ผู้ตั้ง
ข้อความ
เข้าร่วม: 31 Jan 2010
ตอบ: 88
ที่อยู่: The Past/The Love/The Memoires
โพสเมื่อ: Thu Feb 02, 2017 8:31 pm
My Best Albums of 2016
10.Blink-18 - California



การจากลา กับ Tom DeLonge นับได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดอีกครั้งของวงเลยก็ว่าได้
โดยหลายคนที่ติดตามพอจะจำได้ว่า การลาออกของ Tom ทำให้วงมีสถานะพักวงไม่มีกำหนด จนเกือบจะทำให้วงแตกไปครั้งหนึ่งแล้ว
และเวลาผ่านไปกว่า6ปีหลังจากที่ทั้งสามคนแยกทางกัน ได้เกิด เกิดปาฏิหาร์ยทำให้TomกลับมาและออกอัลบัมชุดNeighborhoodsในปี 2011 ซึ่งเป็นเวลากว่า

5ปีที่ห่างหาย ในการทำอัลบัมได้เกิดเรื่องราวแย่ๆของ Tom อีกครั้งและทั้งสองคนที่เหลือเลือกที่จะเดินทางต่อไปโดยไม่มีเขา
และก็คงต้องยอมรับว่าเกิดปาฏิหาร์ยมันคงไม่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง

ออกตัวนิดว่าผู้เขียนชื่นชอบTomมาก ถึงมากที่สุดแน่นอน จึงรู้สึกเสียดายอะไรหลายๆอย่าง ในส่วนที่Tomสมควรที่จะเข้ามาเติมเต็มสิ่งนั้นในผลงานชุดนี้

พักเรื่องดราม่าดีกว่า California คืออัลบัมชุดที่7ของพวกเขาเลือกที่จะใช้บริการ John Feldmann Producerสายเมนสตรีมรุ่นใหญ่ที่คว่ำหวอดในวงการดนตรี

แน่นอนว่าอารมณ์ในชุดนี้ต้องออกมาในบรรยากาศ "เพลงขาย" ตามหลายอัลบัมที่ Johnเคยปั้นออกมา
แต่ก็ไม่แปลกที182 ที่ทำเพลงง่ายๆซนๆห่ามๆเหมาะกับวัยรุ่นและเด็กหนวดรวมไปถึงผู้เขียนที่โตขึ้นมากับเพลงพวกเขายังคงพอใจกับ การขาย แบบเดิมๆของวงอยู่

และผู้ที่ถูกเลือกให้มาทำหน้าที่ แทนTomได้แก่นาย Matt Skiba มือกีตาร์และนักร้องนำแห่ง คณะAlkaline Trio ที่เป็นวง Pop Punkแนวเดียวกันและตั้งไข่มาในระยะเวลาใกล้ๆเคียงกัน จึงใช้เวลาไม่นานในการ จูนให้ติด เพื่อที่จะกอดคอกันเข้าห้องอัดและทำเพลงชุดแรกร่วมกัน

อัลบัมชุดที่7นี้ยังคงเป็น182 ไม่ใช่ 44แต่อย่างใด โดยถ้าไม่นับความทะลึ่งตึงตังรวมไปถึง Fender Jazzของ Tom แต่ความมั่นคงและเอกลักษณ์ของวงก็ยังคงมีอยู่

California แน่นอนว่าคือชื่อเมืองที่พวกเขาเกิดและเติบโตขึ้น โดยเป็นครั้งแรกที่วงได้ตั้งชื่ออัลบัมอย่างง่ายๆ โดยก่อนหน้านั้นอัลบัมนีเคยมีชื่อว่า No Future

ซึ่งแน่นอนว่ามันดูมืดมนจนเกินไป จึงนำชื่อCalifornia ที่เป็นเมืองของMark,TravisของJohn

โดยเนื้อหาจะยังคงพูดถึงในระดับแคบๆ และเป็นเรื่องราวในชีวิตของผู้คนต่างๆ
ที่เกิดขึ้นและมีอยู่ในบ้านเกิดเมืองนอนที่พวกเขารักเมืองนี้

เรื่องภาคการร้อง ยังคงการร้องนำถึงสองคนเอาไว้ จากปกติTomจะร้องคีย์สูงและMarkจะร้องคีย์กลางๆถึงต่ำหน่อย

กลับกลายเป็น โทนเสียงจะออกใกล้เคียงกันเกินไป โดยธรรมชาติเสียงการร้องของMattนั้นได้ลอยอยู่เทียบเคียงกับMarkมากเกินไป โดยหลายเพลงนั้นรู้สึกว่าใช้การร้องนำคนเดียวแบบเพลงเก่าๆของวงก็ได้

และนี่คืออีกจุดหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของวงได้โดนบั่นทอนออกไปอย่างน่าเสียดาย

แน่นอนว่าถ้าพูดถึง วงPop Punkที่ยิ่งใหญ่ที่สุดวงนึงในโลกวงหนึ่ง มั่นใจเหลือเกินว่าหลายคนย่อมติดภาพของสมาชิกที่มักยืนอยู่ตรงกลางของวงเสมอ
อย่าง Travis ที่ยังคงขย้ำ สแนร์ แฉ ฉาบ ได้อย่างสะใจไม่แพ้วัยรุ่นหลายๆคนแม้จะไม่หนักหน่วงเท่ามือกลอง Metalทั้งหลาย แต่จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของเขายังคงโคจร รอบวงดนตรีวงนี้และวงการดนตรีอย่างไม่หยุดยั้ง และนี่คือกระดูกสันหลังของวงอย่างไม่ต้องสงสัย

การกลับมาครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งบททดสอบครั้งสำคัญอีกครั้งของพวกเขา ที่ยังคงเดินทางไปแม้จะขาดเพื่อนคนสำคัญคนหนึ่ง

การเปลี่ยนแปลงนี้มีทั้งข้อดีและเสียในตัวของมัน แม้หลายอย่างจะยังขาดหายไม่สนุกและสวยงามอย่างในอดีต แต่ก็ยังคงมีความสุขในการฟังเพลงของพวกเขาไม่ว่าจะอยู่ในยุคไหนก็ตาม


Sleeping With Sirens - Let Love Bleed Red
เข้าร่วม: 31 Jan 2010
ตอบ: 88
ที่อยู่: The Past/The Love/The Memoires
โพสเมื่อ: Thu Feb 02, 2017 8:31 pm
[RE: My Best Albums of 2016]
9.BABYMETAL - Metal Resistance
















ใครจะนึกว่า Metalจะสามารถเข้ากับดนตรี J Pop (Dance) ที่เอาเด็กผู้หญิง วัยใสแอ๊บแบ๊วมารวมกันได้อย่างลงตัว

โดยภาคดนตรีเลเวลอัพพึจากอัลบัมชุดแรกที่ไม่ค่อยจะMetalเท่าไร ออกมาเป็น Metalเต็มตัว

ด้วยทีมงานระดับหัวกระทิที่มีฝีมือจัดจ้าน ในภาคดนตรี รวมไปถึงได้ Sam Totman,Herman Li ขุนขวานแห่งวง DragonForceมาช่วยดูแลทางด้านกีตาร์บ้าง

จึงหายห่วงเลยว่าอัลบัมนี้จะมีช่องโหว่
เพราะพาร์ทด้านกีตาร์ ,เบสและกลอง มีความแน่นจนเรียกว่าไม่มีช่องว่างให้หายใจเลยทีเดียว

และถึงแม้จะเป็น Metal แต่ก็ไม่ได้ทำให้หลายคนปวดหัวในความหนักแต่อย่างใด ส่วนนี้ต้องชมProducer ปริศนา Kobametal ที่มีการเตรียมการมาแล้วอย่างดี

ในการที่จะคัดเอาส่วนของสองแนวดนตรี มาผสมกันอย่างลงตัวและสามารถขายได้

เรียกได้ว่าเล่นโครตแน่นและเต้นโครตพร้อมรวมในอัลบัมเดียวกันได้จริงๆ

พร้อมกับเสียงร้องของ Su (Suzuka Nakamoto) นักร้องพี่ใหญ่ของวง ที่มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดมากๆ เทียบกับชุดแรกที่บางเพลงยังร้องไม่ชัดอยู่เลย

โดยในอัลบัมนี หลายเพลงที่มีการใช้คีย์สูงๆ เธอก็สามารถร้องโหนได้อย่างเต็มเม็ดและไม่มีการลักไก่หลบเสียงแม้แต่น้อย

อีกทั้งลูกส่ง ของอีกสองสาว Moa (Moa Kikuchi) และYui (Yui Mizuno) ที่มีการส่งและซัพพอร์ตเสียงอยู่แว่บๆ

แต่เสียดายที่น้อยไปหน่อยน่าจะเป็นการร้องนำไปสามคนแบ่งพาร์ทไปโดยดูจะเข้าท่ากว่า (ลืมบอกว่าคนหลังผมจองนะครับ)

แนวKawaii Metal ถือว่าเป็นความแปลกใหม่แต่ความแปลกใหม่ที่น่าค้นหานี้จะต้องมีอะไรออกมาให้แปลกใจและหลงรักได้อีกแน่นอน ถ้าไม่หยุดพัฒนา
ต่อยอดให้หลากหลายขึ้นไปอีก

อยากให้ลองติดตามกับวงดนตรีที่บุกเบิกแนวดนตรีแนวนี้ที่กำลังจะเข้ามาตีตลาดอุตสาหกรรมดนตรีของโลกได้อย่างภาคภูมิ


Sleeping With Sirens - Let Love Bleed Red
เข้าร่วม: 31 Jan 2010
ตอบ: 88
ที่อยู่: The Past/The Love/The Memoires
โพสเมื่อ: Thu Feb 02, 2017 8:34 pm
[RE: My Best Albums of 2016]
8.Asking Alexandria - The Black



การเปลี่ยนแปลง ครั้งสำคัญในช่วงอายุของ Asking Alexandria ครั้งนี้มีทั้งข้อดีและไม่ดี มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ

แต่โดยส่วนตัวผู้เขียนนั้น ถือว่าชอบโดยระดับหนึ่ง

ด้วยตำแหน่งและระดับของวง Asking Alexandria ตอนนี้เรียกได้ว่าไม่ใช่วงเล็กๆอีกต่อไปแล้ว
การที่จะเปิดตัวFrontman คนใหม่นั้นถ้าจะเรียกว่าเป็นข่าวใหญ่ในวงการดนตรีRock ก็ไม่น่าจะพูดเกินไปเลยจริงๆ

และแน่นอนตำแหน่งนักร้องนำคนที่ สอง ของพวกเขาตกไปอยู่กับ Denis Stoff

Denis Stoff เป็นใคร?

ขอเท้าความก่อนนิดนึง Denis คืออดีตนักร้องนำวง Make Me Famous ที่เคยออกอัลบัมร่วมค่ายกับวงIdol ที่เขาเคารพรัก Asking Alexandria
และคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า เขาเนี่ยคือติ่งเบอร์1
ถ้าหากว่ามีการเปลี่ยนตัว Danny Worsnop ออก คงไม่มีใครเหมาะสมเท่าDenisแล้ว

ขอรวบรัดเข้าเรื่องผลงานในอัลบัมเลย
The Blackนี้คือ Studio Albumชุดที่ 4ใน รอบ 3ปี ของ Asking Alexandria
จากที่เคยออกอัลบัม ทุกๆวาระ 2ปี โดยยังคงไว้ใจ แว่นอัจฉริยะ Joey Sturgis อยู่

และด้วยสาเหตุอันใดก็ไม่รู้ The Black จึงเป็นผลงานเพียงชิ้นเดียวของ Joey ที่ฝากไว้ในปี 2016
โดยไม่รู้ว่าปัจจุบันหายหัวไปไหน หรือลาพักร้อนไปใช้เงินใครทราบช่วยบอกกันนิด

ภาคดนตรีใครหวังว่าอาจจะได้เทรนด์ Trance Electronic ตื้ดๆแบบ Stand Up and Scream
และมีSoundพอดิ้นได้ แบบIt's Now or Never
อัลบัม ของ Make Me Famous
ซึ่งเป็นผลงานที่ Denis แทบจะคุมทั้งหมดก่อนที่วงจะแยกย้ายแตกกันไป ก็คงต้องผิดหวังนิด

จากที่ลองฟังมาแล้ว
คาดว่าเป็นภาคต่อของ Reckless & Relentless มากกว่าที่เป็นดนตรี Post-hardcore/Metalcore มีกลิ่นElectronicและSound สังเคราะห์รองพื้นบางๆ โดยจะเน้นเสียงการร้องทั้งด้าน คลีนและสครีม ซึ่งDenisแกเอาส่วนนี่อยู่หมัด และของแถมของในอัลบัมนี้คือ Gone ที่ใช้เสียงBen ร้องนำเต็มๆ
ซึ่งก็ถ่ายทอดได้อย่างดีมากๆๆ

