู้อื่น ทำเพื่อเป็นการสืบทอดพระพุทธศาสนาก็พอ ทำเพื่อประโยชน์สุขของผู้อื่นส่วนรวม อย่าไปคิดอะไรมากมายให้ฝึกใจให้วางเฉยมีอุเบกขามากๆ แล้วจะดีเอง

สำหรับคนเราทั่วไปที่ไม่ทราบหรือไม่เข้าใจดีพอในเรื่องนี้ จึงทำบุญที่มีบาปเจือปนนั้นได้ง่ายได้ เช่น เมื่อใส่บาตรแล้ว บุญได้เกิดขึ้นแล้ว แต่ในขณะเดียวกัน มือที่กำลังตักข้าวใส่บาตร แต่ใจกลับไปคิดแวบเดียว เป็นความคิดที่เป็นอกุศล



เช่น พาลคิดไปว่า พระที่กำลังรับบาตรนั้นเป็นพระปลอมหรือพระจริง แล้วท่านจะเอาอาหารไปทำอะไร หรือเวลาไปถวายปัจจัยคิดว่า ท่านต้องเอาไปใช้ส่วนตัวแน่ๆ ความคิดแบบนี้ได้เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งบุญทั้งบาป บาปนั้นจะไปเหนี่ยวรั้งบุญให้ส่งผลน้อย เหมือนมีก้อนหินใหญ่ไปขวางกระแสน้ำไว้ไม่ให้ไหลสะดวก



และถือว่าเป็นการปรามาสพระสงฆ์ ยิ่งถ้าพระสงฆ์องค์นั้นเป็นพระอริยบุคคล มีเนื้อนาบุญสูงแล้ว กรรมหนักจะหนักมากตามไปด้วย



หรือวัตถุทานที่เอามาทำบุญมีบาปเจือปนเช่น ไปฆ่าปลามาทำอาหารใส่บาตร แอบไปเด็ดดอกไม้ที่เจ้าของไม่ได้อนุญาตมาถวายพระ รวมถึงปัจจัยที่ไปซื้อหามาด้วยเช่น เงินที่มาซื้อสิ่งของนั้นมาจากการพนัน เอาเงินจากการคดโกงผู้อื่นหรือบังคับจากผู้อื่นโดยที่เขาไม่เต็มใจ รวมถึงการทำบุญแบบเอาหน้าด้วย เป็นต้น



บางเรื่องนั้นดูเหมือนจะเป็นเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย ถูกต้องตามกฎกติกาของสังคมนั้น แต่ทว่ามีมากมายที่ไม่ถูกต้องตามธรรม เช่น การค้าขายเหล้านั้นถูกกฎหมายแต่ในทางธรรมนั้นผิดเต็มประตูในศีลข้อที่ 5 การฆ่าสัตว์ที่มีใบอนุญาตนั้นก็ถูกกฎหมายแต่ผิดศีลข้อที่ 1 ที่ใครได้ทำก็จะต้องพบกับความยากลำบาก ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ตนเองรัก เพราะได้ไปพรากชีวิตคนอื่นเขา จึงต้องพิจารณาให้ดี และเงินที่มาจากการทำผิดศีลนั้นเป็นเงินที่ไม่บริสุทธิ์เท่าที่ควร



หรือคนที่ขายเหล้าหรือฆ่าสัตว์เป็นอาจิณ ให้ลองสังเกตดูให้ดีเถอะว่า ทำไมตนเองหรือคนในครอบครัวมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นบ่อยครั้งในชีวิต ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ตนเองนั้นมีส่วนร่วมในการทำกรรมไม่ดีของคนที่มาซื้อเหล้าของเราไปกินและคนทีฆ่าสัตว์นั้นพรากสิ่งที่เขารักที่สุดก็คือ ชีวิตนั่นเอง



คนที่ฉลาดในบุญนั้น เขาจะคิดว่าการให้อะไรก็ตามนั้นเป็นทาน เช่น ให้อาหารเป็นทาน เมื่อคิดถูกต้องจะรู้ว่าเมื่อให้แล้วก็จะได้บุญจึงคิดใส่บาตร ใส่บาตรแล้วก็จบ ไม่คิดอะไรต่อไปที่เป็นลบ เขาย่อมได้บุญที่ไม่มีบาปเจือปน

หรือให้เงินคนอื่นไปแล้วเพื่อช่วยเหลือให้เขาพ้นทุกข์ ไม่ไปคิดเสียดายหรือคาดหวังอะไรจากผู้รับนั้น ซึ่งในบางครั้งอาจจะยากที่ทำใจให้ได้อย่างนั้น ครูบาอาจารย์ท่านรู้เรื่องนี้ดี ท่านจึงเมตตาบอกหาทางช่วยแก้ไขกับคนทุกคนว่า ต้องฝึกจากการตั้งพรหมวิหาร 4 มาช่วย คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา บ่อยๆ แล้วจะทำสำเร็จได้ง่าย

การถือศีลนั้นเพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ทำผิด ฝึกให้ตัวเองมีหิริโอตัปปะหรือความอายและความเกรงกลัวต่อบาป ต่อความชั่วในทุกวินาทีของชีวิต เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ตกต่ำหรือไม่ให้ไปทำร้ายคนอื่นเพราะจะเกิดกรรมไม่ดีขึ้น

การภาวนานั้น เพื่อให้จิตใจนั้นสงบ ไม่ฟุ้งซ่านมีสิตเมื่อมีสติก็จะเกิดปัญญา เมื่อมีปัญญาก็จะพบทางออกของปัญหาได้

