สมมติว่าผ่านจริง เพดานจะอยู่ที่เท่าไหร่ 300,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์เหรอ ในเมื่อตอนนี้มีคนได้เรทนั้นอยู่ คงไม่ยอมลดง่ายๆ  

ถ้าทำได้ก็ดีครับ เอาตัวอย่างจาก NBA มาวิเคราะห์ข้อดีข้อเสีย ถ้าไม่กำหนดเลย

ไม่แน่ในอนาคตอาจเห็นตัวเลข 1M/week ก็เป็นได้ เพราะพี่จีนเงินหนาเหลือเกิน

หาก NBA เพดานต่อปีอยู่ที่ 100 ล้านเหรียญ/ปี ฟุตบอลอาจกำหนดต่อปี 150-200 ล้าน/ปี

เพราะขนาดทีมและผู้เล่นที่มีมากกว่า NBA

ล่าสุด Curry เพิ่งได้สัญญาประวัติศาสตร์ NBA Super Max 200 ล้าน/5 ปี ผู้เล่นคนอื่นๆในทีมต้องยอมได้รับเงินน้อยลง เช่น Livington , KD เพื่อเก็บผู้เล่นในทีมให้อยู่ต่อ

เพื่อไม่ให้เกิน Cap ข้อดีคือ ในทีมๆนึงจะได้ไม่มีปีศาจมารวมตัวกันมากจนเกินไป เป็นมหาอำนาจอยู่ทีมๆเดียว เพราะ ค่าจ้างแต่ละคนนั้นรวมกันเกิน Cap แน่ๆ





 

ถ้ากำหนดควรเป็น%จากรายรับนะ เพราะกำหนดเป็นรูปตัวเงินมันจะไม่แปรผันตามเงินเฟ้อ
ส่วนไอเรื่องความเหลื่อมล้ำมันเกิดจากรายรับมากกว่า  

สมมติว่าผ่านจริง เพดานจะอยู่ที่เท่าไหร่ 300,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์เหรอ ในเมื่อตอนนี้มีคนได้เรทนั้นอยู่ คงไม่ยอมลดง่ายๆ  

ทำไมผมมองว่าการจำกัดเพดานค่าเหนื่อยไม่ใช่ต้นตอนะ
ผมมองว่า การกระจายหลายได้ต่างหากที่เป็นส่วนสำคัญ ลีกอื่นนอกพรีเมียร์ รายได้กระจุกอยู่กับทีมใหญ่ๆ แทนที่จะกระจายรายได้ให้ทุกทีมสามารถแข่งขันกันได้  

ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด "ยูฟ่า" คือเฉพาะทีมในลีคยุโรปนะครับ ถ้านอกยุโรปจะมีชื่อเรียกตามแต่ละทวีป

เพียงแต่อยู่ภายใต้องค์กรใหญ่เดียวที่เหมือนกันคือ "ฟีฟ่า" ถ้าตามข่าวนี้ จีนไม่น่าจะเกี่ยว

ถ้าเข้าใจไรผิดไปก็ขออภัย

 

ถ้าทำได้ก็ดีครับ เอาตัวอย่างจาก NBA มาวิเคราะห์ข้อดีข้อเสีย ถ้าไม่กำหนดเลย

ไม่แน่ในอนาคตอาจเห็นตัวเลข 1M/week ก็เป็นได้ เพราะพี่จีนเงินหนาเหลือเกิน

หาก NBA เพดานต่อปีอยู่ที่ 100 ล้านเหรียญ/ปี ฟุตบอลอาจกำหนดต่อปี 150-200 ล้าน/ปี

เพราะขนาดทีมและผู้เล่นที่มีมากกว่า NBA

ล่าสุด Curry เพิ่งได้สัญญาประวัติศาสตร์ NBA Super Max 200 ล้าน/5 ปี ผู้เล่นคนอื่นๆในทีมต้องยอมได้รับเงินน้อยลง เช่น Livington , KD เพื่อเก็บผู้เล่นในทีมให้อยู่ต่อ

เพื่อไม่ให้เกิน Cap ข้อดีคือ ในทีมๆนึงจะได้ไม่มีปีศาจมารวมตัวกันมากจนเกินไป เป็นมหาอำนาจอยู่ทีมๆเดียว เพราะ ค่าจ้างแต่ละคนนั้นรวมกันเกิน Cap แน่ๆ