แน่นอนหลังจาก ที่ทะเลาะกันของวงกับ Danny Worsnop เนื้อหาจะเป็นการด่า จิกกัดและถลุงกันอย่างไม่ไว้หน้าซะเป็นส่วนใหญ่

สรุป The Black คือการ ผสมกันอย่างโครตจะลงตัวของสองวงคุณภาพ
Make Me Famous และ Asking Alexandria
แน่นอน ไทยเราเป็นประเทศที่ได้สัมผัสเพลงในอัลบัมนั้นสดๆ ก่อนที่ The Black จะเป็นแค่ความทรงจำ
เมื่อDanny Worsnop ได้กลับมาคืนดีกับวงต่อและ Denis Shaforostovได้โดนไล่ออกจากวงไปเรียบร้อยแล้ว

อัลบัมใหม่ของ Asking Alexandria น่าจะเสร็จในช่วงต้นปี 2018 โดยชุดใหม่นั่นได้ Matt Good แห่ง From First To Lastมาร่วมงานด้วย อันนี้ก็ต้องติดตามรอกันต่อไปครับ


Sleeping With Sirens - Let Love Bleed Red
เข้าร่วม: 31 Jan 2010
ตอบ: 88
ที่อยู่: The Past/The Love/The Memoires
โพสเมื่อ: Thu Feb 02, 2017 8:35 pm
[RE: My Best Albums of 2016]
7.Cover Your Tracks - Fever Dream



Cover Your Tracks กำเนิดมาจากการดับสูญของ Cursed Sails

ซึ่งจะขอเท้าความกันสักนิดเกี่ยวกับสมาชิกวง
โดยต้องย้อนไปถึงนู่นนนน
ในต้นปี 2011 โดยหลักจากที่ Ben Ferris,Cory Ferris ได้ลาออกจาก Woe, Is Me โดยพวกเขาได้มาเป็น2ใน 5สมาชิกก่อตั้งของ Issues

ก่อนที่พี่น้องคู่นี้จะได้ลาออกไปอีกครั้งด้วยเหตุที่ว่า แนวเพลงไม่ตรงกันและออกไปตั้งวงใหม่ชื่อว่า
Cursed Sails โดยวงที่ว่านี้มีสังกัดอยู่ Rise Velocity Records และได้ออกอัลบัม Rotten Society มา1 ชุดถ้วน

ทว่าเกิดเรื่องน่าเสียดายที่พวกเขาไม่ได้ประสพความสำเร็จอย่างที่วาดฝันมากนัก

3ใน 4 จากสมาชิก Cursed Sails จึงได้ออกมาก่อร่างสร้างวงใหม่ที่ชื่อว่า Cover Your Tracks

Cover Your Tracks ประกอบไปด้วย ดีตสมาชิก Cursed Sails อย่างที่รู้กัน
Cory Ferris,Omar MaganaและBrent Guistwiteในตำแหน่ง มือเบสมือกีตาร์และมือกลอง

โดยทางวงได้ทาบทางเพื่อนเก่าอย่าง Paul Rose ร้องนำ (อดีตสมาชิกDreamerและเคยเป็นมือกลองของวง O-Face) และ Ian Marchionda มือกีตาร์ (มือเบสวง Miss Fortune) มาช่วยเสริมทัพ

โดยพวกเขาได้ย้ายไปบ้านใหม่ Epitaph Records โดยใช้ชื่ออัลบัมเปิดตัวว่า Fever Dream

และแน่นอนว่าแนวเพลงของพวกเขานั้นย่อมจะเปลี่ยนไป โดยได้ไส่ความเป็น เมนสตรีมเข้าไปเพิ่ม

ถ้าจะนับถึงวงPost-hardcoreที่มีเยอะจนละลานตา ในสมัยนี้ แน่นอนหมัดเด็ดของแต่ล่ะวงคือการไส่ส่วนผสมและสร้างเอกลักษณ์ที่แตกต่างเข้าไป

Cover Your Tracks คือวงที่มีส่วนผสมทางด้าน Post-hardcore 1ส่วน กลิ่นแบบ Nu Metalและซาวนด์ทางด้านดนตรี Alternative ช่วงต้น2000'sอีก1ส่วน

โดยบรรจงผสมซาวนด์สังเคราะห์เข้าไป แบบ Linkin Park ยุคกลางๆ รวมไปถึงการใช้กีตาร์ 7 สาย อย่างDeftones (ในบางเพลง)

และเสียงร้องของ Paul ที่แผดเสียงออกมาจนอดนึกถึง Jaredแห่ง 30 Seconds to Mars ไม่ได้ และการสครีมเสียงแบบเต็มๆ คล้ายๆChester แห่งLinkin Park
ทำให้มั่นใจว่า Paulคือจุดแข็งที่สุดของวงเลยจริงๆ

ส่วนกีตาร์แน่นอนว่าไม่มีท่อนโซโล่ ยังคงใช้คอร์ด สาดๆ ริฟฟ์กีตาร์ โดดๆ พื้นๆ แต่เน้นความสะใจและติดหูจริงๆ

Fever Dreamคือส่วนผสมที่ลงตัวของ ขาPost-hardcoreและผู้ถวิลหาซาวนด์ดนตรีAlternativeแบบช่วง 2000's
ที่ฟังและเข้าถึงได้แทบจะทุกหูแบบง่ายๆ
แนะนำว่าควรลองมาหาฟังรำลึกสักครั้งครับ


Sleeping With Sirens - Let Love Bleed Red
เข้าร่วม: 31 Jan 2010
ตอบ: 88
ที่อยู่: The Past/The Love/The Memoires
โพสเมื่อ: Thu Feb 02, 2017 8:35 pm
[RE: My Best Albums of 2016]
6.BrandNew Sunset - Of Space And Time




หากจะนับถึงวงดนตรีสายร็อค,เมทัลของบ้านเราที่สลับการเกิดและดับกันเป็นหลักร้อยวง อยากให้ลองนึกถึงวงๆหนึ่งที่เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาต่อวงการดนตรีอันเดอร์กราวคงอดจะนึกถึงวงๆร็อคไทย ฝีมืออินเตอร์วงนี้ไม่ได้

เรียกได้ว่าเติบโตมากับBrandNew Sunset เลยก็ว่าได้ ใครจะรู้ว่าวงPop punk4ชิ้นเล่นเองร้องเองวงหนึ่งอยู่ดีๆอยากกลับลำให้มือกลองมาเป็นนักร้องนำ(และเป็นมาจนถึงวันนี้กว่า10ปีเข้าไปแล้ว) อยากจะเปลี่ยนแนวไปเล่นMetalให้ดูดุๆขึ้นไปอีก อยากจะไปเล่นต่างประเทศ อยากจะได้เซ็นสัญญาสู่ค่ายใหญ่จนมีชื่อเสียงระดับต่างประเทศ และอยากได้รางวัลสีสันอวอร์ดเบียดวงใหญ่ยักษ์ในปีนั้นราวกับเป็นเรื่องโกหกจึงทำให้รู้สึก ตื่นเต้นราวกับว่าได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเมื่อได้ยินข่าวคราว

และแน่นอนการกลับมาครั้งนี้มีหลายสิ่งที่เปลี่ยนไป คือพี่กานต์หนึ่งในผู้ก่อตั้งวงได้ขอลาออกไปด้วยเหตุผลที่ต้องไปดูแลกิจการที่บ้านโดยภายหลังพี่กานต์ได้กลับมาเป็นBNS CREW คอยช่วยประสานงานวงและกลับมาแจมกับวงบางครั้ง

แวะพูดถึงสมาชิกใหม่กันสักหน่อย ผู้ที่มาแทนตำแหน่งมือกีตาร์ คือพี่ก้อง ธนัช คงเกรียงไกร โดยหายห่วงเรื่องประสปการ์ณและฝีมือไปได้เลย เพราะพี่ก้องเป็นมือกีตาร์ที่สนิทและคุ้นเคยกับวงมานานพอสมควรแล้ว

โดยพี่ก้องนี่แหละคืออดีตสมาชิกวง Royal Mercyที่เคยมีอัลบัมออกกับสังกัดHERE Records โดยที่พี่ชายนี่แหละเคยไปเป็นมือกลองในยุคก่อตั้งวงใหม่ๆและได้โปรดิวซ์ผลงานในอัลบัมมาแล้ว

ไม่อยากจำกัดความว่าOf Space And Time เป็นแค่CDแผ่นหนึ่ง
แต่นี่คือหนังสือ ดนตรี งานศิลปะ ภาพยนต์ ปั่นรวมกัน จนออกมาเป็นบทเพลง
และนี่การเดินทางข้ามกาลเวลา ผ่านภพภูมิอวกาศ ผ่านมรสุม ที่ใช้เวลายาวนานกว่าครึ่งทศวรรศในการเขียนบันทึกการเดินทางอัลบัมนี้
BrandNew Sunset ถือเป็นอีกวงหนึ่งที่มีฝีมือจัดจ้านที่สุดวงหนึ่งของวงการดนตรี ร็อคเมทัลแห่งสยามประเทศ จึงหายห่วงได้เลยเรื่องความแน่น และเผ็ดร้อน

ในภาคดนตรี โดยอัลบัมนี้ได้คุณ สุชาย ชูเชิด หรือพี่ชาย มือกีตาร์ที่เรียกได้ว่าเป็นมันสมองและกระดูกสันหลังของวงรวมกันมาทำหน้าที่โปรดิวซ์เซอร์เช่นเดียวกับอัลบัมWelcome Home ที่เคยออกกับSony/BMGเมื่อ6ปีที่แล้ว

ด้วยวัยวุฒิที่เติบโตขึ้น สวนทางกับความบ้าพลัง ความโหดที่มีมากขึ้นทุกทีและความเผด็จการของพี่ชายนี่แหละทำให้วงตัดสินใจที่จะหลีกเลี่ยงการใช้Digital editing ให้ได้มากที่สุด โดยเน้นการบันทึกเสียงพร้อมๆกันให้ดูสดใหม่ โดยถ้าตั้งใจฟังดีๆจะได้ยินเสียงแปลกๆในการบันทึกแม้กระทั่งเสียงกีตาร์จี่ก็มีออกมาโดยใช้ส่วนผสมของดนตรีหลากหลายเช่น Metal,Rock,Hardcore,Punk,Pop punk,Easycore รวมไปถึงการเพิ่มความเป็นPshydelic มาแทรกซึมเข้าไปพอสมเหตุสมผล

6ปีที่พวกเขาออกไปท่องกาลอวกาศแน่นอนแล้วว่าสิ่งที่เราได้รับนั้นย่อมไม่ใช่แค่งานอัลบัมธรรมดาแบบที่วงเคยทำออกมา การที่พวกเขาได้เติบโตขึ้น ผ่านเรื่องราว การเดินทาง การพบ พา ลา จาก จินตนาการ ความหวัง ความกระหาย ความเศร้าและการสูญเสียทั้งหลายจากปลายปากกาของพี่ตูนและมีพี่ชายเข้ามาขัดเกลาให้คมยิ่งขึ้น

Of Space And Time คือการกลับไปผลิตแบบD.I.Y เช่นเดียวกับตอนเริ่มหัดเดินอย่างตอน Pick you up when you’re falling down
โดยมีการวางจำหน่ายในรูปแบบCD และItunes Digital Download ตามร้านCDเช่นB2sและร้านCDทั่วประเทศ
โดยใช้การตลาดที่ค่อนข้างจะถูกที่ถูกเวลา เช่นด้านSocial Network รวมทั้งการ Coกับนิตยสารดนตรีต่างๆ โดยตัดต้นทุนด้านคนกลางออกทำให้ได้ผลลัพธ์ออกมาในราคาที่สมผลในการลงทุนที่น้อยกว่าแบบเดิมหลายเท่า นับเป็นการเดิมพันที่เสี่ยงแต่ได้ความสะใจเป็นอย่างมาก

ถ้าเกริ่นกันมาแบบนี้แล้วล่ะก็ คงไม่ต้องบอกเลยว่านี่คืองานคอนเซปต์อัลบั้มอีกชิ้นที่ค่าควรฟังในอัลบัมร็อควงการเพลงไทยช่วงยุค2010'sแน่นอน

Track By Track

Space

ตั้งแต่ชุด Realisticเป็นต้นมา ในการจะเข้าสู่อัลบัมต้องมีIntroอุ่นเครื่องเสมอ และครั้งนี้ก็เช่นกันครับ

