25 February 2017 07:46 AM by Zaine_R
จากเทพนิยายสู่บทละครหลังข่าวของ “เลสเตอร์&รานิเอรี่”
ถ้าจะมีพล็อตเรื่องของบทละครสักบทที่สร้างภาคต่อได้อย่างทำร้ายจิตใจคนดู ผมก็จะขอเสนอเรื่องราวจากผืนหญ้าลูกหนังของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้และอดีตกุนซือป้ายแดงที่ชื่อคลาดิโอ รานิเอรี่นี่ล่ะครับ

กุนซืออ่อนภาษาเพิ่งจะสร้างปรากฏการณ์สะเทือนวงการลูกหนังโลก ด้วยการพาทีมอย่าง “จิ้งจอกสยาม” เถลิงขึ้นบัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ ลีกไปในฤดูกาล 2015-16 ทั้งๆที่สถานะของทีมนั้นเอาแค่ให้อยู่รอดบนลีกสูงสุดของอังกฤษนี่ก็หืดจับแล้ว

ไม่ใช่แต่เพียงตัวสโมสรเท่านั้น หากแต่ตัวกุนซืออย่าง รานิเอรี่ เองก็มักจะถูกมองข้ามอยู่เสมอ จากการที่เขายังไม่เคยประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์เลย แม้ว่าจะได้คุมทีมใหญ่อย่าง เชลซี, ยูเวนตุส, โรม่า, อินเตอร์ มิลานหรือบาเลนเซีย เป็นต้น โลดแล่นอยู่บนเส้นทางของการยืนกำกับลูกทีมที่ข้างสนามยาวนานเกือบ 30 ปี จนสุดท้ายก็มาทำฝันได้สำเร็จบนเกาะอังกฤษกับทีมที่มีเจ้าของเป็นคนไทยเหมือนเช่นเราๆนี่เอง

หลายต่อหลายคนได้เปรียบเปรยความสำเร็จของ เลสเตอร์ ว่าเป็นดั่งเทพนิยายที่แทบจะไม่มีทางเป็นจริง แต่ก็เกิดขึ้นได้จากการนำทัพของกุนซือชาวอิตาลี ไหนจะเรื่องราวอันน่าทึ่งของศูนย์หน้าตัวเก่งของทีมอย่างเจมี่ วาร์ดี้ที่เมื่อไม่กี่ปีก่อนยังเล่นให้กับทีมนอกลีกอยู่เลย แต่กลับซัดไปถึง 24 ลูกให้ต้นสังกัดเมื่อฤดูกาลที่แล้ว

เรื่องราวของ เลสเตอร์ มีแต่ความงดงามและน่าทึ่ง จนแทบจะไม่มีใครคาดคิดเลยว่า ทุกอย่างจะกลับตาลปัตร เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าในฤดูกาลต่อมา

เมื่อกุนซือผู้ที่นำพวกเขาคว้าแชมป์ประวัติศาสตร์ครั้งแรกของสโมสร นับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งเมื่อ 132 ปีที่แล้ว ด้วยถ้วยใบใหญ่ที่สุดในลีกผู้ดี กลับถูกปลดออกจากตำแหน่ง …

รานิเอรี่ สังเวยผลงานอันย่ำแย่ของทีมที่ผ่านมาแล้ว 25 เกม ชนะแค่ 5 เสมอ 6 และแพ้ไปถึง 14 เกมด้วยกัน ทำให้หล่นไปอยู่อันดับที่ 17 เหนือโซนตกชั้นเพียงแค่คะแนนเดียวและตั้งแต่เข้าปี 2017 มา ลงเล่น 6 เกม ยิงใครไม่ได้เลยและแพ้ไปถึง 5 เกมด้วยกัน

เอาว่าน่าตกใจสุดๆไปเลยนะครับ …

จริงๆผมเชื่อว่าหลายคนเองไม่ได้คาดหวังว่าทาง “จิ้งจอกสยาม” จะรักษาฟอร์มการเล่นระดับเทพนิยายของพวกเขาเอาไว้ได้ แต่คงไม่มีใครคิดว่ามันจะหนักหนาขนาดนี้ ถึงขนาดที่ว่าถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปอยู่ล่ะก็ ตกชั้นแบบไม่ต้องสงสัยเลย !