ขอให้เข้าใจตรงกันว่า บุญนั้นจะเกิดขึ้นทุกครั้งที่เราละชั่ว ทำความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส บุญเป็นพลังงานที่จะหล่อเลี้ยงจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาด มีกำลังใจ มีอายุที่ยืนยาวและทำให้เกิดความสุข ความสำเร็จในทุกๆ ด้าน

ตามหลักพุทธศาสนา สิ่งที่เป็นที่ตั้งแห่งบุญ หรือเป็นที่มาของบุญ นั้นเรียกว่า บุญกิริยาวัตถุ 10 ที่เป็นการสร้างบุญบารมีที่ถูกต้องและได้บุญมากนั้นมีดังนี้

1. การให้ทาน รู้จักแบ่งปันสิ่งของให้แก่ผู้อื่น เป็นการช่วยลดความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ การติดยึดในวัตถุสิ่งของ การทำทานที่ได้ผลมากหรือมีอานิสงส์บุญมากคือ วัตถุทานนั้นบริสุทธิ์ ผู้ให้มีเจตนาที่บริสุทธิ์ทั้งก่อนให้ กำลังให้และหลังการให้ และผู้รับบริสุทธิ์ที่มีเนื้อนาบุญบริสุทธ์หรือเนื้อนาบุญสูง

2. การรักษาศีล เป็นการฝึกใจให้ลด ละ เลิกความชั่ว กิเลสทั้งหลาย ไม่เบียดเบียน รู้จักเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่น การทำความดีให้เกิดขึ้น

3. การเจริญภาวนา เป็นการพัฒนาจิตใจ และปัญญาให้สูงขึ้น เห็นตามความเป็นจริง อันจะทำให้ใจสงบ และมีความสุขมากขึ้น

4. การอ่อนน้อมถ่อมตน เป็นการลดความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตนของตน

5. การช่วยเหลือสังคม สละแรงกาย แรงใจ เพื่อส่วนรวม เป็นบุญที่ให้กับคนหมู่มาก

6. การเปิดโอกาสให้คนอื่นมาร่วมบุญกับเรา หรือมีส่วนร่วมในบุญ รวมไปถึงการอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับไปแล้ว

7. การยอมรับและยินดีในการทำความดีของผู้อื่น เป็นการอนุโมทนาในการทำคุณงามความดีของผู้อื่น

8. การฟังธรรม เป็นการขัดเกลาเพิ่มพูนสติปัญญาให้สูงขึ้น

9. การแสดงธรรม ให้ความรู้เรื่องธรรมะ นำธรรมมะไปเผยแพร่ให้ผู้อื่นได้รู้ ได้ปฏิบัติามคำสั่งสอนของพระพุทธองค์

10. ทำความเห็นให้ถูกต้อง เป็นการปรับปรุง พัฒนาความคิดเห็น ความเข้าใจ ให้ถูกต้องตรงตามคำสอนของพระพุทธองค์




ถ้าได้อ่านมาถึงตอนนี้ ก็คงจะพอเข้าใจได้ไม่ยากว่า ในการทำบุญนั้นมีหลายช่องทางที่ไม่ต้องใช้เงินเลยแม้แต่บาทเดียว แต่ทุกวันนี้มีคนมากมายขาดความรู้และความเข้าใจ ไปติดกับดักของการทำบุญอยู่เพียงแค่วิธีแรก คือ การทานหรือวัตถุทาน

เพราะถ้านึกจะทำบุญก็จะนึกกันได้แต่เพียง การตักบาตร ถวายสังฆทาน ถวายปัจจัยให้พระ ถวายเงินให้วัด เป็นต้น โดยไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าการตั้งใจถือศีล 5 ให้ครบสมบูรณ์เพียงหนึ่งวัน หรือตั้งใจนั่งสมาธิด้วยจิตสงบเพียงช้างกระดิกหูนั้นมีอานิสงส์ของบุญที่มากกว่าเป็นไหนๆ เพราะทานนั้นได้อานิสงส์บุญน้อยกว่าการถือศีล และการถือศีลนั้นได้อานิสงส์บุญน้อยกว่าการภาวนา ที่เป็นบันไดไล่กันขึ้นไป

เมื่อเรารู้เรื่องวิธีการสร้างบุญบารมีที่ถูกต้องแล้ว ก็มาลองดูกันว่า ประโยชน์ที่ได้จากการทำบุญกันเพื่อจะได้เข้าใจลึกซึ้งว่า ทุกวันนี้เราทำบุญกันไปเพื่ออะไร



ประโยชน์ที่ได้จากการทำบุญ



– ประโยชน์สุขในปัจจุบัน กล่าวคือ เพื่อให้เกิดลาภ บริวาร สภาพความเป็นอยู่ คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น บุญอยู่เบื้องหลังของความสำเร็จทั้งหลาย



– ประโยชน์สุขที่สูงขึ้น กล่าวคือ เป็นการยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ได้เรียนรู้พัฒนาตนเอง ให้เป็นคนมีศีลธรรม มีคุณธรรม มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และมีความสุขเมื่อละโลกไปแล้ว



– ประโยชน์อย่างสูงสุด เป็นประโยชน์ที่เป็นสาระแก่นแท้ของชีวิต รู้แจ้งตามสภาวธรรมของโลก จิตใจไม่หวั่นไหว เมื่อประสบกับความไม่เที่ยงของชีวิต ความเป็นอนิจจัง ความไม่แน่นอนของชีวิต


คนทุกคนนั้น ย่อมต้องการได้ผลลัพธ์จากสิ่งที่ทำไป ในเรื่องของบุญก็เช่นกัน ยากจะปฏิเสธว่า อย่างน้อยก็ต้องการเก็บไว้เป็นเสบียงบุญเลี้ยงตัวในชาติหน้าและน่าจะดียิ่งขึ้นถ้าส่งผลได้เลยในชาตินี้