Space หรืออวกาศคือข้อสรุปของอัลบัมที่ปรากฏกายออกมาตั้งแต่เพลงแรกในอัลบัมเลย ด้วยอารมณ์ของลูกเรือทั้ง5ที่กำลังทบทวน ถึงการกระทำ สิ่งที่เคยผ่านเข้ามา เพราะถ้าพวกเขาได้ก้าวขึ้นยานออกไปแล้ว ยังไม่มีข้อยืนยันอะไรเลยที่จะบอกว่าพวกเขาจะสามารถกลับมาสู่ดาวบ้านเกิดของตัวเองได้

และสิ่งที่ชอบในSpaceก็คือเป็นIntroที่เราสามารถวาดภาพออกมาในหัวได้ เป็นการส่งพวกเขาขึ้นไปยังยานอวกาศและขอยกให้เป็นIntro ที่ดีที่สุดใน Introทั้ง4ชิ้นของวงเลยครับ

Fire (in our hearts)

ไฟ เปลวเพลิงอันร้อนแรงที่จะเป็นเชื้อเพลงก่อสร้างพลังงานที่กำลังเผาไหม้ให้ยานลำนี้ทะยานสู่ห้วงอวกาศ

ถ้าหากจะนับจริงๆแล้วเพลงนี้คือเพลงแรกๆที่เสร็จในอัลบัม เพราะทางผู้เขียนได้มีโอกาสฟังตอนแสดงสดตั้งแต่Youth of nation ครั้งแรกที่จัดขึ้นในใจกลางเมืองกรุงเทพ ช่วงปลายปี2012นั่นเลย
นับได้ว่าเพลงให้กำลังใจเป็นงานถนัดของพี่ตูนที่จะเขียนเพลงขึ้นมาให้กับทุกคน ทั้งในวงดนตรีและเหล่าแฟนเพลงทั้งหลาย
ความสุดยอดของเพลงนี้อย่างหนึ่งเลยคือพี่ตูนได้เขียนเพลงนี้ขึ้นมาในช่วงขณะที่อารมณ์ยังคงเศร้าๆอยู่

เพลงนี้ถึงแม้จังหวะจะไม่เร็วนัก แต่ผมรู้สึกได้ว่าเพลงนี้เป็นเพลงที่ทรงพลังที่สุดในอัลบัม
รับรู้ได้ถึงน้ำหนักของพี่ก้องที่มีไลน์เฉพาะตัวแตกต่างจากพี่กานต์พอสมควรในช่วงอินโทร ผสานกับเสียงคำรามของพี่ตูน และกีตาร์โซโล่ของพี่ชายที่โดดเด่นออกมา
น้ำหนักของเพลงนี้กำลังดีครับ รู้สึกไม่เบาจนเกินไปและไม่หนักจนทำให้ต้องกดข้ามเหมาะแก่การตัดเป็น Singlesต่อไปเป็นอย่างมาก
สุดท้ายนี้ ไฟที่อยู่ในท่อยานอวกาศคงไม่สำคัญเท่าไฟที่ลุกโชนในหัวใจจริงๆครับ

Once in a lifetime
เราได้เรียนรู้ถึงสิ่งน่ากลัวในอวกาศทั้งหลายแหล่จากปากคำของลูกเรือทั้ง5คน
โดยพวกเขาได้บรรยายถึงอุปสรรคที่ครั้งหนึ่งพวกเขาได้เผชิญ
ทั้งอุณหภูมิร้อนหนาวที่ไม่แน่ไม่นอน หลุมดำ หลุมอวกาศ เหล่าอุกาบาต แรงดึงดูด แรงโน้มถ่วงที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ผ่านบทเพลงบทเพลงนี้

และทุกสิ่งที่โหดร้ายที่ผ่านเข้ามาสุดท้ายมันก็จะผ่านไปคืออุปสรรคที่จะ ขัดเกลาให้ยานอวกาศ ลำนี้กล้าแกร่งขึ้นต่อไป

Coming home
Hardcore Punk พุ่งพล่านที่ชวนให้ออกไป เซอร์เคิลพิช โดยมีเบรคดาวน์ผ่อนปรนจังหวะในท้ายๆเพลง
โดยเพลงนี้เป็นเพลงที่สั้นกว่า Break Ya Leg ที่ออกมาในอัลบัมปี2008เสียอีก
สิ่งที่ประเสริฐและสวยงามที่สุดในชีวิต คือการเรียนรู้และเข้าใจตัวเอง จงอยู่กับตัวเอง เรียนรู้ และเข้าใจในตัวตนของตัวเอง

สุดท้ายแล้วความสำเร็จที่ได้มาโดยหยาดเหงื่อของตัวเองคือสิ่งที่สวยงามหาที่เปรียบไม่ได้

Spaceship

เพลงนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า อากาศยาน และเรายังแอบได้เห็นเบื้องหลังการบันทึกเสียงของเพลงนี้ใน Of Space and Time Studio Update EPแรก(และEPเดียว)
โดยเพลงนี้ ทำให้นึกถึงซาวนด์ในช่วงอัลบัม Welcome Homeที่เน้นความสนุกๆแต่มีความซีเรียสเข้าไปสอดแทรกอยู่นิดหน่อย
ด้วยจังหวะลุยๆ พร้อมริฟฟ์กีตาร์ แกว่งๆดุๆ ผสานกับท่อนคลีนคอรัสผ่อนปรนๆ และมีท่อนหยุดในช่วงกลางเพลงเงียบๆราวกับจะเป็นการเปรียบเทียบถึงอากาศยานที่กำลังเตรียมตัวขึ้นสู่ฟากฟ้าโดยไม่ลืม Gang Vocal ผสานเสียงสวยๆช่วงท้ายที่มีลูกเล่นกับคนดู
เพลงนี้คือเพลงใหม่ที่ถูกหยิบขึ้นมาเล่นค่อนข้างบ่อยคงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะหากจะมีสักกลุ่มคนๆที่กล้าตัดสินใจประกอบยานสักลำเพื่อออกไปตลุยห้วงอวกาศ
สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ แรงส่งแรงผลักดันจากทุกคนที่จุดประกายให้คณะลูกเรือนึกถึงอยู่เสมอมา
และสิ่งที่อากาศยานลำนี้หวังไว้ก็คือคำตอบถึงโลกเก่าที่อยู่ที่ไม่มีใครค้นพบ
การกำเนิด การแตกดับรวมไปถึงการตั้งคำถาม ว่า อะไร ทำไม อย่างไร เมื่อใดกับผู้ที่สร้างโลกใบนี้ขึ้นมา
และความต้องการที่จะหลุดพ้นถึงคำถาม ปลดแอกจากจินตนาการ ตื่นจากความฝัน ไปสู่สิ่งที่เป็นจริง

The Hunter

เพลงนี้เป็นภาคต่อมาจาก Spaceship
ขึ้นมาด้วยริฟฟ์กีตาร์ดุๆชวนอึดอัดเหมือนจะขาดอากาศจริงๆ ก่อนจะผ่นปรนด้วยท่อนคอรัสสวยๆ และแถมให้กับเบรคดาวน์สวยๆผสานกับซาวนด์กีตาร์หลอนๆในช่วงหลังๆ
ด้วยอากาศที่เหลือน้อยอาจทำให้เราจินตนาการถึงหลายเรื่องน่ากลัวต่างๆ เช่นสิ่งมีชีวิต ต่างดาวหรือสัตว์ประหลาดหรือแท้จริงแล้วสิ่งที่โหดร้ายที่สุดบนอวกาศอาจเป็นแค่ จินตนาการของเราเองเท่านั้น

Dear mother
ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจกับคุณแม่ของพี่ตูนที่จากไปด้วยโรคมะเร็งด้วยครับ R.I.P

การใช้ชีวิตบนห้วงอวกาศกันแสนกว้างใหญ่ กำลังใจจากคนรักคือสิ่งสำคัญที่จะช่วยเป็นเชื้อเพลิงให้เราขับเคลื่อนต่อไป

แว่บแรกที่ได้เห็นชื่ออดคิดไม่ได้นะว่าจะเป็นเพลงเศร้าๆช้าๆ แบบเพลงวันที่โหดร้ายหรือมีเปียนโนสวยๆมาแทรกแบบ"เพื่อตัวเอง"แน่นอน
ก่อนที่จะเงิบไปหลายตลบ โดยเพลงนี้เป็นอารมณ์ โจ๊ะๆกึ่งปาร์ตี้ในสไตล์Pop Punkที่เน้นด้านความสนุกและสดใส โดยที่อดแทรกท่อนเบรคดาวน์ตามยุคนสมัยในแบบเดิม ราวกับว่าวงต้องการจะเล่นสดเพลงนี้ในทุกครั้งเท่าที่พวกเขาจะทำได้ โดยมีท่อนปรบมือ2จังหวะให้คนดูมีส่วนร่วมด้วยครับ

สุดท้ายนี้แม่คนรักเราจะไม่ได้อยู่แล้ว แต่เพลงนี้เหมือนจะเตือนเราให้ตระหนักถึงว่า คนรักเราไม่ได้ไปไหน เอาความเศร้าเสียใจทิ้งไว้ให้เป็นขยะอวกาศและเก็บเขาไว้ในใจ เขาจะยังคงเดินทางอยู่กับเราทุกที่เพียงแต่เราไม่เห็นแต่สัมผัสได้เสมอแน่นอนครับ

[Intermission]

ช่วงลมอันสงบนิ่ง ก่อนพายุลูกใหญ่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า ให้เราลองแวะทบทวนถึงการเดินทางที่ผ่านมาก่อนจะถึงจุดหมาย
เป็น Interlude ครั้งเดียวในอัลบัมที่นำเสียงของApollo 11 ในครั้งคราวที่ได้ไปถึงดวงจันทร์
และถ้า Apollo 11 คือประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ แน่นอน [Intermission] คือประวัติศาสตร์ของBrandNew Sunsetครับ

Time
จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล กำเนิดเกิดเคียงคู่มากับกาลและเวลา จักรวาลแตกแขนงออกเป็นหลายๆเอกภพ เฉกเช่นเดียวกับเวลา ที่ไม่มีข้อจำกัดนิยาม ไม่มีที่สิ้นสุด
มาถึงช่วงสุดท้ายของยานอวกาศลำนี้และคณะลูกเรือ เมื่อถึงจุดสิ้นสุดของบันทึกการเดินทาง แต่นี่อาจเป็นเพียงแค่การเดินทางครั้งใหม่
เราเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในอวกาศผ่านข้อจำกัดเช่นยานอวกาศที่ลูกเรือทั้ง5ได้โดยสารมา

และถ้าหากเราละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง
และกระโดดออกจากยานอวกาศลำนี้ล่ะ?
เราจะเผชิญหน้ากับอะไรต่อ?
มีเพียงเราเท่านั้นที่จะรู้
Time หรือเวลาเป็นเพลงมหากาพย์ที่มีความยาวที่สุดเท่าที่วงเคยทำมา ยาวกว่าเพลง BrandNew SunsetPart1/2ที่มีความยาวเพียง9.29
และเป็นเพลงที่เรียกได้ว่ายากและท้าทายที่สุดของวงได้เลย

ทางวงใช้เวลาเขียนและบันทึกเพลงนี้หลายขวบปีผ่านการบันทึกเสียงแบบอัดสดรวดเดียว
เป็นเพลงที่ค่อนข้างซีเรียสมากถึงมากที่สุด ให้ความอดทนและสมาธิสูงจนกินเวลาไปถึง2ขวบปีเต็มๆ
โดยภาคดนตรีเพลงนี้ ส่วนของกีตาร์จะไม่เน้นด้านโซโล่เท่ห์ๆหวือหวาแบบที่จินตนาการตอนแรก แต่จะเน้นการบรรเลงควบคู่ของดนตี4ชิ้นของกีตาร์สองตัว เบสและกลองผสานๆกันไปอย่างช้าๆอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยรู้สึกว่าเครื่องดนตรีทุกชิ้น มีชีวิต สติและสมาธิค่อนข้างสูง
โดยความหมายและอารมณ์ของเพลงนี้ จะขยายความถึงความมืดมนความหวาดระแวงและความกลัวในช่วงต้นๆ
ก่อนที่จะพบเจอกับความรู้ตัวสัมผัสกับสติที่ก่อให้เกิดความหวังอย่างที่ไม่มีที่สิ้นสุด
เพื่อค้นพบดาวดวงใหม่ นั่นคือความกล้าที่จะเผชิญกับทุกสิ่งทุกอย่างนั่นเอง
สุดท้ายแล้ว กาลและเวลาบทนี้ จะยาวนาน 1วินาที,17นาทีกับอีก14วินาที,6ปีหรือตลอดกาลคงไม่ใช่เรื่องสำคัญใดๆกับการที่เราใช้เวลาทุกขณะให้คุ้มค่าที่สุด


