^^ 9 ภาพยนตร์ เสริมภาษาอังกฤษ ^^
ภาพยนตร์ถือเป็นสื่อกลางอย่างหนึ่งที่น่าสนใจในการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ตลอดชีวิตการเรียนที่ผ่านมาน้องๆ หลายคนอาจเหน็ดเหนื่อยกับการเรียนไวยากรณ์และคำศัพท์ผ่านหนังสือเรียนมาพอสมควร ดังนั้นวันนี้ จึงนำภาพยนตร์น่าสนใจจากฮอลลีวู้ด 9 เรื่องมาให้ลองชม เพื่อพักเบรคสมองแต่ในขณะเดียวกันก็ช่วยเพิ่มทักษะการฟังและการสนทนาภาษาอังกฤษ
สำหรับผู้ที่มีทักษะภาษาอังกฤษอยู่ในระดับเริ่มต้น หนึ่ง ให้เลือกภาพยนตร์ที่รู้จักหรือเคยดูและเข้าใจง่าย เพื่อที่จะได้ให้ความสนใจกับภาษาอังกฤษได้เต็มที่โดยไม่ต้องติดตามเนื้อเรื่องมากนัก เพราะรู้พล็อตเรื่องอยู่แล้ว สอง ดูในรูปแบบ Subtitle แทนการพากษ์เสียงภาษาไทย สาม พยายามดูและฟังซ้ำบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการอ่านคำบรรยายตลอดเวลา สี่ เลือกภาพยนตร์ที่มีสำเนียงเดียวกันทั้งเรื่องป้องกันการสับสน และสุดท้าย ขึ้นอยู่กับเทคนิคของแต่ละคน อาจชวนเพื่อนมาดูด้วยกันเพื่อที่จะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น หรือจะจดบันทึกประโยคเด็ดคำโดนๆ ในภาพยนตร์เป็นระยะๆ ก็ได้
1.“The Social Network” (2010)

drnorth.files.wordpress.com
น้อยคนมากที่จะไม่รู้จักภาพยนตร์เรื่องนี้ เพราะนี่เป็นภาพยนตร์อัตชีวประวัติของ Mark Zuckerberg ผู้คิดค้น Facebook ที่ทุกคนใช้กันทั่วโลกนั่นเอง Zuckerberg เป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดที่ต้องการปฏิรูประบบการสื่อสาร โดยภาพยนตร์ก็จะบอกเล่าเรื่องราวว่ากว่าที่หนุ่มผู้ทรงอิทธิพลคนนี้จะกลายเป็นเศรษฐีระดับโลกต้องผ่านอะไรมาบ้าง ซึ่งไม่ได้เป็นเส้นทางที่ราบเรียบเลย มีเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดที่ต้องการให้เขาล้มเหลวเพียบ!
ภาพยนตร์ดังกล่าวได้รับรางวัล และเขียนบทโดย Aaron Sorkin ที่มีชื่อเสียงในด้านการสร้างบทสนทนาที่เป็นธรรมชาติและสอดแทรกมุขตลก ซึ่งทำให้คนดูรู้สึกสนุก เพลิดเพลินจนจบเรื่อง และคนส่วนมากก็น่าจะรู้จัก Facebook จึงทำให้เข้าใจและเชื่อมโยงเรื่องราวได้อัตโนมัติ นอกจากนี้ยังได้คำศัพท์เจ๋งๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์, เทคโนโลยี และ สังคมออนไลน์
สำหรับประโยคที่น่าสนใจ “I invented Facebook!” จาก Mark Zuckerberg แปลว่า “ผมคิดค้นเฟซบุ๊ค!”
2.“The Hangover” (2009)

www.drunkmoviezone.com/drinking-games/the-hangover/
ภาพยนตร์ตลกสุดเกรียนที่พูดถึงกลุ่มเพื่อนชายสี่คนที่เดินทางไปลาสเวกัสเพื่อจัดปาร์ตี้สละโสดก่อนที่เพื่อนจะแต่งงาน โดยผู้ชมจะได้เห็นการผจญภัยสุดอันตรายและเต็มไปด้วยปัญหาของพวกเขา จนต้องเผลอลุ้นและเอาใจช่วยให้พวกเขาสามารถกลับไปเข้าร่วมงานแต่งงานได้ทันเวลา
สำหรับใครที่ชื่นชอบอะไรที่ตลกๆ ไม่ควรพลาดเรื่องนี้ เพราะมันตลกมากและเนื้อเรื่องชวนติดตามจนไม่สามารถละสายตาได้ และตัวละครทุกตัวใน The Hangover ยังใช้ภาษาอังกฤษที่ใช้ในชีวิตประจำวัน คำศัพท์อังกฤษอเมริกันแสลงที่ถ้าหากน้องๆ คนไหนมีแผนจะไปเรียนต่ออเมริกาก็สามารถนำไปใช้ได้ ยกตัวอย่างคำแสลงในเรื่องนี้ เช่น “stag party” มาจาก bachelor party ที่แปลว่างานเลี้ยงสละโสด และ “all-nighter” มาจาก staying up all night without sleep คือ การอยู่ทั้งคืนโดยไม่นอน
ประโยคที่น่าสนใจ “What happens in Vegas stays in Vegas.” สิ่งที่เกิดขึ้นที่เวกัสก็ให้อยู่ที่วกัส
3.“The Hunger Games” (2012)