คนที่วิบากกรรมไม่ดีเข้าหรือดวงตกนั้น ควรต้องเร่งมืออีกสักนิดในการสร้างบุญ และการเพิ่มพลังบุญ ถ้าเปรียบเทียบกับโรคภัยไข้เจ็บหรือเกิดอุบัติเหตุนั้น ก็คงต้องใช้ยาแรงสักนิดหรือหมอที่เก่ง ที่จะต้องหยุดโรคร้ายในเวลาที่เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

จึง มีเคล็ดการเพิ่มพลังบุญแบบเร่งด่วนมาให้ เพื่อจะช่วยให้ทุกท่านได้รับมือกับกรรมไม่ดีมาให้พิจารณา





อ้างอิงจาก:
จากหนังสือเรื่อง ปาฏิหาริย์แก้ “ดวงตก” โดย ชำนาญ การวิเศษ  
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 8036
ที่อยู่: Anfield Road
โพสเมื่อ: Fri Jul 14, 2017 1:36 am
[RE: เร่งสร้างบุญบารมีให้ตัวเองเพื่อหนีวิบากกรรม]
สาธุๆครับ
0
0
เข้าร่วม: 04 Nov 2014
ตอบ: 5868
ที่อยู่: Soccersuck FC.
โพสเมื่อ: Fri Jul 14, 2017 1:41 am
[RE]เร่งสร้างบุญบารมีให้ตัวเองเพื่อหนีวิบากกรรม
แก่นแท้ของศาสนานั้นมีประโยชน์มากมายนะ น่าเสียดายที่คนส่วนมากนิยมเสพย์แต่ผลตอบแทน ทำบุญแบบอาบน้ำหอมซะเยอะ
เข้าร่วม: 28 Oct 2013
ตอบ: 8987
ที่อยู่: ตู้เพลง
โพสเมื่อ: Fri Jul 14, 2017 2:14 am
[RE: เร่งสร้างบุญบารมีให้ตัวเองเพื่อหนีวิบากกรรม]
ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมคนทำบุญในไทยขยันบริจาคเงินวัดเพื่อสร้างๆๆทั้งๆที่พระพุทธเจ้าท่านละๆๆๆ ออกจากเมืองไปวิเวกอยู่ป่า
0
0
เข้าร่วม: 05 Dec 2015
ตอบ: 123
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jul 14, 2017 2:18 am
[RE: เร่งสร้างบุญบารมีให้ตัวเองเพื่อหนีวิบากกรรม]
ความหมายของคำว่า บาปกับบุญ ใช้อะไรเป็นที่ตั้งหรือยึดเหนี่ยวกันหรอครับ ผมอยากเข้าใจให้มากกว่านี้
0
0
เข้าร่วม: 05 Dec 2015
ตอบ: 123
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jul 14, 2017 2:21 am
[RE: เร่งสร้างบุญบารมีให้ตัวเองเพื่อหนีวิบากกรรม]
แล้วความจำกัดความ คำว่าทำดีคือได้บุญ ทำไม่ดีคือได้บาป ผมมองว่าเราจำกัดความคำว่าทำดีกับทำไม่ดีเกินไปนะครับ
0
0
เข้าร่วม: 11 Feb 2017
ตอบ: 2176
ที่อยู่: Limbo
โพสเมื่อ: Fri Jul 14, 2017 2:52 am
[RE: เร่งสร้างบุญบารมีให้ตัวเองเพื่อหนีวิบากกรรม]
nateetap พิมพ์ว่า:
ความหมายของคำว่า บาปกับบุญ ใช้อะไรเป็นที่ตั้งหรือยึดเหนี่ยวกันหรอครับ ผมอยากเข้าใจให้มากกว่านี้  

ในความคิดของผมคนสมัยก่อนเลือกที่จะนำความเชื่อและศาสนาเข้ามาจัดระเบียบสังคมไม่ให้เกิดความวุ่นวายดั่งนั้นการทำดีก็คือการทำในสิ่งที่ควรทำ ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ไม่เดือดร้อนสังคมทำชั่วคือการทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ทำให้สังคมเดือดร้อนวุ่นวาย มันคือการจัดระเบียบสังคมอย่างหนึ่งทั้งยังเป็นการยกระดับจิตใจไปในตัวด้วย คำว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วมันเป็นผลของการกระทำเราไม่สารถปลูกส้มได้มะม่วงเว้นแต่ปลู้กถั่วเขียวได้หรอกครับ ส่วนเรื่องบาปกับบุญสำหรับผมมันคือความรู้สึกครับบุญคือความสบายใจ บาปคือความไม่สบายใจ เวลาทำอะไรดีๆแล้วก็จะได้ความสบายใจความสุขนั่นแหละคือบุญของผม เวลาเราทำชั่วเช่นขโมยเงินใครสักคนถึงจะไม่มีใครรู้ใครเห็นแต่เราก็รู้สึกผิดลึกๆในใจมีความระแวงว่าจะโดนจับได้รึเปล่าเกิดความไม่สบายใจความทุกข์ขึ้นแก่เรานั่นแหละคือบาป และนี้คือความคิดของผมซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ศึกษาหลักธรรมเจาะลึกอะไรนะครับ
-*- เชียร์มาดริดและลิเวอร์พูล

เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 10348
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jul 14, 2017 4:38 am
[RE: เร่งสร้างบุญบารมีให้ตัวเองเพื่อหนีวิบากกรรม]
ทุกวันนี้คนเรายังเข้าใจคำว่าธรรมมะแบบผิดๆ จึงเกิดความเชื่อที่ไม่ถูกต้องนัก อย่าว่าแต่
ฆราวาสเลย แม้แต่พระสงค์ก็เถอะถ้าไม่ได้เรียนรู้แก่นแท้ของพระธรรม ก็ทำผิดได้เหมือนกัน
0
0
เข้าร่วม: 05 Dec 2016
ตอบ: 9026
ที่อยู่: กลางสนาม
โพสเมื่อ: Fri Jul 14, 2017 4:45 am
[RE: เร่งสร้างบุญบารมีให้ตัวเองเพื่อหนีวิบากกรรม]
โคโค่โค่เค่ห์เย่ส์ พิมพ์ว่า:
ผมไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมคนทำบุญในไทยขยันบริจาคเงินวัดเพื่อสร้างๆๆทั้งๆที่พระพุทธเจ้าท่านละๆๆๆ ออกจากเมืองไปวิเวกอยู่ป่า  

ลองคิดในมุมผมละ
ศาสนาพุทธประกอบด้วยสามสิ่ง
พระพุทธ
พระธรรม
พระสงฆ์

ผู้รักษาพระพุทธ คือ ผู้ที่นับถือศาสนาพุทธ
ผู้รักษาพระธรรม คือ พระสงฆ์ และ ผู้ศึกษาพระไตรปิฎก
ผู้รักษาพระสงฆ์ คือ พุทธศาสนิกชน ถ้าไม่มีพุทธศาสนิกชน พระสงฆ์ก็อยู่ไม่ได้

วัดคือสถานที่ที่ พระสงฆ์ มาเผยแพร่ธรรมะให้แก่ พุทธศาสนิกชน และเป็นที่อาศัยของพระสงฆ๋
พระสงฆ์มีหลายระดับ ไม่ใช่ว่าบวชพระแล้ว จะเป็นพระได้ทันที ต้องฝีกฝน ต้องเรียนรู้อะไรอีกมากมาย
วัดจึงเป็นเหมือนสถานอนุบาล สำหรับ พระพึ่งบวชใหม่
แล้วไม่ใช่ว่าพระทุกรูป จะสามารถบรรลุอรหันต์ได้ แล้วถ้าจะให้แต่พระอรหันต์เท่านั้นที่สามารถสอนศาสนา
อัตราส่วนระหว่างคนสอน กับ คนเรียน จะแตกต่างกันอย่างมหาศาล

การที่เรามีพระ นั้นหมายถึง เรามีช่องทางเพิ่มขึ้น ที่จะให้มนุษย์เข้าถึงศาสนาพุทธ
การสร้างวัด ก็หมายถึง การสร้างจุดเผยแพร่ทางหลุดพ้นมากขึ้น

แต่สมัยนี้ มันมีบุคคลที่อาศัยศาสนาเป็นเครื่องมือ เราจึงจำเป็นต้องแยกให้ออก
ว่าใครคือพระแท้ ใครคือพระเทียม

ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเอง ถ้าพระสงฆ์ปลีกวิเวกกันหมด แล้วใครจะมาเผยแพร่ศาสนา
พระสงฆ์ที่ปลีกวิเวก เป็นพระที่เห็นแก่ตัวหรือไม่
พระสงฆ์ที่จำวัดอยู่ในเมือง แต่เผยแพร่ศาสนาทุกวัน เป็นพระที่น่านับถือพอๆกับพระที่ปลีกวิเวกหรือไม่

มาถึงเรื่องวัด ผมถามว่า เมรเผาศพ ควรอยู่่ในวัดหรือไม่ การเผาศพ เป็นกิจของสงฆ์หรือไม่

สมัยนี้ศาสนามันผิดเพี้ยนไปเยอะ การมองศาสนาพุทธของคนไทย ก็ถูกดึงเข้าไปปนกับพราหม์มั่วไปหมด

การที่คุณสงสัย มันไม่ผิด แต่มันจะผิด ถ้าคุณไม่คิดหาคำตอบ
เข้าร่วม: 05 Dec 2016
ตอบ: 9026
ที่อยู่: กลางสนาม
โพสเมื่อ: Fri Jul 14, 2017 4:48 am
[RE: เร่งสร้างบุญบารมีให้ตัวเองเพื่อหนีวิบากกรรม]
nateetap พิมพ์ว่า:
แล้วความจำกัดความ คำว่าทำดีคือได้บุญ ทำไม่ดีคือได้บาป ผมมองว่าเราจำกัดความคำว่าทำดีกับทำไม่ดีเกินไปนะครับ  

คำว่าบุญ กับ บาป
ตามความเข้าใจของผมนะ

บุญ คือสิ่งที่ทำแล้วเกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะต่อตัวเราเอง หรือ ต่อผู้อื่น
บาป คือสิ่งที่ทำแล้วเกิดโทษ ไม่ว่าจะต่อตัวเราเอง หรือ ต่อผู้อื่น

อย่าเอาคำว่าดี กับ ไม่ดี มาจำกัดความบุญ กับ บาป เพราะคำว่าดี และ ไม่ดี แต่ละคนนิยามไม่เหมือนกัน

เข้าร่วม: 19 Jan 2007
ตอบ: 7715
ที่อยู่: Carrington & Old Trafford
โพสเมื่อ: Fri Jul 14, 2017 5:01 am
[RE: เร่งสร้างบุญบารมีให้ตัวเองเพื่อหนีวิบากกรรม]
ผมอยากรู้มากเลยว่าบุญกับบาปนี้ใครเป็นคนให้
0
0
No.1 of EPL Glory Glory MUTD