Sleeping With Sirens - Let Love Bleed Red
เข้าร่วม: 31 Jan 2010
ตอบ: 88
ที่อยู่: The Past/The Love/The Memoires
โพสเมื่อ: Thu Feb 02, 2017 8:35 pm
[RE: My Best Albums of 2016]
5.TELEx TELEXs - melt your popsicle! EP





ยุคแห่งดนตรี Synth Pop และ Electronicที่ได้มาถึงและหลายวงเริ่มที่จะสร้างสรรค์ผลงานด้วย ซาวนด์สวยๆตามแต่แนวทางที่ตนเองถนัด
และ TELEx TELEXs ก็เช่นกัน
โดยไม้ตายพวกเขาและเธอเลือกที่จะเขียนเนื้อเพลงเป็นภาษาไทย ในวงแคบๆ พูดถึงแค่เรื่องระหว่างคนสองคน ผ่านการเล่าเรื่องถึงความสัมพันธ์ต่างๆ
โดยต้องชมถึงคนเขียนเพลงมาก ที่ใช้ภาษาจิกกัด ประชดประชันนิดๆ เหมือนผู้หญิงคนนึงที่ผ่านเรื่องราวร้ายๆจนเปลี่ยนเป็นคนที่เย็นชา และทรนง

เรียกป็นวงที่เรียกได้ว่า มีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจในตั้งแต่แรก
โดยแรกเริ่มนั้น พวกเขาได้ปล่อยเพลง Bad Old Days โดย ปิ้ว-กษิเดชเป็นคนร้องมาก่อนที่เปลี่ยนเสียงร้องเป็น ออม-สรรัตน์
โดยเปิดตัวกับเพลง Labelle ที่ทำให้เป็นที่รู้จักในประมาณหนึ่งในคลื่น Cat Radio และไม่ใช่แค่เข้าไปอยู่ในชาร์จแต่ยังขึ้นไปสู่อันดับ1ได้หลายเพลง
นี่คือผลลัพธ์ที่ได้จากการลองผิดลองถูก จนกระทั่งประสบความสำเร็จและเริ่มสร้างฐานแฟนเพลงได้จำนวนหนึ่ง

melt your popsicle! คืองาน EP 5 Track ที่ได้ปล่อยออกมาชิมลางก่อนที่จะออกอัลบัมเต็ม โดยออกจากสตูดิโอห้องนอนแคบๆมาสู่บ้านหลังเล็กๆ
Wayfer Record ที่เป็นค่ายลูกของ Warner Music Thailand
โดยการทำงานจะเป็นการทำงานด้วยตัวเองที่มีผู้ใหญ่อย่าง พี่โน่ ดนัย ธงสินธุศักดิ์ Producerใหญ่มาช่วยดูแลบางส่วน

ถ้าจะนับจากข้อมูลบนปกEPแรกของวงชิ้นนี้ถือได้ว่าได้เสร็จทันก่อนสิ้นปี2016 ซึ่งเป็นช่วงฤดูหนาวที่เหมาะจะเสพย์ซาวนด์เย็นๆ
โดยถ้าจะเปรียบงานชิ้นนี้ได้ดั่งไอติมแท่งนึงที่กำลังละลาย เราก็ควรละเมียดละไมและให้ความสำคัญกับไอติมแทงนี้จนหมดรสหวานสุดท้าย

Track by Track

เรือใบ
เรือใบลำน้อยลำนี้ พูดถึงการจากลา โดยคนที่มาส่งได้ฝากความหวัง ความคิดถึงและความหวังดีที่แฝงด้วยความคนึงหาไว้ก่อนจะส่งคนรักของตนเองไปยัง

เรือลำน้อยลำนี้ถือได้ว่าเป็นเพลงที่มีจังหวะเร็วที่สุดเท่าที่วงเคยทำมา ณ ตอนนี้ โดยอินโทรมีเสียงคีย์บอร์ดตามสไตล์ของวงแฝงมากับ ซาวนด์เพอร์คัชชั่นก่อนที่จะฝากไว้ด้วยเสียงกีตาร์โซโล่ในกลางเพลง

Shibuya
มาถึงเพลงที่เท่ห์ที่สุดและคิดว่าปังที่สุดของวง
โดยเพลงนี้ได้ปล่อยออกมาเป็น MV ตัวที่ 2 มีความเท่ห์ตั้งแต่การแต่งตัวของสมาชิกใน MV และเนื้อหาที่หักมุม

และเป็นเพลงช้าที่มีเสียงคีย์บอร์ด ซินธิไซเซอร์วิ่งๆที่มิกซ์ได้ชัดกำลังดีเหมือนจะสดกดให้ผู้ชมได้ฟังต่ออีกหลายๆครั้ง
และมีเสียงเครื่องเป่าสวยๆ ที่เข้ามาเพิ่มสีสัน โดยเนื้อเพลงได้ นิค-ธาฤทธิ์ แห่ง Part Time Musicians มาร่วมเขียนเนื้อเพลงด้วยครับ

ความสัมพันธ์ที่จบลงอย่างไม่สวยงาม เป็นแค่จุดเริ่มต้นและนี่คือเรื่องราวของคู่รักคู่หนึ่งที่เกิดขึ้นในเมืองนี้
และด้วยการเปลี่ยนแปลงของดวงใจที่นับเป็นได้แค่เรื่องราวในอดีต กำลังก่อให้เกิดกองไฟขึ้นกองหนึ่ง

เธอพูดว่าไม่มีใครแทนฉันได้ และคนที่อยู่ข้างเธอล่ะเป็นใคร

ด้วยส่วนประกอบหลายอย่างทำให้เมืองนี้ขึ้นสู่ที่1 Catradioได้อย่างสวยงาม
และShibuya คือเพลงที่ชอบที่สุดในอัลบัมครับ

Labelle
ถ้า Bad Old Days ทำให้ TELEx TELEXs กำเนิดขึ้นมาได้ Labelleเนี่ยแหละที่ทำให้ TELEx TELEXs ลืมตาขึ้นมา

มั่นใจว่าหลายคนรู้จักพวกเขาและเธอมาจากเพลงนี้เช่นเดียวกับผู้เขียนแน่นอน
ด้วยเสียงนักร้องหญิงที่ดูจะเหงาๆและน้อยใจ แต่แฝงได้ด้วยความมีเสน่ห์ ผ่านดนตรี Synthpop แบบย้อนยุค

โดย Labelle สื่อถึงหัวจิตหัวใจของผู้หญิงคนนึงที่ได้สัมผัสแต่เพียงความใคร่ของผู้ชาย แต่หาได้สัมผัสความรักที่แท้จริงจากใครสักคน
เวลาที่มีเพียงน้อยนิดที่จะได้เจอกับคุณ จงใช้มันให้คุ้มค่าซะ ก่อนที่ฉันจะผ่านเวลานี้ไป เพื่อพบเจอกับวังวนนี้ เรื่อยไป
ทุกคืนวันผ่านไป ผ่านไป พร้อมกับความเหงา จนก่อให้เกิดความด้านชา

และLabelle ได้ขึ้นสู่อันดับที่1 Catradio ณ วันแห่งความรัก ในปี2016ครับ

ถาม (Damsel in Distress)
หรือคำถาม จากสตรีที่เห็นโลกเป็นสีเทา ที่ยังติดอยู่ในความไม่เข้าใจ และสับสน ต่อปัจจุบัน
ยังคงใช้หมัดเด็ดจากคีย์บอร์ด ซินธิไซเซอร์ที่สร้างบรรยากาศเย็นๆ ถ้าเราจะวัดอุณหภูมิของเพลงนี้ได้ มั่นใจว่ามีความหนาวจับขั้วหัวใจทีเดียวครับ

เพลงนี้ไม่ใช่Singleแรก แต่คือMV ตัวแรกที่ขึ้นสูงถึงอันดับที่ 9ของ Cat 100 song of the year นับได้ว่าเป็นความสำเร็จที่สุดของวงก็ว่าได้

16090
โลกมันจะกว้างเท่าไหร่ กว้างเกินไปกว่าใจ รึเปล่า?

ระยะทางเปรียบได้ถึงช่องว่างระหว่างกลางของคนทั้งสองคน โดยระยะทางอันห่างไกลนับเป็นสิ่งท้าทายถึงความมั่นคงในหัวใจของคนทั้งคู่

แขกรับเชิญในเพลงนี้ มีถึงสองคน โดยคนแรกได้แก่คุณ นิค-ธาฤทธิ์ แห่ง Part Time Musiciansที่เขียนเนื้อเพลงนี้เต็มๆ และMOMMY's Boyที่ช่วยมาเติมเต็มท่อนแร็พครั้งเดียวในอัลบัมนี้



Sleeping With Sirens - Let Love Bleed Red
เข้าร่วม: 31 Jan 2010
ตอบ: 88
ที่อยู่: The Past/The Love/The Memoires
โพสเมื่อ: Thu Feb 02, 2017 8:37 pm
[RE: My Best Albums of 2016]
4.Plastic Plastic - Stay At Home



หากย้อนกลับไป ณช่วงเวลาสัก 4-5ปีที่แล้ว เราจะได้ยินเพลง อยากรู้ ที่เปิดออกมา ณ คลื่นวิทยุหลายๆคลื่นในเมืองไทย
และหลายคนยังจำความน่ารักของ ทั้งคู่ได้และเฝ้ารอคอยจะสัมผัสผลงานเต็มๆสักครั้งหนึ่ง

Plastic Plastic คือ ป้อง-ปกป้อง จิตดี และ เพลง-ต้องตา จิตดี สองพี่น้องมีของที่เจนจัดในด้านการเล่นดนตรีได้หลายชนิด
จนไปถึงการแต่งทำนอง เขียนเพลง รวมไปถึงการบันทึกเสียงด้วยตัวเอง

จากที่เคยอยู่Believe Records จนมาเป็นศิลปินอิสระ ทำให้สามารถเลือกที่จะกำหนดทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเองมากขึ้น และแน่นอน บททดสอบแรกพวกเขาสอบผ่าน ได้อย่างฉลุย

ภาคดนตรีที่ใช้เครื่องดนตรีหลากหลายและใช้ในปริมาณที่เรียกว่าพอเหมาะ เช่น เปียนโน คีย์บอร์ด กลอง เครื่องเคาะ เครื่องเป่าหลากหลายชนิดทำ
ให้อัลบัมนี้เป็นที่น่าสนใจและน่าค้นหา

ส่วนเนื้อเพลงนั้น จะมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
โดยเนื้อเพลงที่ทั้งคู่สื่อถึงจะไม่เน้นคำพูดหรือคำคม แต่จะเน้นการเล่าเรื่องจากไดอารี่ บันทึกประจำวันที่เขียนไว้ จึงทำให้เข้าใจในครั้งแรกที่ฟังเลย
เหมือนกับได้ฟังพี่น้องคู่หนึ่งกำลังเล่าเรื่องให้ฟัง โดยมีความเป็นธรรมชาติ ไม่เสแสร้ง และน่าเอ็นดูนับว่าเป็นสเน่ห์อีกอย่างของอัลบัมนี้จริงๆ

Stay At Home เป็นอัลบัมที่สามารถสร้าง บรรยากาศได้ โดยจะให้อากาศอันอบอุ่น จนไปถึงเย็นสบายกาย สบายๆ แต่ไม่ได้จำกัดความ
ว่าต้องฟังเฉพาะที่บ้านแบบชื่ออัลบัมนะครับ

Track By Track

We're Dancing Like Crazy
เปิดมาด้วยอารมณ์ สนุกสนาน ที่เรียกได้ว่าสนุกที่สุดในอัลบัมเลย กับ We're Dancing Like Crazy
ที่ใช้เสียง เปียนโน สวยๆผสาน กับเมโลดีน่ารัก ภาษาอังกฤษ
เพลงนี้เขียนมาจาก ไดอารี่ประสปการ์ณ การไปเต้นในผับครั้งแรก

เปิดประตู
ตามความหมายเป็นเพลงที่เขียนถึง เรื่องง่ายๆ
เรื่องใกล้ตัวของพี่น้อง ที่นำไอเดียมาจาก การเข้าบ้านไม่ได้,ลืมกุญแจ

The Trip
มาถึงเพลงที่มีภาคดนตรี สุดยอดที่สุดในอัลบัม
โดยเพลงนี้ได้ถ่าย MVออกมาเป็นตัวที่ 2ในอัลบัม ที่ลงทุนไปถ่ายทำถึงที่ประเทศนิวซีแลนด์
และเน้นการเล่าเรื่องในแบบสารคดีมากกว่าMVต่างจาก "วันก่อน" ตัวที่แล้ว