ขณะที่ทีมลุ้นหนีตกชั้นอีกหลายๆทีมเริ่มหายใจหายคอเก็บแต้มกันได้บ้าง แม้จะประปราย แต่ก็ยังสำคัญ ผิดกับ เลสเตอร์ ที่นับวันจะถอยหลังลงคลองแบบไร้ซึ่งเหตุและผลใดๆ

แต่มันก็ไม่เชิงว่าจะไม่มีสาเหตุซะทีเดียวนะครับ

ว่ากันตามตรง ถ้าเทียบคุณภาพของผู้เล่นแล้วนั้น เลสเตอร์ ย่อมจัดอยู่ในประเภททีมที่แค่เอาให้อยู่รอดในพรีเมียร์ ลีกก็พอ เพียงแต่ความลงตัวและสัดส่วนเล็กๆน้อยๆที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นภาพใหญ่จนทำให้พวกเขาสร้างปรากฏการณ์ได้เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งนั่นหมายรวมถึง แท็คติกของ รานิเอรี่, ฟอร์มการถล่มประตูของวาร์ดี้และการเล่นอันยอดเยี่ยมของทั้งริยาร์ด มาร์เรซและเอ็นโกโล่ ก็องเต้ด้วยเช่นกัน

แน่นอนว่าไม่มีใครมาลบล้างความยอดเยี่ยมที่เกิดขึ้นได้ แต่อย่างที่รู้กันว่ามันไม่ได้หยั่งยืน มิหนำซ้ำยังมี side effect เกิดขึ้นอีกด้วย

ทั้งระดับของนักเตะ สโมสรและกุนซือของทีม “จิ้งจอกสยาม” ไม่ได้อยู่ในจุดที่พร้อมรับมือกับการปรับตัวให้เหมาะสมหลังจากคว้าแชมป์ ก็แน่ล่ะ เลยทำให้มีผลกระทบบางอย่างเกิดขึ้น

สำหรับตัวสโมสร ก็อย่างที่โจเซ่ มูริญโญ่กุนซือของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดให้สัมภาษณ์ไว้นั่นแหละครับว่า รานิเอรี่ ได้หยิบยื่นเอา “จุดสูงสุด” ในความสำเร็จให้แก่ทีมไปแล้ว ทำให้ไม่ว่าผลงานจะออกมาอย่างไร มันย่อมก่อให้เห็นภาพในด้านลบและยิ่งลบขึ้นไปอีกเมื่อทำให้เกิดความรู้สึกที่ว่า “ทีมแชมป์เก่ากำลังจะตกชั้น” สโมสรจึงมีคำสั่งช็อกแฟนบอลออกมา

ขณะที่ตัว รานิเอรี่ แม้ว่าจะมีประสบการณ์มากมาย แต่ก็อย่างที่แจ้งไปว่าเขาเองไม่เคยสัมผัสถ้วยแชมป์ระดับเมเจอร์มาก่อนเลย อาจจะมีการตัดสินใจที่ผิดพลาดจากความคิดที่ “ซับซ้อน” มากขึ้นว่าจะเล่นยังไง ทำแบบไหน ถึงจะพาทีมให้เดินไปถูกที่ถูกทาง ไม่เสียสมาธิจากอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นในอดีต ถ้าจะให้ยกตัวอย่างก็คงเป็นคำพูดของราฟาเอล เบนิเตซอดีตกุนซือลิเวอร์พูลที่เคยเผยว่า เขาถูกกับดักแห่งความสำเร็จเล่นงานอย่างจึง หลังพาต้นสังกัดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีกเมื่อ ปี 2005 จนสุดท้ายทีมลุ่มๆดอนๆและเจ้าตัวก็ต้องถูกปลดจากตำแหน่งไป

