ประสบการณ์เฉียดตาย เมื่อผมเคยรอดคมกระสุนผู้ก่อการร้าย !!
ช่วงนี้เห็นหลายยูสมีเรื่องเล่าสยองขวัญ เลยขอแชร์ประสบการณ์ด้วยคนครับ แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับวินาทีเฉียดตายจากน้ำมือของผู้ก่อความไม่สงบในภาคใต้
เรื่องนี้เกิดขึ้น 12 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมยังเรียนอยู่ชั้น ม.5 ที่โรงเรียนในอำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี บ้านของผมอยู่คนละอำเภอกับโรงเรียน เลยเดินทางไปกลับทุกวันด้วยรถสองแถวรับส่งนักเรียนประจำหมู่บ้าน ระยะทางร่วม 10 กิโลเมตร
วันเกิดเหตุซึ่งผมยังจำได้ดี ตอนนั้นเป็นเวลาที่กำลังนั่งรถจากโรงเรียนกลับบ้าน ในรถมีผมเพื่อนๆ และน้องๆ โดยสารอยู่ร่วม 20 ชีวิต ซึ่งผมและเพื่อนอีก 4 คนยืนโหนอยู่บริเวณท้ายรถ ผมยืนอยู่ตรงกลางมี 2 คนอยู่ทางขวามือ และ 2 คนอยู่ทางซ้ายมือ เหตุการณ์วันนั้นเหมือนไม่มีอะไร แต่ละคนคงจะถึงบ้านแบบปลอดภัย
ในขณะที่รถนักเรียนวิ่งบนถนนซึ่งข้างทางแวดล้อมไปด้วยสวนยางพารา พอถึงสามแยกรถก็เลี้ยวขวา ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเหมือนประทัดแตกใกล้หู ปัง ปัง สองนัด
หลังได้ยินเสียงผมเห็นเพื่อนคนหนึ่งกระโดดลงจากท้ายรถ พร้อมเอามือปิดเลือดที่ไหลออกจากแขนขวา และเพื่อนอีกคนนอนฟุบลงกับเบาะม้านั่ง โดยมีเลือดข้นไหลออกมาจากก้น ผมได้แต่ตกใจสุดขีดแล้วก็ทรุดตัวลงต่ำตามสัญชาตญาณ
พอเหลือบสายตาไปทางข้างหน้ารถ เห็นผู้ก่อการร้ายสองคนซึ่งซ้อนมอไซค์กันมา คนนึงขับคนนึงกำลังเล็งปืนสั้นไปหาคนขับรถ ลุงคนขับรถมีสติพูดเป็นภาษายาวีอย่างใจเย็นว่า ลาแก ลาแก แปลประมาณว่าผิดคนนะๆ (คนขับรถแกพูดยาวีได้) แล้วสองคนนั้นก็ไม่ทำอะไรแก พร้อมกับขี่รถหนีไป ( จริงๆ โจรต้องการยิงรถนักเรียนอีกคันหนึ่ง เพราะคนขับเป็นเจ้าหน้าที่ อสม. แต่เข้าใจผิดเลยมายิงรถที่ผมโดยสาร)
หลังรวบรวมสติได้ผมก็ให้ทุกคนรีบลงจากรถ ส่วนคนขับรถก็รีบพาเพื่อนที่ถูกยิงไปส่งโรงพยาบาล รอประมาณ 10 นาทีก็มีถตำรวจมารับกลับบ้าน
สรุปเพื่อนสองคนที่ถูกยิงเป็นคนที่อยู่ซ้ายมือของผมทั้งสองคน คนนึงโดนกระสุนถากแขนขวา อีกคนถูกกระสุนฝังที่แก้มก้น แต่โชคดีที่ไม่อันตรายถึงชีวิต (ภายหลังผมถามเพื่อนที่ถูกยิงเข้าก้นว่ารู้สึกยังไง มันบอกว่าเหมือนโดนก้อนหินปาถูกก้นแรงๆ)
นับตั้งแต่นั้นมาจนถึงผมจบชั้น ม.6 ก็เปลี่ยนไปโดยสารรถรับส่งนักเรียนคันอื่น เพราะคันเก่าไม่วิ่งอีกแล้ว โดยมีรถตำรวจคอยขับคุมหลังทุกวันทั้งเช้าและเย็น แต่ไม่ไปเส้นทางที่เกิดเหตุอีกเลย
หลังจบชั้นมัธยมผมก็ตัดสินใจเดินทางมาเรียนต่อที่กรุงเทพ ซึ่งพ่อแม่ก็เห็นดีด้วยเพราะอย่างน้อยไม่ต้องเสี่ยงอันตรายแบบนี้อีก จนกระทั่งอยู่ทำงานที่กรุงเทพถึงทุกวันนี้ มีลากลับบ้านบ้างปีละ 2 ครั้ง ตอนกลับครั้งล่าสุดผมลองขับรถผ่านถนนที่เคยถูกลอบยิง รู้สึกว่าข้างทางน่ากลัวกว่าเก่า แต่ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น
อันนี้เป็นข่าวเหตุการณ์นั้นครับ
http://www.manager.co.th/OnlineSection/ViewNews.aspx?NewsID=9480000010703
จบแล้วครับ