เข้าร่วม: 05 Dec 2015
ตอบ: 123
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jul 14, 2017 5:20 am
[RE: เร่งสร้างบุญบารมีให้ตัวเองเพื่อหนีวิบากกรรม]
Fatherblesss พิมพ์ว่า:
nateetap พิมพ์ว่า:
แล้วความจำกัดความ คำว่าทำดีคือได้บุญ ทำไม่ดีคือได้บาป ผมมองว่าเราจำกัดความคำว่าทำดีกับทำไม่ดีเกินไปนะครับ  

คำว่าบุญ กับ บาป
ตามความเข้าใจของผมนะ

บุญ คือสิ่งที่ทำแล้วเกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะต่อตัวเราเอง หรือ ต่อผู้อื่น
บาป คือสิ่งที่ทำแล้วเกิดโทษ ไม่ว่าจะต่อตัวเราเอง หรือ ต่อผู้อื่น

อย่าเอาคำว่าดี กับ ไม่ดี มาจำกัดความบุญ กับ บาป เพราะคำว่าดี และ ไม่ดี แต่ละคนนิยามไม่เหมือนกัน

 

ในความเห็นส่วนตัวผมมองว่า บุญ คือ สภาพที่ทำจิตใจให้สะอาด เช่นเราทำอะไรสักอย่างแล้วเรารู้สึกสบายใจเราก้จะเรียกสิ่งๆนี้ว่า บุญ (งี้ก้ได้หรอ) บาปก้น่าจะตรงกันข้าม ปะมานนี้
ที่ผมพอเข้าใจนะครับ (อย่าเอาคำว่าดี กับ ไม่ดี มาจำกัดความบุญ กับ บาป เพราะคำว่าดี และ ไม่ดี แต่ละคนนิยามไม่เหมือนกัน)ผมก้คิดเหมือนคุณเลย
0
0
เข้าร่วม: 05 Dec 2015
ตอบ: 123
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jul 14, 2017 5:28 am
[RE: เร่งสร้างบุญบารมีให้ตัวเองเพื่อหนีวิบากกรรม]
ฟรุกโตส พิมพ์ว่า:
nateetap พิมพ์ว่า:
ความหมายของคำว่า บาปกับบุญ ใช้อะไรเป็นที่ตั้งหรือยึดเหนี่ยวกันหรอครับ ผมอยากเข้าใจให้มากกว่านี้  

ในความคิดของผมคนสมัยก่อนเลือกที่จะนำความเชื่อและศาสนาเข้ามาจัดระเบียบสังคมไม่ให้เกิดความวุ่นวายดั่งนั้นการทำดีก็คือการทำในสิ่งที่ควรทำ ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ไม่เดือดร้อนสังคมทำชั่วคือการทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ทำให้สังคมเดือดร้อนวุ่นวาย มันคือการจัดระเบียบสังคมอย่างหนึ่งทั้งยังเป็นการยกระดับจิตใจไปในตัวด้วย คำว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วมันเป็นผลของการกระทำเราไม่สารถปลูกส้มได้มะม่วงเว้นแต่ปลู้กถั่วเขียวได้หรอกครับ ส่วนเรื่องบาปกับบุญสำหรับผมมันคือความรู้สึกครับบุญคือความสบายใจ บาปคือความไม่สบายใจ เวลาทำอะไรดีๆแล้วก็จะได้ความสบายใจความสุขนั่นแหละคือบุญของผม เวลาเราทำชั่วเช่นขโมยเงินใครสักคนถึงจะไม่มีใครรู้ใครเห็นแต่เราก็รู้สึกผิดลึกๆในใจมีความระแวงว่าจะโดนจับได้รึเปล่าเกิดความไม่สบายใจความทุกข์ขึ้นแก่เรานั่นแหละคือบาป และนี้คือความคิดของผมซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ศึกษาหลักธรรมเจาะลึกอะไรนะครับ  

ผมชอบความเห็นคุณนะ แต่ในความคิดส่วนตัวผม ในสมัยก่อนเค้าเอาศาสนามาใช้แทนกฏหมายเพราะสมัยก่อนยังไม่มีกฏหมาย (และนี้คือความคิดของผมซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ศึกษาหลักธรรมเจาะลึก)เจาะลึกในมี่นี้ คุณตีค่าคำว่าลุกของคุณไว้แค่ไหนหรอครับ
0
0
เข้าร่วม: 05 Dec 2015
ตอบ: 123
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jul 14, 2017 5:29 am
[RE: เร่งสร้างบุญบารมีให้ตัวเองเพื่อหนีวิบากกรรม]
keenureeves พิมพ์ว่า:
ผมอยากรู้มากเลยว่าบุญกับบาปนี้ใครเป็นคนให้  

ตัวเราเองเป็นคนกำหนด บาปกับบุญมากกว่า อันนี้ความเห็นส่วนตัวผมนะ
0
0
เข้าร่วม: 05 Dec 2016
ตอบ: 9026
ที่อยู่: กลางสนาม
โพสเมื่อ: Fri Jul 14, 2017 5:41 am
[RE: เร่งสร้างบุญบารมีให้ตัวเองเพื่อหนีวิบากกรรม]
nateetap พิมพ์ว่า:
Fatherblesss พิมพ์ว่า:
nateetap พิมพ์ว่า:
แล้วความจำกัดความ คำว่าทำดีคือได้บุญ ทำไม่ดีคือได้บาป ผมมองว่าเราจำกัดความคำว่าทำดีกับทำไม่ดีเกินไปนะครับ  

คำว่าบุญ กับ บาป
ตามความเข้าใจของผมนะ

บุญ คือสิ่งที่ทำแล้วเกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะต่อตัวเราเอง หรือ ต่อผู้อื่น
บาป คือสิ่งที่ทำแล้วเกิดโทษ ไม่ว่าจะต่อตัวเราเอง หรือ ต่อผู้อื่น