The Trip พูดถึงการเดินทาง การท่องเที่ยว ซึ่งตรงกันข้ามกับ Stay At Home โดยสิ้นเชิง
โดยทั้งคู้เขียนเพลงนี้จากการนำเรื่องราว ในไดอารี่ เกี่ยวกับความตื่นเต้นในวันก่อนออกเดินทาง

ด้วยภาคดนตรีที่มีเสียงเปียนโนเพราะๆ เป็นทุนเดิม ผสานกับเสียงร้องประสานของสองพี่น้อง
พร้อมด้วย เสียงอคูสติกกีตาร์สวยๆและเสียงเคาะไม้ดิบๆ ที่บิ๊วให้เราเข้าใจว่า เป็นบทเพลงมาจากกลางป่าจริงๆ
ส่วนพระเอกของเพลงนี้คือ เครื่องเป่า อย่างทรัมเปต ที่บรรเลงขับกล่อมในช่วงท้ายๆเพลงปิดท้ายได้อย่างสวยงาม

วันก่อน
มาถึงเพลงที่ชอบที่สุดในอัลบัมและเป็นMVตัวแรกที่เล่าเรื่องออกมาได้ดีที่สุดในทุกๆMVที่ทำมา

วันก่อน เมื่อวาน หรือวันวานที่เคยมีชีวิตอยู่มาก่อน
ซึ่ง ณ วันเหล่านั้น ยังคงเป็นความทรงจำที่สวยงามที่ยังคงฉุดรั้งเมื่อวานไม่ให้ก้าวข้ามไปหาวันพรุ่งนี้

แทบจะทุกเพลงในอัลบัม ที่จะเน้นความสดใสและอารมณ์ฟิลกู้ด แต่เพลงนี้มีความแตกต่างที่สุดจริงๆ
ด้วยเสียงเปียนโนเศร้าๆที่เรื่มขึ้นในต้นเพลง ผสานกับเสียงฟลุตและเมโลเดี้ยนเหงาๆ ที่บรรเลงราวกับจะสื่อถึงการคิดถึงกันของคนสองคน
เรียกได้ว่าเป็นความคนึงหาแต่แฝงไว้ด้วยความเหงาและความหม่นที่สุดในอัลบัมจริงๆ

เพลงนี้เป็นฝีมือการเขียนทั้งเนื้อเพลงและทำนอง ของพี่แหลม 25 Hoursครับผม

Still Awake
เสียงเปียนโนกวนๆยังคงสร้าง สเน่ห์ได้ดี เช่นเดียวกับเสียงฟลุต และเครื่องเคาะหยาบๆที่ดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้ากันสักเท่าไร
เพลงนี้เคยได้กลองแขกเป็นแขกรับเชิญ

อารมณ์ของเพลงนี้คือความรู้สึก หรือช่วงขณะที่พึ่งถึงบ้านและStill Awake คือภาคต่อจากเพลง Last Weekend เพลงสุดท้ายในอัลบัมครับ

With Me
With Me คือเพลงอารมณ์เกี่ยวกับความรัก
ที่น้องเพลงไม่ได้เขียนในตอนที่กำลังมีความรัก

ด้วยเสียงฟลุต เหงาๆ ผสานกับการเดินเบส ช้าๆ เหมือนกับการเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง

เหมือนอารมณ์ที่กำลังจะก้าว แต่ชักเท้ากลับ ไม่ไปดีกว่า
เพราะฉนั้นเราจะรู้สึกถึงความครึ่งๆกลางๆในเพลงนี้

The Moutain Is Calling
เป็นอีกเพลงที่มีการเขียนทำนองมาก่อนเนื้อร้อง
สรุปได้เลยว่าเพลงนี้ใช้ไอเดียของปกป้องเต็มๆในการเขียนทำนอง

ขุนเขากำลังร้องเรียกหา อย่ารอช้าที่จะก้าวข้ามมัน

Gardening
Interlude ซึ่งเป็นชิ้นเดียวในอัลบัมที่มีการนำเพลงบรรเลงไปใช้

โดยช่วงเวลาของเพลงนี้จะเกิดขึ้นในตอนเช้า ที่แสงแดดอ่อนๆสาดแสงเข้ามา
ก่อนที่จะได้ชื่อเพลงมาเป็น จิ๊กซอว์ ตัวสุดท้าย ในการจัดสวนในรุ่งอรุโณทัย นั่นเอง

หยิบแฮมเป็นแผ่นที่หก
หาก การจัดสวยในตอนเช้าแปลกแล้ว มั่นใจได้เลยว่าหยิบแฮมเป็นแผ่นที่หก แปลกประหลาดกว่าแน่นอน

หลายคนอาจจะจำได้ว่าเพลงนี้ เคยอยู่ในอัลบัมประกอบ MARY IS HAPPY, MARY IS HAPPY ที่เอามาทำใหม่ทั้งหมด
ให้เหมาะกับอารมณ์ในอัลบัม Stay At Home โดยเน้นจังหวะให้ช้าลง เพิ่มเมโลดีเข้าไปให้มีสีสันมากขึ้น

ซึ่ง ชิ้นเนื้อสัตว์จากต้นขาหลังของสัตว์ แผ่นที่อยู่ระหว่าง5กับ7นั้น
แน่นอนว่า เกิดจาก ทวีท หนึ่งใน ทวิตเตอร์ของคุณ แมรี่ เมโลนี ซึ่งถ้าหากได้ดูหนังแล้วคงเข้าใจว่าไม่จำเป็นต้องไปหาความหมายอะไรมันหรอก

Last Weekend

เพลงนี้เป็นเพลงหนึ่งที่ปล่อยโดยบ้านหลังเก่า Believe Recordsที่หลายคนอาจจะลองฟังแล้ว

ซึ่งอาทิตย์สุดท้ายนี่เขียนมาจากประสปการ์ณตอนไปเรียนที่ประเทศอังกฤษของน้องเพลง
ที่เขียนถึงอารมณ์ เหงาๆและไม่อยากกลับ และยังคงติดที่อยู่


Sleeping With Sirens - Let Love Bleed Red
เข้าร่วม: 31 Jan 2010
ตอบ: 88
ที่อยู่: The Past/The Love/The Memoires
โพสเมื่อ: Thu Feb 02, 2017 8:38 pm
[RE: My Best Albums of 2016]
3.Polyphia - Renaissance



ดนตรีบรรเลง คือดนตรีแห่งจินตนาการ ที่ผู้สร้างเปิดพื้นที่ให้ผู้ฟังได้จินตนาการ โดยเราจะเพิ่มเนื้อหาใส่ลงในสมองด้วยจินตนาการ ผ่านทางชื่อเพลงที่ ผู้สร้างเปิดทางเอาไว้

Polyphia ประกอบด้วย Timothy Henson,Scott LePage ในตำแหน่งมือกีตาร์และ Clay Goberในตำแหน่งมือเบส

และมือกลอง Brandon Burkhalter ที่เคยอยู่กับวงตั้งแต่ก่อตั้ง ได้แวะเข้ามาอัดกลองให้ก่อนที่จะลาออกไปอีกครั้ง

Renaissance คือStudio Album ชุดที่2 ที่ออกห่างจาก Muse 2ปี โดยใช้เวลาบ่มเพาะในเวลาที่เหมาะสม

ด้วยดนตรีบรรเลง ผ่านกีตาร์คู่ ที่แทบจะผสานวิณญาณให้เป็น 1เดียวกัน ภาคเบส ที่มีลูกเล่นแพรวพราวจัดจ้านในวงการอีกคน

สิ่งที่แตกต่างจากอัลบัม Muse คือพวกเขาไม่ได้ใช้แขกรับเชิญเลยสักคน
ทำให้นี่คือบทพิสูจน์เป็นอย่างดีว่าพวกเขาสามารถยืนได้ด้วยตัวเองอย่างมั่นคงและสวยงาม

ภาคดนตรีแน่นอนว่ายังคงความเป็น Progressiveไว้อย่างมั่นคงผสมกับดนตรีหลายหลาก อาทิเช่น Neo Classic
Modern Music ผสานกับ ไลน์เบส แบบ 80s-style ที่มีอยู่(บ้าง)

โดยภาคดนตรีสวยๆตามฟอร์มยังคงเป็นขวัญใจ มือกีตารหลายคน ที่อดไม่ได้ที่จะจับกีตาร์มาแกะเพลงสัก ท่อนหรือทั้งเพลง
นอกจากนี้พวกเขายังลดดีกรีความหนัก ลงมา
พวกเขาทดลองปรับตัวหันเข้าหาความเป็นเมนสตรีม

และด้วยหน้าใสๆบอยแบนด์ทำให้ ได้แฟนเพลงใหม่ๆเป็น สาวน้อยสาวใหญ่ที่
พยายามจะปีนขึ้นไปบนเวทีคอนเสิร์ตเพื่อที่จะหยิกแก้มพวกเขาสักครั้ง

ทิ้งท้ายอีกนิด ผู้ที่กำกับ MV เท่ห์ๆของพวกเขาคือนาย Albert Gonzalez แห่งFear And Wonder ที่ฝากฝีมือเทพๆเอาไว้ ใน
Euphoria,NightmareและCrush

Renaissance ไม่ใช่อัลบัมสาย Rock , Metal บรรเลงที่สุด

แต่นี่คือ 1 ในใบเบิกทางที่จะนำสายนี้เข้ามาตีตลาดได้

นับเป็นครั้งแรกที่ ฟังดนตรีที่ไม่มีเนื้อร้อง,ดนตรีบรรเลงและติดใจตั้งแต่ต้นปี จนชอบเป็นอันดับที่3 ของปีครับ


Sleeping With Sirens - Let Love Bleed Red
เข้าร่วม: 31 Jan 2010
ตอบ: 88
ที่อยู่: The Past/The Love/The Memoires
โพสเมื่อ: Thu Feb 02, 2017 8:38 pm
[RE: My Best Albums of 2016]
2.Polycat - 80 Kisses



หลังจากบอกลาด้วยดีกับ2สมาชิกยุคก่อตั้ง อย่างคุณภูผาและคุณดอยที่ต้องการหันไปประกอบอาชีพอย่างอื่น

ทางวงก็ไม่ได้หยุดยั้งเส้นทางดนตรีแต่อย่างใด โดยช่วงนึงได้รับเกียริตไปร่วมทำเพลงCover คาราบาวเดอะซีรี่ส์ถึงสองเพลง รวมทั้งมีงานทัวร์เล่นอยู่บ้าง

จนมาถึงช่วงเดือนตุลา ปี2014 ที่ทางวงได้ปล่อยเพลงออกมาสามเพลง เพื่อนไม่จริง, เวลาเธอยิ้ม, พบกันใหม่?

โดยต้องบอกเลยว่าสามเพลงนี้ ทำให้วงก้าวกระโดดข้ามบันได1980ขั้น ทำให้วันนี้วงได้เป็นวงแถวหน้าของค่ายSmallroomอย่างไม่ต้องสงสัย

Smallroomทำเก๋ ด้วยการออกอัลบัม 80 Kissesหลาย Formatเช่น Digitaldownload, เทปคาสเซ็ท,CDรวมไปถึงแผ่นเสียง Vinyl
เพื่อเอาใจการเสพย์ในทุกช่องทาง รวมไปถึงยึดBanner ใน Apple Music ทำให้แน่ใจเลยว่าpolycatได้กลายเป็นลูกรักของSmallroomอย่างไม่ต้องสงสัย

การทำงานในอัลบัมนี้ ปราศจากหัวเรือใหญ่อย่างคุณรุ่งโรจน์ อุปถัมภ์โพธิวัฒน์ ที่ปล่อยให้คุณ นะ รัตน จันทร์ประสิทธิ์ ได้ทดลองทำ บ่มเพาะ ในทุกขั้นตอนของ อัลบัมจริงๆ

บอกอีกทีว่าผู้เขียนได้กำเนิดเกิดขึ้นมาบนโลกนี้ในช่วงยุค80'sปลายๆ และเติบโตเป็นวัยรุ่นในยุคต้น 2000's จึงอาจจะไม่ค่อยเข้าใจในดนตรียุค 80'sมากนัก เพราะเกิดไม่ทันและยังไม่แก่ ฉนั้นถ้าผิดยังไงคอมเมนต์บอกได้จ้า

โดยแนวเพลงก้าวขึนมาจากsynth popที่มีสีสันฉูดฉาด ผสานเสียงเครื่องเป่าเช่น ทรัมเป็ต และ แซ็กโซโฟน มาเป็น ดิสโก เทคโนแดนซ์ และซาวด์ อนาล๊อกย้อนยุค ที่ต้องอวยเลยนะครับ ว่าวงทำได้เก๋ ทันสมัยและไม่เชย