และถ้านั่นเป็นเรื่องจริง มันก็มีมูลที่มีข่าวว่า นักเตะระดับแกนนำของทีมไม่พอใจกุนซืออ่อนภาษาที่ฤดูกาลนี้มีการปรับเปลี่ยนตารางการซ้อมและโภชนาการใหม่

แต่อันนั้นก็แค่คาดเดานะครับ ซึ่งไอ้ที่ไม่ต้องคาดเดาและผมคิดว่ามันคือสาเหตุสำคัญเช่นเดียวกันที่ทำให้ เลสเตอร์ ต้องมาดิ้นรนหนีตกชั้น ก็คือตัวนักเตะเองนั่นแหละ

ความกระหายและมุ่งมั่นที่เคยมี หายไปแทบเกลี้ยงจากบรรดาลูกทีมของ รานิเอรี่ แล้วยิ่งบวกกับผู้เล่นตัวสำคัญโดยเฉพาะในแนวรับที่มีอายุอานามมากขึ้นจนโรยราไปตามวัยแล้วด้วย นี่ยิ่งไปใหญ่

ทั้งยังต้องมาเสียเอ็นโกโล่ ก็องเต้มิดฟิลด์จอมขยันซึ่งถือว่าเป็นฟั่นเฟืองสำคัญที่ทำให้ทีมเล่นได้อย่างสมดุลไปและสองดาวเด่นอย่างวาร์ดี้กับมาร์เรซก็ไม่สามารถเล่นได้เหมือนเคย ขุมกำลังของทีมถือว่าพุ่งตรงไปในทางที่อ่อนยวบลงทั้งนั้น

ลองคิดภาพตามดูนะครับว่า นักฟุตบอลที่ระดับความคาดหวังอยู่แค่ที่พยายามทำผลงานให้ดีเพื่ออยู่เล่นในลีกสูงสุดต่อไป กลับได้ถ้วยแชมป์ลีกสูงสุดในกอดในอ้อมอก แน่นอนว่ามันย่อมทำให้คิดว่า พวกเขาได้มาถึงจุดสูงสุดของอาชีพการค้าแข้งที่ตัวเองจะทำได้แล้ว ความกระหายในการเล่นจนหมดอย่างไม่ต้องสงสัย

ถ้าใครอีโก้เยอะหน่อยอาจจะพลางคิดว่าตัวเองเป็นนักเตะระดับแชมป์เปี้ยนส์แล้ว จึงเปลี่ยนวิธีการเล่นและสุดท้ายก็ออกทะเลไป (มีให้เห็นไม่น้อย) ซึ่งผมไม่ขอฟังธงว่ามีนักเตะที่คิดแบบนั้นไหมในทีมเลสเตอร์ แต่ก็มีโอกาสเหมือนกัน

จะอย่างไรก็ตาม ตอนนี้เลสเตอร์ ซิตี้ก็ได้กลับมาเป็นทีมที่ลุ้นหนีตกชั้นอย่างเต็มตัว เหมือนอย่างก่อนที่พวกเขาจะสร้างเทพนิยายในปีที่แล้วได้สำเร็จ อีกครั้งหนึง

ส่วน รานิเอรี่ เองก็กลับไปสู่จุดเดิมที่เขาคุ้นเคยเช่นเดียวกัน เพราะนี่เป็นครั้งที่ 8 แล้วที่เขาถูกปลดจากตำแหน่งตลอดชีวิตการเป็นกุนซือมา

มีทั้งกุนซือชื่อดังและกูรูมากมาย ออกมาวิจารณ์การตัดสินใจในครั้งนี้ของทางสโมสรว่า เป็นการกระทำที่ไม่แฟร์ต่อตัวกุนซือชาวอิตาเลี่ยนแม้แต่น้อย เพราะถ้าหากไม่มี รานิเอรี่ ประวัติศาสตร์หน้าสำคัญของ เลสเตอร์ เองก็คงจะไม่เกิดขึ้น อีกทั้งเจ้าตัวก็ยังพาทีมทำผลงานได้ไม่เลวในยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ ลีก