อย่าเอาคำว่าดี กับ ไม่ดี มาจำกัดความบุญ กับ บาป เพราะคำว่าดี และ ไม่ดี แต่ละคนนิยามไม่เหมือนกัน

 

ในความเห็นส่วนตัวผมมองว่า บุญ คือ สภาพที่ทำจิตใจให้สะอาด เช่นเราทำอะไรสักอย่างแล้วเรารู้สึกสบายใจเราก้จะเรียกสิ่งๆนี้ว่า บุญ (งี้ก้ได้หรอ) บาปก้น่าจะตรงกันข้าม ปะมานนี้
ที่ผมพอเข้าใจนะครับ (อย่าเอาคำว่าดี กับ ไม่ดี มาจำกัดความบุญ กับ บาป เพราะคำว่าดี และ ไม่ดี แต่ละคนนิยามไม่เหมือนกัน)ผมก้คิดเหมือนคุณเลย  

ทำแล้วดีต่อใจเรา นั่นบุญก็เกิดที่เรา
ถ้าเราทำแล้วดีต่อใจคนอื่น บุญก็เกิดที่ใจคนอื่น สิ่งที่เราได้ก็คือ ความปรารถนาดีของคนอื่นต่อตัวเรา
ถ้าเราทำแล้วดีต่อสังคม บุญก็เกิดขึ้นที่สังคม สิ่งที่เราได้ก็คือ สังคมปรารถนาดีต่อตัวเรา

ถ้าสรุปง่ายๆ บุญคือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วทำให้เราชอบใจ บาป ก็ตรงกันข้าม ผมคิดแบบนั้นนะ
เข้าร่วม: 05 Dec 2016
ตอบ: 9026
ที่อยู่: กลางสนาม
โพสเมื่อ: Fri Jul 14, 2017 5:45 am
[RE: เร่งสร้างบุญบารมีให้ตัวเองเพื่อหนีวิบากกรรม]
keenureeves พิมพ์ว่า:
ผมอยากรู้มากเลยว่าบุญกับบาปนี้ใครเป็นคนให้  

ศาสนาพุทธ จะแตกต่างจากศาสนาอื่นตรงที่ ศาสนาพุทธ ไม่ใช่ผู้สร้าง
แต่ศาสนาพุทธคือผู้เปิดเผยความลับของธรรมชาติ

บาป และ บุญ คือกลไกของธรรมชาติ เช่น คุณไปตีหัวคนอื่น(บาป) คนอื่นก็มาตีหัวคุณคืน(กรรมชั่ว)
คุณเลี้ยงข้าวเพื่อน(บุญ) เพื่อนเลี้ยงข้าวคุณคืน(กรรมดี)

แต่กลไกของบาปบุญมันซับซ้อนกว่านี้เยอะ ด้วยบาปบุญที่เราทำมันซับซ้อนยิ่งขึ้น
ถ้าจะให้อธิบายละเอียดตามที่ผมเข้าใจ โควทมาอีกทีละกัน จะได้ทราบว่าคุณอยากรู้มัน
เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 509
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jul 14, 2017 5:55 am
[RE: เร่งสร้างบุญบารมีให้ตัวเองเพื่อหนีวิบากกรรม]
เรียนปรัชญาสิ ถึงแก่น
เรียนจบปุ๊บ ละทิ้งศาสนาปั๊บ
0
0
เข้าร่วม: 28 Oct 2013
ตอบ: 8987
ที่อยู่: ตู้เพลง
โพสเมื่อ: Fri Jul 14, 2017 9:28 am
[RE: เร่งสร้างบุญบารมีให้ตัวเองเพื่อหนีวิบากกรรม]
Fatherblesss พิมพ์ว่า:
nateetap พิมพ์ว่า:
Fatherblesss พิมพ์ว่า:
nateetap พิมพ์ว่า:
แล้วความจำกัดความ คำว่าทำดีคือได้บุญ ทำไม่ดีคือได้บาป ผมมองว่าเราจำกัดความคำว่าทำดีกับทำไม่ดีเกินไปนะครับ  

คำว่าบุญ กับ บาป
ตามความเข้าใจของผมนะ

บุญ คือสิ่งที่ทำแล้วเกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะต่อตัวเราเอง หรือ ต่อผู้อื่น
บาป คือสิ่งที่ทำแล้วเกิดโทษ ไม่ว่าจะต่อตัวเราเอง หรือ ต่อผู้อื่น

อย่าเอาคำว่าดี กับ ไม่ดี มาจำกัดความบุญ กับ บาป เพราะคำว่าดี และ ไม่ดี แต่ละคนนิยามไม่เหมือนกัน

 

ในความเห็นส่วนตัวผมมองว่า บุญ คือ สภาพที่ทำจิตใจให้สะอาด เช่นเราทำอะไรสักอย่างแล้วเรารู้สึกสบายใจเราก้จะเรียกสิ่งๆนี้ว่า บุญ (งี้ก้ได้หรอ) บาปก้น่าจะตรงกันข้าม ปะมานนี้
ที่ผมพอเข้าใจนะครับ (อย่าเอาคำว่าดี กับ ไม่ดี มาจำกัดความบุญ กับ บาป เพราะคำว่าดี และ ไม่ดี แต่ละคนนิยามไม่เหมือนกัน)ผมก้คิดเหมือนคุณเลย  

ทำแล้วดีต่อใจเรา นั่นบุญก็เกิดที่เรา
ถ้าเราทำแล้วดีต่อใจคนอื่น บุญก็เกิดที่ใจคนอื่น สิ่งที่เราได้ก็คือ ความปรารถนาดีของคนอื่นต่อตัวเรา
ถ้าเราทำแล้วดีต่อสังคม บุญก็เกิดขึ้นที่สังคม สิ่งที่เราได้ก็คือ สังคมปรารถนาดีต่อตัวเรา