ทำให้ใครๆหลายคนทั้งรุ่นนี้และรุ่นก่อนสามารถตกหลุมรักวงแบบไม่ยากเย็นนัก

มีความรู้สึกว่าวงได้ ตัด เพิ่มต่อขยาย อะไรหลายอย่าง
กว่าจะคลอดอัลบัม 80 Kissesออกมาพอสมควรนะ
ซึ่งอย่างแรกเลย มือ คีย์บอร์ด ซินธิไซเซอร์ แซกโซโฟน และร้องประสานอย่างคุณภูผาที่เป็นสมาชิกคู่หูยุคก่อตั้งกับคุณนะออกไป ทำให้น้ำหนักของวงขาดหายไปไม่น้อยแน่นอน
ส่วนทางด้านกลอง อย่างคุณดอยที่เราอาจจะไม่เห็นไลน์กลอง เด่นๆแบบอัลบัมแรก คืออีกอย่างที่ทำให้น้ำหนักเบาลงไปอีก
เลยได้ กลองโปรแกรม เข้ามาในอัลบัม และได้จ้างมือปืนรับจ้างมาช่วยในด้านนี้แทน (ในส่วนนี้ขอพูดต่อใน Track By Track)

ต่อจากสิ่งที่ขาดก็มาพูดถึงสิ่งที่เพิ่มเข้ามามั่ง โดยสิ่งที่ชอบที่สุดอย่างหนึ่งใน80 Kisses คือเสียงคอรัสสวยๆ ของคุณแพร วนิตนาถ วีรกิตติ ที่เข้ามาในหลายๆเพลง ทำให้เพลงที่เพราะอยู่แล้วมีความไพเราะขึ้นไปอีก
ด้านพาร์ทกีตาร์ที่ทดลองใช้กีตาร์หลายตัวในการอัดเพื่อให้ได้ซาวนด์ที่เหมาะสมกับยุค80'sมากที่สุด ซึ่งอันนี้ต้องชมอีกว่าคุณนะ โซโล่ได้บาดใจ เข้ากับเพลงจริงๆ

ส่วนทางด้านเบสของคุณเพียว ที่เก่งขึ้นแล้วพัฒนาชึ้นไปอีก กลิ่งฟังค์กี้ ญี่ปุ่น jazz ทีไหลลื่น กลมกลื่นไปกับคีบอดแต่มีความโดดเด่นในตัวของมัน

และขาดไม่ได้กับคีย์บอร์ด ซินธิไซเซอร์ที่เป็นเอกลักษณ์ที่เด่นที่สุดของวง มีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างไปในทางที่ดี โดยจะเน้นใช้ เสียงอนาล็อกขลังๆเข้ามาเสริมทำให้ มีซาวนด์ที่หลากหลาย โดยสมาชิกทั้งสามคนมีส่วนร่วมทางด้านนี้ทุกคนจริงๆ

สรุปได้เลย Polycat เป็นอีกวงที่มี Time machine ที่ได้พาหลายคนย้อนยุคไปยังรุ่นพ่อ เพียงแต่Time machine ของพวกเขาไม่ใช่แค่มีที่นั่งจำกัดเฉพาะกลุ่ม และมีที่กว้างพอที่จะพาทุกคนนั่งไปพร้อมกัน

Track By Track
เพื่อนไม่จริง (Forever Mate)
แม้จะไม่ได้เป็นเพลงที่ดี หรือเพราะที่สุดของพวกเขา แต่ก็ยอมรับได้เลยว่าเป็นเพลงที่ทำให้พวกเขาแจ้งเกิดได้ดีที่สุดจริงๆ

เพื่อนไม่จริง พูดถึงการแอบรัก ความรู้สึกในใจของเพื่อน คอยเฝ้ามอง คอยรู้สึกเป็นห่วงอยู่ใกล้ๆโดยที่ไม่บอกความในใจออกไป

เพลงนี้เป็นเพลงที่จังหวะเร็วที่สุด อารมณ์แบบเพลงเปิดประกอบละครหลังข่าว ที่มีท่อนโซโล่กีตาร์เท่ห์ๆติดหู

โดยแขกรับเชิญในเพลงนี้ที่มาช่วยในตำแหน่งต่างๆ
เช่น คุณแบงค์ ณัฐพล เหลืองตรีโรจน์ ที่เคยมีผลงานในวง Syntsมาช่วยอัดกลอง
คุณปอนด์บารเมษฐ์ จิรวัฒนวิจิตรที่เคยมีผลงาน Synts,Lemon Soupมาช่วยในตำแหน่งกีตาร์
พร้อมทั้งเสียงคอรัสสวยๆของ คุณแพร วนิตนาถ วีรกิตติ ที่มาเพิ่ม ความสวยงามในเพลงนี้

และความพิเศษมากๆของเพลงนี้จะอยู่ใน Extended Versionบนแผ่นไวนิลที่ท้ายเพลงมีเสียงร้องประสานแบบ Acappella และเป็นExtended Versionที่ดีงามที่สุดในสามเพลงจริงๆครับ

ภักดี (Faith)
ไม่ว่าเพลงไหนของ Polycat มักจะมีประโยคสวยๆ ที่ไปอยู่ในใจคนฟังทั้งนั้น เช่นเดียวกับ

"ถ้าจะมีความรักทั้งที อย่าเป็นเลยคนจงรักภักดี"

และถ้าฟังดีๆ จะรู้สึกแปลกใจเพราะเพลงนี้เป็นเพลงเนื้อหาผิดหวัง เกี่ยวกับคนเชยๆคนนึงที่มีจิตใจรักมั่น
ที่มีภาคดนตรีทำนอง กึ่งๆ Disco เทคโนแดนซ์ สนุกๆที่ขายเสียงคีย์บอร์ดและซินธิไซเซอร์เช่นเคย

และเป็นเพลงเดียวที่ใช้เสียงซินธิไซเซอร์เป็นเสียงโซโล่ในกลางเพลงอีกด้วย

แขกรับเชิญในเพลงนี้ได้คุณต๊อบ ธัชพล ชีวะปริยางบูรณ์ ที่มีผลงานในด้านนักดนตรีแบคอัพให้แก่หลายๆวงเช่น เป้ อารักษ์,ฮิวโกมาช่วยอัดกลองครับ

เพื่อนพระเอก (Goodfella)
ลองจินตนาการถึงหนังไทยเก่าๆเท่าที่เราพอจะนึกออกได้
ในยุคที่การจีบกันเป็นเรื่องยากขึ้นมาหน่อย เพราะไม่มีทั้งโซเชียลเน็ตเวิร์ก มือถือหรือกระทั่ง โทรศัพท์
การพบเจอกันของ คู่พระนาง อาจจะใช้แค่ จดหมายเป็นสื่อ นั่นก็คือเขาคนนั้นนั่นเอง

โดยอยากจะพูดถึงเขาสักนิด เพราะหลังจากที่ทั้งคู่สมหวังแล้ว เราอาจจะไม่ได้เห็นเพื่อนพระเอกอีกเลย

ความพิเศษสุดๆของเพลงนี้คือได้ คุณแสตมป์ อภิวัชร์ มาช่วยเขียนเนื้อและ คุณบอยตรัย ภูมิรัตน์กับ คุณบอย โกสิยพงษ์มาเป็นที่ปรึกษาอีกด้วย

และยังคงได้ คุณต๊อบ ธัชพล ชีวะปริยางบูรณ์ มารับหน้าที่กลองเช่นเดิม

โดยเนื้อหามีอารมณ์ดี ความจิกกัดนิดๆ และอารมณ์แบบน้อยใจแต่ก็มีการมองโลกในแง่ดี ดนตรีจังหวะกลางๆไม่ช้า ไม่เร็วที่สไตล์เบสมีความเป็นFunky ผสานกับคีย์บอร์ด และเสียงกีตาร์ที่ไม่ค่อยได้ปรากฏในเพลงนี้สักเท่าไร

เพลงนี้มีสองเวอร์ชั่น โดยถ้าเป็นPre-order Version จะได้ CD Singlesในเวอร์ชั่นที่ คุณแสตมป์ อภิวัชร์ ช่วยร้องด้วย
และเพื่อนพระเอก คือบุคคลที่ผู้เขียน ชอบมากที่สุดในอัลบัมครับ

ซิ่ง (Friday on The Highway)
กับความรักที่กำลังสุกงอม การพบกันแค่บนหน้าจอคอม อาจไม่เพียงพอ

ซิ่งคือเพลงที่เร็วที่สุดสมกับชื่อเพลงจริงๆ โดยเป็นเพลงสไตล์ Polycatที่มีซาวนด์เท่ห์ๆ

เหมือนBGMประกอบเกมส์ญี่ปุ่น(อดนึกถึง Rockmanไม่ได้จริงๆ)
โดยซิ่งคุณโต้งช่วยในด้านเรียบเรียงและเขียนเนื้อด้วย

ปืน (Pistol)
เป็นอีกเพลงที่มีความเก๋าแต่ก็แฝงความน่ารักอย่างมากในเชิงเนื้อหา พูดง่ายๆคือเพลงอ้อนแฟนนั่นแหละ

โดยปืนกระบอกนี้เป็นเพลงเทคโนแดนซ์อีกเพลง ที่ฟังง่ายและชวนทุกคนมาขยับและยิ่งได้เสียงคอรัสของคุณแพร วนิตนาถยิ่งทำให้ปืนเป็นเพลงที่น่ารักขึ้นไปอีก

เวลาเธอยิ้ม (You had me at Hello)
ไม่เกินไปถ้าจะบอกว่าเพลงนี้คือเพลงที่น่ารักที่สุดของปี(2014 ที่วงออกMini Albumมาคั่นกลาง)เลย

"เธอครองใจฉันตั้งแต่ตอนที่เราพบกันแล้ว"

คือSynthpopอีกชิ้นที่มีความ ฟรุ้งฟริ้งเหมือนเสียงแมว นี่แหละคือพระเอกของเพลงนี้เลย การผสานของเมโลดีในทุกๆไลน์ของKeyboardและSynth คือเสียงที่จะทำให้ผู้ฟังฮัมตามตั้งแต่ครั้งแรกที่ลองฟัง

ให้เราลองนึกถึงรอยยิ้มของหญิงสาวที่เรารักมากที่สุด โดยเพลงนี้บ่งบอกถึงความสุข ความอิ่มเอม ความสมหวังโดยเนื้อหาอาจจะพรรณาออกมาเป็นบทกวีสักนิดๆ บวกกับภาษาที่สละสลวย เพลงนี้คือโรแมนติคที่สุดในอัลบัมเลยครับ

"เธอมีหลากล้านเม็ดทรายทะเล อยู่บนร่างกาย เมื่อมองนัยตาของเธอ เจอหมอกรุ้งพร่างพราวและค้นพบเพลงหนึ่งที่เพราะที่สุดเมื่อเธอได้พูดออกมาดีใจเหลือเกินที่ไม่บังเอิญหรือว่าฝันไป"

ดังเช่นท่อนดังกล่าวถือได้ว่ามีความละเมียดละไมทางภาษาที่สุดเท่าที่Polycatเคยทำมา

และจะไม่เกินไปนักที่เพลงนี้จะเป็นเพลงในงานแต่งงานของคู่รักอีกหลายล้านคู่เทียบเพลง หยุด คู่ชีวิต ลมหายใจ หากันจนเจอ ครับ

มันเป็นใคร (Alright)

ถ้าไม่นับสามChapterนั้นมันเป็นใครถือเป็น Singlesแรกที่ปล่อยออกมา ครั้งแรกในเว็บ Fungjai และทำให้Fungjaiล่มในเวลาแทบไม่ถึงชั่วโมง

ทั้งๆที่เพลงนี้คือเพลงแรกจริงๆของอัลบัม 80 Kisses กลับกันผมรู้สึกว่ามันเป็นใคร มีความเป็นโมเดิร์นสุดในเพลงแล้ว

เพลงนี้มีความเป็น พระเอก ค่อนข้างสูงงงงง โดยเนื้อหาจะเป็นการปลอบใจคนที่รักโดยที่รู้ว่าใจเค้าอยู่กับอีกคน ประมาณจะบอก มันเป็นใครผมจะได้ไปบอก ให้เขารีบกลับมาทำให้คุณมีความสุข
และเราจะได้ยินเสียงของ คุณเพียวเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในอัลบัมนี้ด้วย

นอกจากนี้เป็นครั้งแรกที่วงได้ทำMVออกมาเป็นเรื่องเป็นราวกึ่งละคร โดยได้ แต้ว ณฐพร เตมีรักษ์มาเล่นคู่กับ คุณยิ้มวง Somkiat เพื่อนร่วมค่ายอีกด้วย

โดยแขกรับเชิญพิเศษนอกจากคุณแพร วนิตนาถคอรัสเจ้าเก่าก็คือไพสิฐ คำกลั่น หรือคุณเป้วงMild ที่มาเพิ่มเสียงแซ็กโซโฟนให้หายคิดถึงกลิ่นอายของอัลบัมแรกแทน คุณภูผา