แต่เอาเข้าจริง ผมว่ามันมีเหตุผลที่เข้าใจได้ทั้งสองฝ่ายอยู่พอสมควร แน่นอนในส่วนของ รานิเอรี่ เรารับรู้กันได้อยู่แล้วว่า มันเป็นเรื่องที่ยากจะเชื่อเมื่อกุนซือที่พาทีมคว้าแชมป์แรกในประวัติศาสตร์ได้ กลับถูกปลดในฤดูกาลต่อมา แต่วิธีที่ เลสเตอร์ ปฏิบัติมันก็ไม่ต่างจากวิธีการของสโมสรอื่นๆที่ต้องลุ้นหนีตกชั้น เมื่อทีมเข้าสู่ช่วงที่คว้าชัยชนะไม่ได้ มีแต่จะจมดิ่งเรื่อยไป พวกก็มักที่จะเลือกเปลี่ยนแปลงกุนซือเพื่อดึงโมเมนตั้มของทีมกลับมาให้ได้อยู่แล้ว ส่วนจะสำเร็จหรือไม่นั้น ก็ตามแต่ผลลัพธ์ออกไป

ไม่ว่าภายใต้ผลงานอันย่ำแย่ของทีมมันจะเกิดขึ้นจากอะไรก็ตาม แต่ในเมื่อตอนนี้พวกเขากำลังจะตกชั้น มันจึงต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะผมไม่คิดว่าพวกเขาเองอยากที่จะคว้าแชมป์ลีก แล้วปีต่อมาพร้อมจะตกชั้นลงไปเล่นแชมป์เปี้ยนชิพได้อย่างหน้าชื่นตาบาน

ฉะนั้นถ้าจะเปรียบไปแล้ว มันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เลสเตอร์ ซิตี้และรานิเอรี่ ผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งเทพนิยาย กลับมาสู่บทละครทั่วไปที่เราสามารถพบเห็นได้ทุกเมื่อ พล็อตและตอนจบที่ไม่ได้แตกต่างไปจากการคาดเดา

แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่ามันจะทำให้เราลืมเลือนความประทับใจที่เคยเกิดขึ้น

ว่าครั้งหนึงชายที่ชื่อคลาดิโอ รานิเอรี่ได้จารึกชื่อของด้วยเองด้วยการเป็นกุนซือที่ทำทีมคว้าแชมป์ได้อย่างน่าทึ่งที่สุดคนนึงในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษไงล่ะครับ


--------------------------------------------------





ปล.ติชมได้เช่นเคย ขอบคุณครับ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 1235
ที่อยู่: Theatre of Dreams
โพสเมื่อ: Sat Feb 25, 2017 7:57 am
[RE: จากเทพนิยายสู่บทละครหลังข่าวของ “เลสเตอร์&รานิเอรี่”]
เทพนิยาย ที่จะเป็นที่เล่าขานสืบต่อไปแน่นอน
ผมรู้สึกดีใจนะ ที่ได้ดูฟุตบอลในปีที่เลสเตอร์เป็นแชมป์ จากทีมเล็กๆสู้แชมป์พรีเมียร์ลีค

เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 451
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Feb 25, 2017 8:19 am
[RE]จากเทพนิยายสู่บทละครหลังข่าวของ “เลสเตอร์&รานิเอรี่”
ความกระหายลดลงชัดเจน
กองหน้าเริ่มยิงประตูไม่ได้ กองหลังเสียประตูเยอะๆ
ความมั่นใจก็ยิ่งหาย