ถ้าสรุปง่ายๆ บุญคือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วทำให้เราชอบใจ บาป ก็ตรงกันข้าม ผมคิดแบบนั้นนะ  


ผมหมายถึงสิ่งก่อสร้างที่อลังการไรแบบนี้อ่าคับ.ปกติพระควรกินง่ายอยู่ง่ายเพื่อฝึกตน เพื่อละ ความจริงแค่กุฏิหลังง่ายๆไว้นอน ไว้นั่งสมาธิก็เพียงพอแล้ว แต่เท่าที่เห็นสร้างนู่นสร้างนี่เยอะแยะเลย ศาสนาพุทธที่แท้ไม่ได้เน้นการสร้างอะไรเยอะ เน้นที่จิตใจล้วนๆ
0
0
เข้าร่วม: 04 Nov 2014
ตอบ: 5868
ที่อยู่: Soccersuck FC.
โพสเมื่อ: Fri Jul 14, 2017 10:35 am
[RE]เร่งสร้างบุญบารมีให้ตัวเองเพื่อหนีวิบากกรรม
โคโค่โค่เค่ห์เย่ส์ พิมพ์ว่า:
Fatherblesss พิมพ์ว่า:
nateetap พิมพ์ว่า:
Fatherblesss พิมพ์ว่า:
nateetap พิมพ์ว่า:
แล้วความจำกัดความ คำว่าทำดีคือได้บุญ ทำไม่ดีคือได้บาป ผมมองว่าเราจำกัดความคำว่าทำดีกับทำไม่ดีเกินไปนะครับ  

คำว่าบุญ กับ บาป
ตามความเข้าใจของผมนะ

บุญ คือสิ่งที่ทำแล้วเกิดประโยชน์ ไม่ว่าจะต่อตัวเราเอง หรือ ต่อผู้อื่น
บาป คือสิ่งที่ทำแล้วเกิดโทษ ไม่ว่าจะต่อตัวเราเอง หรือ ต่อผู้อื่น

อย่าเอาคำว่าดี กับ ไม่ดี มาจำกัดความบุญ กับ บาป เพราะคำว่าดี และ ไม่ดี แต่ละคนนิยามไม่เหมือนกัน

 

ในความเห็นส่วนตัวผมมองว่า บุญ คือ สภาพที่ทำจิตใจให้สะอาด เช่นเราทำอะไรสักอย่างแล้วเรารู้สึกสบายใจเราก้จะเรียกสิ่งๆนี้ว่า บุญ (งี้ก้ได้หรอ) บาปก้น่าจะตรงกันข้าม ปะมานนี้
ที่ผมพอเข้าใจนะครับ (อย่าเอาคำว่าดี กับ ไม่ดี มาจำกัดความบุญ กับ บาป เพราะคำว่าดี และ ไม่ดี แต่ละคนนิยามไม่เหมือนกัน)ผมก้คิดเหมือนคุณเลย  

ทำแล้วดีต่อใจเรา นั่นบุญก็เกิดที่เรา
ถ้าเราทำแล้วดีต่อใจคนอื่น บุญก็เกิดที่ใจคนอื่น สิ่งที่เราได้ก็คือ ความปรารถนาดีของคนอื่นต่อตัวเรา
ถ้าเราทำแล้วดีต่อสังคม บุญก็เกิดขึ้นที่สังคม สิ่งที่เราได้ก็คือ สังคมปรารถนาดีต่อตัวเรา

ถ้าสรุปง่ายๆ บุญคือสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วทำให้เราชอบใจ บาป ก็ตรงกันข้าม ผมคิดแบบนั้นนะ  


ผมหมายถึงสิ่งก่อสร้างที่อลังการไรแบบนี้อ่าคับ.ปกติพระควรกินง่ายอยู่ง่ายเพื่อฝึกตน เพื่อละ ความจริงแค่กุฏิหลังง่ายๆไว้นอน ไว้นั่งสมาธิก็เพียงพอแล้ว แต่เท่าที่เห็นสร้างนู่นสร้างนี่เยอะแยะเลย ศาสนาพุทธที่แท้ไม่ได้เน้นการสร้างอะไรเยอะ เน้นที่จิตใจล้วนๆ  


สิ่งก่อสร้างบางที่เราว่าเกิดจากศรัทธาของผู้สร้างบริจาคนะ

ต่างจังหวัดเห็นเยอะอยู่ที่นิยมบริจาคสร้างให้ หรือวัดที่ทางสำนักพระราชวังโปรดให้สร้าง

อันนี้เราว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่ไม่ดีอะไร แล้วถ้าผู้บริจาคไม่ได้คิดถึงผลที่ได้กับตัวเอง ก็นับได้ว่าน่านับถือมาก

กับอีกส่วนคือวัดสร้าง เปิดโครงการรับบริจาคเอง อยากได้วัดอลังๆ โฆษณาว่ายิ่งให้ชาติหน้ายิ่งรวย เหมือนขายบุญ แบบนี้เราก็ว่าผิดจากแก่น เพราะไม่ได้ละกิเลสเลย

บางวัดหวังเงินจากการรับบริจาคโครงการใหญ่ๆด้วยซ้ำ อย่างวัดใกล้ๆโรงเรียนผมสมัยเด็ก ทุบ สร้าง ทุบ สร้างใหม่บ่อยมาก อลังขึ้นเรื่อยๆ สร้างเสร็จใช้ประมาณครึ่งปีก็ทุบแล้ว ไอแบบนี้มองก็รู้ว่าหวังเงินบริจาค พระแม่งดูจากแกดเจ็ตรวยกว่ากูอีก อยากจะด่าเป็นคำต้องห้ามเว็บเหลือเกินแต่กลัวโดนแบน