ปล.มันเป็นใคร เป็นคำพูดที่ติดปากของคุณโต้ง สมาชิกที่ผมชอบมากที่สุดครับ

พบกันใหม่ ? (So Long)

ขอพูดตรงๆเลยว่าตอนรีวิวเพลงนี้คิดแล้วคิดอีกจะอวยยังไงให้คนไม่หมั่นไส้จนเกินไป

ถ้าหากว่าในวงการเพลงไทย อาจจะมีเพลงสักแสนสักล้านเพลง แต่จะมีไม่กี่เพลงที่เรียกว่า "บทเพลงปีศาจ"

ที่ไม่ใช่จะฟังแล้วรู้สึกแค่ว่าเพราะแต่สามารถเข้าไปในประทับหัวใจในส่วนที่ลึกที่สุดของผู้ฟังและถ้าหากบทเพลงที่ว่านั้นมีจริง พบกันใหม่ต้องเป็น1ในบทเพลงปีศาจอย่างไม่ต้องสงสัย

เรียกได้ว่าพลิกโฉมหน้าของวงได้เลย จากปรากฏการณ์ครั้งแรกที่วงได้ปล่อยออกมาในวันที่ 14 ตุลาคมปี2014 เวลา18.00
เพลงนี้เป็นที่พูดถึงในวงแคบๆเป็นเวลาชั่วข้ามคืน ก่อนที่ความแรงของเพลงจะไม่หยุดแค่กระแสโซเชียล จนทำให้ยอดวิวมีถึงหลักล้าน (และณตอนนี้ มิถุนายน 2016 ยอดวิวเพลงมีจำนวนถึง เกือบ 24 ล้านวิว)
นอกจากนี้ยังไม่หยุดอยู่แค่ยอดวิว ความแรงของเพลงยังพุ่งต่อไปยังCat radio จนถึงอันดับ 1 ถึง5สมัยซ้อน
ส่งผลให้ทางค่ายSmall room ต้องรีบนำ3เพลงที่ปล่อยออกมาบรรจุใน Cd Small Room 009 Complicationของทางค่ายที่ห่างหายไปหลายปีอยู่

"ด้วยคำที่บอกว่าเราจะมาพบกันใหม่ มักจะไม่พบกันอีก"

คืออีกวลีที่อยู่ในเนื้อเพลง ที่หลายคนนำไปใช้ โดยมีละครไทยเรื่องหนึ่งที่ตัวเอกพูดถึงประโยคนี้ด้วย
โดยสรุปแล้วว่าความแรงของพบกันใหม่ ?
ไม่ไช่แค่กระแสปากต่อปาก ทั้งอารมณ์ เสียงร้อง เสียงคอรัส ท่วงทำนอง องค์ประกอบ รวมไปถึง ความหมาย
ที่ใครหลายคนได้ฟัง อาจจะย้อนหวนลึกลงไปในความทรงจำและช่วงเวลาของตัวเองที่ต้องตัดใจและเสียสละเพื่อคนๆนึง เช่นเดียวกับตัวเอกในเพลง

เพลงนี้เล่นกับความรู้สึกของคนฟังโดยแท้จริง เพราะเพลงนี้มีความเป็น Drama Storyจริงๆ ต้องบอกได้ว่า ฝืนยิ้มทั้งน้ำตา ตามบทของตัวละคร จอนในพริกขี้หนูกับหมูแฮมจริงๆ

ด้วยจังหวะช้าๆเศร้าๆ ที่ใช้เสียงKeyboard ลองพื้นบางๆ ผสานกับเสียงโซโลกีตาร์เศร้าๆ พร้อมด้วยเสียงผู้หญิงคอรัสจางๆ

เพราะฉันรักเธอมากพอ พอ พอ
มากพอที่จะให้เธอรับไป
กับใครก็ตาม ที่เธอสุขใจ

คงไม่ต้องถามแล้วนะครับเพลงในคือเพลงที่ผมรักที่สุดในทุก18เพลงของPolycat

เป็นเพราะฝน (Teardrops)
ให้เป็นเพราะฝน อย่าให้ต้องเปียกเพราะน้ำตา

เพลงนี้น่าจะเป็นเพลงที่เศร้าและหม่นที่สุดเท่าที่วงเคยทำมาแล้ว และเป็นMV ที่2 ในอัลบัม 80 Kisses ที่พาร์ทด้านกีตาร์โซโล่ช่วงอินโทรและกลางเพลง ใด้ โซโล่ได้บาดและเศร้าที่สุด
ทำให้เพลงนี้ที่เป็นเพลงช้าอยู่แล้วรู้สึกเศร้าขึ้นไปอีก ราวกับสายฝนจากน้ำตาที่ค่อยๆไหลเอื่อยๆลงมา

เหมือนกับว่าพวกเขาได้หอบความ เศร้าความเสียใจข้ามเวลาจากยุค 80'sมายันปี2016

แม้ว่า 80 Kisses อาจไม่ใช่อัลบัมแรกที่ทำแนว 80 Revival ที่นำซาวนด์ย้อนยุค ข้ามกาลเวลามา แต่ขอทำนายได้เลยว่าเราจะได้เห็นดนตรีแนวนี้ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ เราสามารถเรียกแนวนี้ได้เต็มปากเลยว่าแนว "Polycat


Sleeping With Sirens - Let Love Bleed Red
เข้าร่วม: 31 Jan 2010
ตอบ: 88
ที่อยู่: The Past/The Love/The Memoires
โพสเมื่อ: Thu Feb 02, 2017 8:39 pm
[RE: My Best Albums of 2016]
1.Issues - Headspace




ถ้าจะนับถึงวงการดนตรี ที่เป็นแนวPost-hardcoreยืนพื้น ที่ได้แตกแขนงนำสิ่งนั้นนี้มาผสมนิดผสานหน่อย
จนหลังๆมานี่เรียกได้ว่า เยอะจนล้น และนานๆทีจะมีวงที่แสดงออกได้อย่างโดดเด่นและไม่ซ้ำซากจนเกินไป ขอให้นึกถึง .......

จากเดิมที่เป็นแค่เพชรนิลเม็ดเล็กๆ Rise Records จนมาวันนี้เพชรที่ว่านั้นได้ผ่านการ เจียระไนจนทำให้เพชรที่ว่านี้ เจิดจรัส เปล่งประกายออกมาเป็นเพชรเม็ดงามน้ำดี ไร้ที่ติ เม็ดหนึ่งของวงการดนตรีร็อค

หลังจากที่ประสบความสำเร็จเรียกได้ว่าถล่มทลาย เทียบกับอายุวงที่พึ่งจะเริ่มหัดเดิน ทั้งการที่ได้ขึ้นเล่นแทบะจะไม่มีช่วงพักตลอดปีได้เป็นHeadlineในงานเล็กใหญ่ทั้งหลายแหล่
ได้ร่วมเล่นกับวงที่เป็นไอดอลของมหาชนแทบะจะทั้งโลกอย่างLinkin Park
รวมทั้งได้มาถล่มเมืองไทยเราในวันนั้นที่หลายคนยังจำได้ดี

โดยก่อนที่จะออกอัลบัมที่2 Headspace
ทางวงได้ออกอัลบัม Acoustic EP Daimonds Dream ที่นำเพลงในอัลบัม Black Daimonds และ Issuesมาเรียบเรียงในแบบ อคูสติก

Tyler Carter นักร้องคนหนึ่งของอัลบัมก็ได้ออก Solo EP ออกมา 1ชุดขั้นเวลาก่อน โดยชุดนั้นมีชื่อว่า Leave Your Love EP โดยการทำงานในEPที่ว่า พี่น้อง Acord ได้เข้ามาช่วยทำงานอยู่เช่นกัน

อัลบัมนี้มีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อย เมื่อ Scout สมาชิกที่ทางผู้เชียนชอบมากที่สุดประกาศลดบทบาทจากสมาชิกหลักของวงมาทำงานหน้าที่เบื้องหลังอย่างเดียว

โดยScoutต้องการที่จะโฟกัสไปยัง การทำห้องอัด จึงไม่มีเวลาออกทัวร์กับวงเช่นก่อน
(โดยภายหลังScoutได้กลับมาเล่นให้กับวงในทัวร์ที่ญี่ปุ่น รวมทั้งขายของให้กับวงและเป็นตากล้องให้กับวงด้วยครับ)

ปฏิเสธไม่ได้ว่า Headspace มีการเติบโตขึ้น พวกเขาได้มีการนำดนตรีแนวต่างๆ
เช่น Post-hardcore,Electronica,Nu-Metal,R&B ที่เป็นแนวถนัดของพวกเขาอยู่แล้ว

ผสานกับ Country ใน Home Soon และ Yung and Dum Jazz,Funk ใน Hero และ Funk ใน The Realest

ทำให้หลายคนได้เสพย์งานทดลองอะไรใหม่ๆ ไปจากอัลบัมที่แล้ว และนี่นับได้ว่าเป็นข้อดีอีกข้อเลยก็ว่าได้ที่วงกล้าที่จะลองจะทำอะไรในสิ่งใหม่ๆไม่ย่ำอยู่กับที่มากไป

พื้นที่ในสมอง เริ่มก่อสร้างเซลล์สมองกันตั้งแต่ เดือนมกราคมปี 2015 ช่วงที่วงเว้นจากการทัวร์มาระยะหนึ่งนั่นแหละ

โดยการทำงานในStudio Albumชุดที่2นี้ มีความ พิถีพิถัน ในการทำอัลบัมที่สุด โดยขั้นตอนคร่าวๆคือ Kris Crummett มีหน้าที่ควบคุมในภาคดนตรีต่างๆ ร่วมกับ Erik Ronที่ทำหน้าที่ดูแลด้านพาร์ทเสียงร้อง
ก่อนที่จะชงให้ Scout ละเลงElectronicและProgramingใน พาร์ทสุดท้าย

เรียกได้ว่าใส่ใจมากที่สุดในทุกอัลบัมของวงเลยก็ว่าได้

ถ้าเราจะชอบเสพย์งานที่มี มีภาคดนตรีที่สุดยอด มีลูกเล่น ยากพอหอมปากหอมคอ และน่าค้นหา
หรือเราอาจจะแวะไปเสพย์ เมโลดีสวยๆ ออดอ้อนหูคนได้ทุกคน

มั่นใจว่าต้องตกหลุมรักวงที่มีข้อทั้งสองอย่างนี้รวมกันอย่างแน่นอนครับ

Track By Track

The Realest
ถ้าจะนับความเป็น Head Space ต้องบอกว่า The Realest นี่แหละคือสิ่งที่แสดงการเติบโตของวงได้ที่สุดเลย

ความแท้จริง ที่พวกเขาพูดถึง การก้าวข้าม จุดๆหนึ่งมายังจุดนี้โดยที่พวกเขาได้เหยียบหัวคำโกหกหลอกหลวง ความจอมปลอมและการประจบสอพลทั้งหลาย เพื่อที่จะก้าวข้ามในเส้นทางต่อไป

The Realest ได้แสดงสดครั้งแรกที่ Hard Rock Live ใน Orlando ในวันที่1ตุลาคมปี2015และเป็นMVแรกของอัลบัมด้วยครับ

โดยที่ทางผู้เขียนได้ฟังครั้งแรกถือว่าเงิบพอสมควร
เพราะเพลงนี้เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นMichael Bohn ร้องคลีนนับตั้งแต่ติดตามจาก Woe, Is Meมาเป็นเวลา5ปีเต็มๆ

และนอกจากนี้ ภาคดนตรีที่พกพาออฟชั่นเต็มเหนี่ยวทั้งอินโทรเบสสไตล์ฟังค์กี้ ที่Skyler ประเคนให้ตั้งแต่ขึ้นสังเวียน รวมไปถึงท่อนสแลปเบส เผชิญหน้ากันกับ การสแครชแผ่นของสองแฝดนรก Acord (แอบนึกถึงLostprophets ชุดแรกเหมือนกันนะ)

อีก1ความพิเศษเป็นเพลงที่ AJ,SkylerและJosh ได้มาทำ Music Playthrough ทั้งกีตาร์,เบสและกลอง(ในขณะที่เขียนยังไม่มีScoutมานะครับแต่หวังให้มีอยู่)

Home Soon
ผ่อนคลายจากจังหวะสนุกๆในเพลงที่แล้ว มาถึงเพลงจังหวะช้าๆที่ภาคดนตรีไม่ซับซ้อนเท่าไร ด้วยการร้องสลับสครีมและคลีนของMichelที่ออกมาน้อยไปหน่อย
หรืออาจจะเป็นความตั้งใจให้เราโฟกัสไปยังการร้องคลีนเต็มๆของTylerที่ไม่ได้เน้นทางด้านโหนสูง แต่ใช้การหลบเสียงแทน

ระยะทางที่ห่างไกล อาจบั่นทอนความเข้าใจ เพลงนี้เลยพูด
ถึงคนที่คอยฉันอยู่ที่บ้าน ฉันจะกลับไปหา อีกไม่นาน.....