อย่างแรกต้องเรียกความมั่นใจกลับมาก่อนอื่นใด
ฟอร์มจะตามมาเอง

เข้าร่วม: 08 May 2007
ตอบ: 23871
ที่อยู่: ★ แ ด น ก ล า ง ★
โพสเมื่อ: Sat Feb 25, 2017 10:45 am
[RE: จากเทพนิยายสู่บทละครหลังข่าวของ “เลสเตอร์&รานิเอรี่”]
ไม่ว่าตอนนี้หรือต่อจากนี้จะเป็นยังไง แต่นิยายที่ลุงราสร้างไว้

มันเป็นประวัติศาสตร์และตำนาน ที่คงไม่มีใครลืมได้หรอกครับ .. ขอให้โชคดี




เข้าร่วม: 11 Feb 2017
ตอบ: 337
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Feb 25, 2017 11:58 am
[RE: จากเทพนิยายสู่บทละครหลังข่าวของ “เลสเตอร์&รานิเอรี่”]
ละครหลังข่าว = น้ำเน่า หรือเปล่าเนี่ย


0
0
เข้าร่วม: 16 Jan 2007
ตอบ: 1125
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Feb 25, 2017 9:30 pm
[RE: จากเทพนิยายสู่บทละครหลังข่าวของ “เลสเตอร์&รานิเอรี่”]
เลสเตอร์นี่ผมว่าเป็นตำนาน
ยิ่งกว่าตอนกรีซเป็นแชมป์ยูโรอีก
0
0
เข้าร่วม: 14 Sep 2006
ตอบ: 2274
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sun Feb 26, 2017 11:55 am
[RE: จากเทพนิยายสู่บทละครหลังข่าวของ “เลสเตอร์&รานิเอรี่”]
ที่ผ่านมาแล้วเป็นตำนาน และเป็นผลงานที่น่าจะสดุดีและควรยกย่อง

แต่มันผ่านมาแล้ว ผมว่าเริ่มฤดูกาล ลุงราและสโมสรดำเนินนโยบายผิดพลาดไปมาก
คือออกมาประกาศว่า เป้าหมายหลักคือแค่อยู่รอดปลอดภัย ไม่ตกชั้น
พูดง่ายๆคือ เหมือนฤดูกาลที่แล้วแหล่ะ ก็คงหวังว่าตั้งเป้าเหมือนเดิม ผลงานก็คงออกมาดี
ไม่หวังว่าต้องเหมือนเดิมหรอก แต่ก็คงไม่เลวร้ายแน่ๆ ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่ามันผิดมหันต์เลยทีเดียว
การตั้งเป้าแบบเดิม ในสถาการณ์ที่แตกต่าง มันจะใช้ได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้ใครๆก็เรียกคุณว่าแชมป์
สำหรับทีมแชมป์แล้ว ลองนึกดูครับ ว่าจิตใจนักเตะ ทุกๆคนในสโมสรตอนได้แชมป์ใหม่ๆมันเป็นยังไง
มันต้องมีความสุข กระปี้กระเป่า และฮึกเหิมอย่างมากแน่ๆ แต่เมื่อมีนโยบายและการทำงานในแบบ 'แค่รอดตกชั้น'
เป็นผม ผมชิววเลยครับ สบายๆ ง่ายๆ ไม่ต้องซีเรียสอะไรทั้งนั้น นี่ไม่รวมพวกนักเตะอีโก้สูงนะครับ ซึ่งเดี๋ยวนี้มีเยอะ ยิ่งไปกันใหญ่
เพราะถือว่าดัง เก่ง แชมป์ และเป็นเซเลบ (ลืมตัวหน่ะ พูดง่ายๆ)
สโมสรเองก็ชิวววเหมอนกัน ไม่พยายามดึงนักเตะดีๆมาร่วมทีมด้วย ยิ่งปล่อยกองเต็ออกไปแล้ว แต่ได้ตัวอะไรก็มารู้มาแทน เฮ้อออ
จิตในแบบนี้ ทีมแบบนี้ นักเตะแบบนี้ และที่สำคัญนโยบายแบบนี้ ผลงานเลยออกมาแย่แบบนี้แหล่ะครับ (จริงๆแล้วแย่กว่าที่คิดไว้มาก)