ออกตัวก่อนผมไม่เชื่อเรื่องชาติภพบาบบุญอะไรนะ ไม่อยากพูดว่านับถือศาสนาพุทธซะด้วยซ้ำ แต่เป็นแบบนั้นเพราะภาพลักษณ์ของตัวบุคลากร(พระสงฆ์)เสียมากกว่า แต่หลักธรรมคำสอนหลายอย่างก็เห็นว่าถ้านำมาปฏิบัติได้ มันก่อให้เกิดประโยชน์ ไม่ได้ต่อต้านอะไรนะ
เข้าร่วม: 14 Oct 2010
ตอบ: 448
ที่อยู่: เลวานดี้มหัศจรรย์จุงเบย!
โพสเมื่อ: Fri Jul 14, 2017 11:02 am
[RE: เร่งสร้างบุญบารมีให้ตัวเองเพื่อหนีวิบากกรรม]
ไม้1ต้นย่อทประกอบไปด้วย ราก ใบ เปลือก กระพี้ แก่น

ไม้นั้นหากมีเฉพาะแก่น ท่านคิดว่ามันจะรอดได้ไหม?

ผู้ศึกษาพระศาสนาควรรู้ให้จริงทั้งส่วนหยาบและละเอียด

ราก คือ ศรัทธา
ใบ คือ ความรู้
เปลือก คือ ศีล
กระพี้ คือ สมาธิ
แก่น คือ ปัญญา

องค์ประกอบทั้งหมดจะเติบโตได้ด้วยการรดน้ำให้ปุ๋ย

การบำรุง คือ การลงมือปฏิบัติจริง

ทุกอย่างเริ่มต้นที่การมีสติ รู้ลมเข้าลมออก
เมื่อรู้ตัวก็ไม่หลงไม่ลืมตัว แล้วจะค่อยมีปัญญา
ปัญญาจะแหลมคมตามระดับ ศีล สมาธิ ที่มากขึ้น

สมัยครั้งพุทธกาลผู้จะสอนธรรมได้ต้องเป็นพระอริยเจ้าขั้นโสดาบันเป็นอย่างน้อย พระโสดาบันมีศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิเป็นฌานคือทรงตัวไม่โอนเอน มีปัญญาคือไม่ลืมความตายทุกลมหายใจ

ในสมัยนั้นวิหารทานต่างๆก็สร้างด้วยศรัทธาอันยิ่งใหญ่ ความอลังการนั้นมีมากกว่าสมัยนี้มาก ดังนั้นถ้าปัจจุบันจะเห็นบางที่ทำกันอย่างใหญ่โตจึงมิได้ผิดแผกไปจากอดีตเลย ส่วนเจตนาของผู้สร้างจะบริสุทธิเพียงใดอันนี้ก็พึงพิจารณาด้วยตนเอง

ทุกสังคมวงงานล้วนแล้วแต่ผสมปนกันไปด้วยคนดีและคนไม่ดี สังคมพระสงฆ์ก็เช่นกัน สมมุติสงฆ์ผู้มีนิสัยอันเลวก็มีมาแล้วตั้งแต่ครั้งพุทธกาล หากแต่พระศาสนาก็ยังคงอยู่ได้เพราะคนที่ตั้งใจปฏิบัติดีนั้นยังมีอยู่มากมาย
0
0

ป๋าชูอาร์แซนเวนเกอร์มหัศจรรย์จุงเบย!
เข้าร่วม: 01 Jan 2010
ตอบ: 295
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Jul 14, 2017 10:52 pm
[RE: เร่งสร้างบุญบารมีให้ตัวเองเพื่อหนีวิบากกรรม]
ทำกรรมดีได้กรรมดี ทำกรรมชั่วได้กรรมชั่ว
ทำกรรมดี คือตัวเองและผู้อื่นไม่เดือดร้อน ไม่มีใครเดือดร้อนจากการกระทำนั้น
ทำกรรมชั่ว คือตัวเองหรือมีผู้อื่นเดือดร้อน ถ้ามี่ใครอย่างน้อยหนึ่งคนขึ้นไปเดือดร้อน ก็เป็นกรรมไม่ดี หรือกรรมชั่ว
ถ้าไม่รู้ว่าทำกรรมดี ทำอย่างไร พระพุทธเจ้าก็กำหนดมาให้แล้ว พื้นฐานของการทำกรรมดี 5ข้อ คือ
เว้นจากการเบียดเบียนหรือฆ่าสัตว์ เว้นจากการลักทรัพย์ เว้นจากการพูดปรดพูดโกหก เว้นจากการประพฤติผิดในกาม เว้นจากการดื่มหรือเสพของเมา แค่5ข้อนี้ ถ้าทุกคนบนโลกทำได้หมด ก็ทำให้สังคมโลกสงบสุขแล้วครับ มันคือผลของการทำกรรมดีกันทุกคน แต่ความจริงคือ น้อยคนที่ทำได้5ข้อทั้งหมด สังคมโลกเราถึงไม่สงบสุข
บางคนไม่เชื่อเรื่องชาติภพ บางคนไม่เชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ
ทำกรรมดีแล้วได้อะไร สรุปคือไม่ต้องเชื่อเรื่องที่สัมผัสไม่ได้ทั้งนั้น ไม่ต้องเชื่อ เอาที่สัมผัสได้เลย คือทำกรรมดีหรือทำดีหรือทำตามศีล5ข้อนั้นได้ ก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ถ้าทำได้ทุกคน โลกก็สงบสุข อันนี้สัมผัสได้เลย
0
0