Lost-n-Found (On A Roll)
เพลงนี้ถือเป็นอีกครั้งที่Tylerจะพูดถึง เพศทางเลือกแบบที่เขาเป็น
แน่นอนว่า Lost-n-Found (On A Roll)เกี่ยวข้องกับ มูลนิธิ Lost-n-Found Youth (ที่มุ่งหวังจะสร้างบ้านและที่อยู่อาศัยให้แก่ชาวเพศทางเลือก)

ชีวิตของเพศทางเลือก ที่อาจไม่มีสิทธิ์มีเสียงในสังคมมากนัก

พวกเขามี พวกเขาอยู่อย่างถูกริดรอน ในขณะที่พวกเขาต่อสู้ พวกเขาเกื้อกูลและพวกเขาสามารถเลือกที่จะเป็นคนดีได้

เรียกได้ว่า วงเขียนเพลงนี้ได้อย่าง "รู้จังหวะ"แฟนๆเสียจริงๆ
เหมือนวางแผนไว้ว่าควรจะวางอะไรตรงไหน

ตั้งแต่ท่อนร้องส่งกันของTylerและMichel การใช้เสียงร้องเอื้อนๆและการวางท่อนบริดจ์เท่ห์ๆที่จะให้Michelใช้เสียงคลีนแทนการสครีม
ไม่ต้องพูดถึงท่อนประสานเสียงและปรบมือ ที่มีความพร้อมเพรียงกันในท้ายเพลง
Lost-n-Found (On A Roll) มีความเป็น Stingray Affliction ,Never Lose Your Flames และ Disappear รวมกันจริงๆ

ด้วยอินโทรเกรี้ยวกราดและริฟฟ์กีตาร์แบบStingray เนื้อหาจุดประกายแบบNever Loseและท่อนผสานเสียงในท้ายเพลงชวนให้นึกถึงการประสานเสียงในโบสถ์ แบบDisappear ทำให้มีความดุดันและสวยงามอย่างลงตัวทีเดียวครับ
(ท่อนเสียงประสานเสียงและปรบมือในท้ายเพลงถือเป็นส่วนที่สวยงามที่สุดอย่างหนึ่งในอัลบัมนี้

โดยคณะประสานเสียงสามสาวได้แก่ Brienne moore,Keanna "KJ Rose" HensonและChel Hill)
โดยรวมแล้วเพลงนี้ถือเป็นสุดยอดทั้งเนื้อหา ภาคดนตรีและความสวยงามทั้งหมดทั้งมวลนั้นขอยกให้เพลงนี้คือเพลงที่ผู้เขียนชอบมากที่สุดในอัลบัมครับ

Yung & Dum
เป็นอีกเพลงที่มีจังหวะช้าๆ ผสานกับ ไลน์คีย์บอร์ดๆที่เรียกได้ว่าเรียบเรียงได้สวยงามที่สุดเพลงหนึ่งเลย
ด้วยความเป็นลูกผสม R&B ผสานกับ Post-hardcoreและมี Electronicรองพื้นเช่นเคย เพียงแต่เพิ่มเมโลดีแบบ Countryมาด้วย

เพลงนี้ได้ Jonathan Langstonมาร่วมร้องด้วย โดยJonathan นี่แหละ เป็นศิลปินแนว countryที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่ง

สุดท้ายแล้วการเป็นตัวของตัวเองมีเกียริตมากที่สุดจริงๆครับ
ทิ้งท้าย เสียงไวโอลีนในเพลงนี้มาจาก Brandy Wynnซึ่งใช้การอัดจริงๆ แทนการใช้เสียงจำลองครับ

Made to Last
ขึ้นต้นด้วยเสียงคลีนของ Michael ผลัดกันกับเมโลดีสไตล์Carterโดยท่อน ฮุคมีสัมผัสกันเยอะพอควร

I’ve been changing
Can’t believe how long that I’ve been waiting
Hearts done breaking
I promise I’m a risk worth taking

โดยเพลงนี้เป็นเพลงที่บอกถึงการเปลี่ยนแปลง หรือการเติบโตขึ้น และสามารถดูแลและปกป้องคนสำคัญได้

Flojo
เสียงแสครช ประสานกับGroove กีตาร์เท่ห์ๆ ที่มีชั้นเชิง ผสานกับเมโลดีซนๆของTylerและแทบจะไม่มีท่อนร้องของ Michaelเลย
โดยในท้ายเพลง มีท่อน ให้Tylerแรพ เท่ห์ๆ

เพลงนี้พูดถึงตัวเองมากที่สุด หยั่งลึกลงไปถึงจิตใจของตัวเองและการตั้งคำถามต่อตัวเอง

ความพิเศษอีกอย่างของเพลงนี้คือ เสียงสครีมในท่อนบริดจ์เป็นของ Scoutครับ

Hero
การร้องของ Tyler ที่ได้ไสตล์มาจาก Michael Jackson ผสานกับดนตรีที่มีกลิ่น Dance Gavin Dance ศิลปินรุ่นพี่ของพวกเขา
และลูกเล่นของ AJ มีความเป็นFunky ขยี้กีตาร์ออกมาได้อย่างกลมกล่อมเป็นอีกสิ่งที่ไม่พูดถึงคงไม่ได้จริงๆ

เพลงนี้เรียกได้ว่าเป็นการทดลองทำสิ่งใหม่ๆของวงอีกเพลงนึงเลย
สุดท้ายแล้วความเป็นคนธรรมดามีเกียรติ ศักดิ์ศรีมากกว่าฮีโรจอมปลอมแน่นอนครับ

Coma
MV ตัวที่สองที่ปล่อยออกมา ณวันที่ 19 เม.ย. 2016 ที่กำกับโดย Dillon Novak โดยTylerมีส่วนช่วยในการเลือกเครื่องแต่งกายด้วย

Michaelเขียนเพลงนี้มาจากหนังเรื่อง If I Stay ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนทั้งสอง
โดยภาคดนตรีจะเป็น Post-hardcoreผสานกับNumetal เช่นเดิมและเป็นอีกครั้งที่ Michaelได้วางเสียงคลีนได้ถูกจังหวะ

โดยไม่ลืมที่จะสครีมในท่อนบริดจ์ นับได้ว่ามีการแบ่งไลน์การร้องที่ลงตัวอีกเพลงครับ

Rank Rider
ท่อนฮุคเท่ห์ๆและ เสียง แสครชเท่ห์ๆยังคงเป็นสิ่งที่ช่วยชูโรงเช่นเดิม พร้อมทั้งจังหวะให้คนดูช่วยผสานเสียง

Tylerเคยให้สัมภาษณ์ว่าไม่ชอบที่จะพูดถึงเพลงนี้สักเท่าไรนัก เลยขอ "เดา" ไว้ว่า
ในเนื้อเพลงมีคำว่า Dear Johns and alcohol อยู่บ่อยครั้งอาจจะพูดถึงพ่อขี้เมาของเขาก็ได้

Blue Wall
กำแพงสีน้ำเงิน

พูดถึงการกระทำที่ไม่ชอบ และเกินกว่าเหตุของ ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ที่ใช้ความรุงแรงต่อ บุคคลผิวสี
เพลงนี้ไส่ไสตล์ความเป็น Djentลงไป ทำให้มีความมืดหม่นและซีเรียสมากที่สุดในอัลบัม

โดยAJได้ร่วมร้องในเพลงนี้ด้วยครับ ยิ่งประสานสครีมกับ Michaelยิ่งเพิ่มความรุนแรงเข้ามาเป็นทวีคูณ ราวกับจะพูดถึงเหตุการ์ณ
ตำรวจยิงหนุ่มผิวสีเสียชีวิตในสหรัฐฯที่เป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก

Someone Who Does

ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาพูดถึง ครอบครัวที่เหลวแหลก ชีวิตวัยเด็กที่ไม่สวยงามนัก เกี่ยวกับการแตกแยกของครอบครัว พ่อแม่ที่ไม่สนใจลูก
(ไอเนื้อเพลงแนววัยรุ่นมีปัญหานี่นึกถึงLinkin Park จริงๆ)

Someone Who Doesเป็นเพลงที่ทางวงได้ทดลองที่จะใส่อะไรแปลกๆลงไปเช่น
โดยเพลงนี้ได้ไส่ trombone,tenor sax trumpet ลงไปด้วย

(ผลงานเป็นของ)ท่อนแรพสวยๆ ผสานเสียงสังเคราะห์ และท่อนคอรัสหมัดเด็ดที่ประเคนให้เข้าลำตัว
ก่อนที่เสียงเป่าปลายเพลง จะเบาลงๆเบาลงเรื่อยๆ เพื่อที่จะ.........

I Always Knew" (Instrumental)
เพลงบรรเลง และเป็น Interlude เช่นเดียวกับ Old Dena ในอัลบัมชุดที่แล้ว

ด้วยความเป็น ซาวนด์อีเล็กทรอนิกส์บรรเลงไปพร้อมกับกลองและเสียงเปียนโนผสานกับซาวนด์สังเคราะห์ได้อย่างลงตัว
และเป็นสะพานเชื่อมไปยัง

Slow Me Down
เป็นอีกเพลงช้าที่ยังคงมีกลิ่นอายมาจาก "I Always Knew" เป็นอีกเพลงที่ผมคิดว่า JoshและSkylerได้ให้ความสำคัญกับภาค ริทึ่มมากถึงมากที่สุด
โดยSkylerแอบไส่ไลน์เบส ลื่นๆสวยๆไว้ในเพลงด้วย

Slow Me Downเป็นอีกเพลงที่พูดถึง ความสำนึก และการรู้ตัว การตื่นและหลุดพ้นจากสิ่งที่เคยฉุดรั้งก่อให้เกิดความสำนึกผิด

เพลงนี้อุทิศให้แก่ ป้า ผู้มีพระคุณของ AJ ที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับเมื่อปี2014


Sleeping With Sirens - Let Love Bleed Red
เข้าร่วม: 31 Jan 2010
ตอบ: 88
ที่อยู่: The Past/The Love/The Memoires
โพสเมื่อ: Thu Feb 02, 2017 8:39 pm
[RE: My Best Albums of 2016]
https://www.facebook.com/neighbormusicreview

เปิดเพจแล้วนะครับ ยังไงฝากติดตามกันได้ที่นี่เลย ขอบคุณมากครับ


Sleeping With Sirens - Let Love Bleed Red
เข้าร่วม: 27 May 2010
ตอบ: 20153
ที่อยู่: ฺฺ [ stadio olimpico ]
โพสเมื่อ: Thu Feb 02, 2017 8:42 pm
[RE: My Best Albums of 2016]
nuvision พิมพ์ว่า:
https://www.facebook...hbormusicreview

เปิดเพจแล้วนะครับ ยังไงฝากติดตามกันได้ที่นี่เลย ขอบคุณมากครับ  



ขอบคุณครับ แต่เข้าไม่ได้อ่ะท่าน
0
0


เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 9272
ที่อยู่: Anfeild
โพสเมื่อ: Thu Feb 02, 2017 8:47 pm
[RE: My Best Albums of 2016]
ขอบคุณที่แนะนำครับ ชอบมากการบอกต่ออัลบั้มดีๆเนี่ย

0
0
เข้าร่วม: 21 Sep 2007
ตอบ: 7314
ที่อยู่: ร้านขายเสื้อผ้าที่หัวใจโมนะอยู่ตรงนั้น
โพสเมื่อ: Thu Feb 02, 2017 9:08 pm
[RE: My Best Albums of 2016]
สุดยอดครับ
0
0

เข้าร่วม: 29 Oct 2013
ตอบ: 1844
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Thu Feb 02, 2017 9:17 pm
[RE: My Best Albums of 2016]
ได้ความรู้เรื่องเพลงดีมากครับ

นึกถึงสมัยอ่าน music express เลย
0
0
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 1496
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Feb 03, 2017 7:39 am
[RE: My Best Albums of 2016]
- ชอบเสียง Denis แต่ไปซะแล้ว
- Cover Your Tracks น่าลองดีครับ
0
0
เข้าร่วม: 17 Feb 2010
ตอบ: 2261
ที่อยู่: ประเทศไทย
โพสเมื่อ: Fri Feb 03, 2017 9:41 am
[RE: My Best Albums of 2016]
ขอบคุณครับ

เป็นกำลังใจให้นะท่าน
0
0