เข้าร่วม: 11 Feb 2017
ตอบ: 371
ที่อยู่: ภาคเหนือ
โพสเมื่อ: Sun Feb 26, 2017 7:06 pm
[RE: จากเทพนิยายสู่บทละครหลังข่าวของ “เลสเตอร์&รานิเอรี่”]
omega3 พิมพ์ว่า:
ที่ผ่านมาแล้วเป็นตำนาน และเป็นผลงานที่น่าจะสดุดีและควรยกย่อง

แต่มันผ่านมาแล้ว ผมว่าเริ่มฤดูกาล ลุงราและสโมสรดำเนินนโยบายผิดพลาดไปมาก
คือออกมาประกาศว่า เป้าหมายหลักคือแค่อยู่รอดปลอดภัย ไม่ตกชั้น
พูดง่ายๆคือ เหมือนฤดูกาลที่แล้วแหล่ะ ก็คงหวังว่าตั้งเป้าเหมือนเดิม ผลงานก็คงออกมาดี
ไม่หวังว่าต้องเหมือนเดิมหรอก แต่ก็คงไม่เลวร้ายแน่ๆ ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่ามันผิดมหันต์เลยทีเดียว
การตั้งเป้าแบบเดิม ในสถาการณ์ที่แตกต่าง มันจะใช้ได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้ใครๆก็เรียกคุณว่าแชมป์
สำหรับทีมแชมป์แล้ว ลองนึกดูครับ ว่าจิตใจนักเตะ ทุกๆคนในสโมสรตอนได้แชมป์ใหม่ๆมันเป็นยังไง
มันต้องมีความสุข กระปี้กระเป่า และฮึกเหิมอย่างมากแน่ๆ แต่เมื่อมีนโยบายและการทำงานในแบบ 'แค่รอดตกชั้น'
เป็นผม ผมชิววเลยครับ สบายๆ ง่ายๆ ไม่ต้องซีเรียสอะไรทั้งนั้น นี่ไม่รวมพวกนักเตะอีโก้สูงนะครับ ซึ่งเดี๋ยวนี้มีเยอะ ยิ่งไปกันใหญ่
เพราะถือว่าดัง เก่ง แชมป์ และเป็นเซเลบ (ลืมตัวหน่ะ พูดง่ายๆ)
สโมสรเองก็ชิวววเหมอนกัน ไม่พยายามดึงนักเตะดีๆมาร่วมทีมด้วย ยิ่งปล่อยกองเต็ออกไปแล้ว แต่ได้ตัวอะไรก็มารู้มาแทน เฮ้อออ
จิตในแบบนี้ ทีมแบบนี้ นักเตะแบบนี้ และที่สำคัญนโยบายแบบนี้ ผลงานเลยออกมาแย่แบบนี้แหล่ะครับ (จริงๆแล้วแย่กว่าที่คิดไว้มาก)  

ผมว่านะครับการตั้งเป้าหมายแค่หนีตกชั้น ทำเพื่อลดความกดดันตัวเอง ว่าเป็นแชมป์เก่า แต่ที่มีปัญหาจริงๆคือ เลสเตอร์เล่นเกมส์สวนกลับไม่ได้แบบปีที่แล้ว คือตัดบอลก็ไม่ได้ รับก็ห่วย แถมทีมอื่นในลีก ไม่มีใครมาเปิดแลกเหมือนปีที่แล้ว สังเกตุว่าปีนี้มีทีมเล่นเกมส์รับแล้วสวนกันหลายทีม ใช้สูตรสำเร็จจากเลสเตอร์ปีที่แล้วเลย ถ้านวดไม่ลงหรือเกมส์รับขาดสมาธิเมื่อไหร่ ทีมใหญ่ยังไม่ค่อยจะรอดเลยครับ ปีนี้หาลูกยิงที่มาจาการปั้นเกมส์สวยๆ ยากมาก ส่วนใหญ่จะเป็นลูกสวนกลับหรือลูกยิงผีจับยัดทั้งนั้น ปีนี้ทุกทีมเน้นเล่นแบบเลสเตอร์ปีที่แล้วกันหมด และเลสเตอร์ เมื่อรอสวนไม่ได้ เพราะตัวผู้เล่นก็ชุดเดิม แทคติคเดิม แถมอ่อนลง ชาวบ้านก็เล่นรับ แล้วมันจะไปรอดได้ไง ส่วนแชมป์เปี้ยนลีก ทีมอื่นเค้าไม่ได้เล่นรับกัน ในบ้านตัวเองมาตั้งรับเลสเตอร์ คงโดนแฟนบอลถลุงแน่นอน เลยพอทำให้เลสเตอร์ไปได้ดีในบอลยุโรป แต่พอกลับมาอังกฤษ มันก็หมดมุข เพราะเค้าก็รอสวนกัน เจ้าของเลยต้องเปลี่ยนโค้ช เพราะจะเปลี่ยนแทคติค ปล่อยไว้คงได้แชมป์(เปี้ยนชิพ)แน่นอน
เข้าร่วม: 14 Sep 2006
ตอบ: 2274
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sun Feb 26, 2017 11:37 pm
[RE: จากเทพนิยายสู่บทละครหลังข่าวของ “เลสเตอร์&รานิเอรี่”]
Mummy23000 พิมพ์ว่า:
omega3 พิมพ์ว่า:
ที่ผ่านมาแล้วเป็นตำนาน และเป็นผลงานที่น่าจะสดุดีและควรยกย่อง

แต่มันผ่านมาแล้ว ผมว่าเริ่มฤดูกาล ลุงราและสโมสรดำเนินนโยบายผิดพลาดไปมาก
คือออกมาประกาศว่า เป้าหมายหลักคือแค่อยู่รอดปลอดภัย ไม่ตกชั้น
พูดง่ายๆคือ เหมือนฤดูกาลที่แล้วแหล่ะ ก็คงหวังว่าตั้งเป้าเหมือนเดิม ผลงานก็คงออกมาดี
ไม่หวังว่าต้องเหมือนเดิมหรอก แต่ก็คงไม่เลวร้ายแน่ๆ ซึ่งส่วนตัวผมคิดว่ามันผิดมหันต์เลยทีเดียว
การตั้งเป้าแบบเดิม ในสถาการณ์ที่แตกต่าง มันจะใช้ได้อย่างไร ในเมื่อตอนนี้ใครๆก็เรียกคุณว่าแชมป์
สำหรับทีมแชมป์แล้ว ลองนึกดูครับ ว่าจิตใจนักเตะ ทุกๆคนในสโมสรตอนได้แชมป์ใหม่ๆมันเป็นยังไง
มันต้องมีความสุข กระปี้กระเป่า และฮึกเหิมอย่างมากแน่ๆ แต่เมื่อมีนโยบายและการทำงานในแบบ 'แค่รอดตกชั้น'
เป็นผม ผมชิววเลยครับ สบายๆ ง่ายๆ ไม่ต้องซีเรียสอะไรทั้งนั้น นี่ไม่รวมพวกนักเตะอีโก้สูงนะครับ ซึ่งเดี๋ยวนี้มีเยอะ ยิ่งไปกันใหญ่
เพราะถือว่าดัง เก่ง แชมป์ และเป็นเซเลบ (ลืมตัวหน่ะ พูดง่ายๆ)
สโมสรเองก็ชิวววเหมอนกัน ไม่พยายามดึงนักเตะดีๆมาร่วมทีมด้วย ยิ่งปล่อยกองเต็ออกไปแล้ว แต่ได้ตัวอะไรก็มารู้มาแทน เฮ้อออ
จิตในแบบนี้ ทีมแบบนี้ นักเตะแบบนี้ และที่สำคัญนโยบายแบบนี้ ผลงานเลยออกมาแย่แบบนี้แหล่ะครับ (จริงๆแล้วแย่กว่าที่คิดไว้มาก)  

ผมว่านะครับการตั้งเป้าหมายแค่หนีตกชั้น ทำเพื่อลดความกดดันตัวเอง ว่าเป็นแชมป์เก่า แต่ที่มีปัญหาจริงๆคือ เลสเตอร์เล่นเกมส์สวนกลับไม่ได้แบบปีที่แล้ว คือตัดบอลก็ไม่ได้ รับก็ห่วย แถมทีมอื่นในลีก ไม่มีใครมาเปิดแลกเหมือนปีที่แล้ว สังเกตุว่าปีนี้มีทีมเล่นเกมส์รับแล้วสวนกันหลายทีม ใช้สูตรสำเร็จจากเลสเตอร์ปีที่แล้วเลย ถ้านวดไม่ลงหรือเกมส์รับขาดสมาธิเมื่อไหร่ ทีมใหญ่ยังไม่ค่อยจะรอดเลยครับ ปีนี้หาลูกยิงที่มาจาการปั้นเกมส์สวยๆ ยากมาก ส่วนใหญ่จะเป็นลูกสวนกลับหรือลูกยิงผีจับยัดทั้งนั้น ปีนี้ทุกทีมเน้นเล่นแบบเลสเตอร์ปีที่แล้วกันหมด และเลสเตอร์ เมื่อรอสวนไม่ได้ เพราะตัวผู้เล่นก็ชุดเดิม แทคติคเดิม แถมอ่อนลง ชาวบ้านก็เล่นรับ แล้วมันจะไปรอดได้ไง ส่วนแชมป์เปี้ยนลีก ทีมอื่นเค้าไม่ได้เล่นรับกัน ในบ้านตัวเองมาตั้งรับเลสเตอร์ คงโดนแฟนบอลถลุงแน่นอน เลยพอทำให้เลสเตอร์ไปได้ดีในบอลยุโรป แต่พอกลับมาอังกฤษ มันก็หมดมุข เพราะเค้าก็รอสวนกัน เจ้าของเลยต้องเปลี่ยนโค้ช เพราะจะเปลี่ยนแทคติค ปล่อยไว้คงได้แชมป์(เปี้ยนชิพ)แน่นอน  


ก็แล้วแต่ครับ ต่างคนต่างคิดได้ แต่ในเมื่อคุณโควทผม ผมก็จะบอกว่าเป้าแค่หนีตกชั้นมันหายนะจริงๆ
และผิดที่ใช้เป้าหนีตกชั้นในการลดความกดดัน เป้าแค่หนีตกชั้นสำหรับผมมันต่ำเตี้ยเกินนนไปมากๆ
ปีก่อนตั้งเป้าหนีตกชั้น ก็เป็นเป้าที่ยากแล้วนักเตะก็ต้องพยายามเต็มที่ แต่ยังผ่านมาได้ รับความกดดันได้
แต่พอปีนี้กลับตั้งเป้าแค่นั้น ถ้ากลัวความกดดัน มันไม่กลัวจนเกินไปหรือ ลดซะจนไม่เหลือความกระหายใดๆเลย
อยากจะลดความกดดัน ตั้งเป้าติดบอลยุโรป กลางตารางหรือมากหน่อย 1 ใน 4 ก็ทำได้ ให้มันเหลือความกระหายไว้บ้าง
ต่อให้พลาดเป้า อันดับก็คงไม่ห่วยกว่านี้แน่นอน แต่ที่ทำคือเป้าต่ำไป ต่ำสุดเลยไม่มีต่ำกว่านี้แล้ว
ต่ำเกินไปจนหมดแรงกระหาย แรงคาดหวัง ทะเยอะทะยานใดๆทั้งสิ้น
ต่อให้แผนดียังไง ก็ทำไม่ได้ตามแผน ตามที่หวังแน่ๆ