www.popsugar.com/entertainment/Hunger-Games-Survival-Skills-Quiz-35144112
The Hunger Games บอกเล่าเรื่องราวในอนาคต ในประเทศที่เรียกว่า Panem ซึ่งในแต่ละปีทุกเขตจะต้องส่งตัวแทน 2 คน เข้าร่วมการประลองในการแข่งขันที่เรียกว่า The Hunger Games โดนผ่านการเลือกจากการสุ่มจับลอตเตอร์รี่ แต่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นเมื่อตัวเอกในเรื่องนี้ คือ Katniss สาวน้อยวัย 16 ปีจากเขต 12 อาสาลงแข่งขันแทนน้องสาวที่ชื่อถูกจับสลากในการประลองครั้งที่ 74 เอง นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเรื่องราวการแข่งขันที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย
นอกจากความสนุกของภาพยนตร์แล้ว The Hunger Games ถือเป็นหนังที่เห็นภาพได้ชัดมาก หากไม่เข้าใจหรือไม่ทันบทสนทนาในเรื่องก็สามารถดูจากการกระทำต่างๆ ได้ ภาษาค่อนข้างเข้าใจง่ายไม่เหมือนภาพยนตร์ sci-fi และ futuristic เรื่องอื่นที่มักใช้คำที่ซับซ้อน สำเนียงเป็นแบบอเมริกันเหนือ ตัวละครพูดไม่เร็วเกินไปนัก ทำให้เข้าใจว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แถมยังครบรสมีทั้งฉากบู๊ ,โรแมนติก, คอมเมดี้ และพล็อตเจ๋งๆ ที่เล่าถึงโลกอนาคต
ประโยคเด็ด “Here’s some advice, stay alive!” “นี่เป็นคำเป็นคำแนะนำ, จงมีชีวิตอยู่!”
4.“Toy Story” (1995)

byretheatre.com/events/saturday-film-club-toy-story-1/
การ์ตูนอนิเมชันสุดคลาสสิคที่เด็กยุค 90 ต้องเคยดู! เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งชื่อ Andy ที่ชอบเล่นกับของเล่นมากมายที่มีอยู่ในห้องนอนของเขา เรื่องเหลือเชื่อก็คือ เวลาที่ Andy ไม่อยู่ ของเล่นทุกชิ้นจะฟื้นขึ้นมามีชีวิต ในภาคแรกนี้แม่ของ Andy ซื้อของเล่นชิ้นใหม่ที่ชื่อ Buzz Lightyear จึงทำให้ ตุ๊กตาสวมหมวกคาวบอยที่ชื่อ Woody ซึ่งเป็นของเล่นชิ้นโปรดตกกระป๋อง จึงเกิดเป็นเรื่องราวการต่อสู้และการผจญภัยเพื่อกำจัดอีกฝ่ายที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
ด้วยความที่เป็นการ์ตูนสำหรับเด็กทำให้คำศัพท์ที่ใช้ไม่ซับซ้อน เข้าใจง่าย แถมยังสอดแทรกมุขตลกที่แม้แต่ผู้ใหญ่ก็สามารถรู้สึกสนุกไปด้วยได้ ประโยคเด็ดเป็นตอนที่ Woody พูดกับ Buzz Lightyear “This town ain’t big enough for the two of us.” แปลว่า “เมืองนี้ไม่ใหญ่พอสำหรับเราสองคน”
5.“Cast Away” (2000)

www.telegraph.co.uk/culture/culturereviews/10514113/Cast-Away-2000-original-Telegraph-review.html
ภาพยนตร์อเมริกันผจญภัยสุดดราม่าที่บอกเล่าเรื่องราวของ Chuck Noland เจ้าหน้าที่ Fedex ที่กำลังมุ่งหน้าไปมาเลเซียเพื่อทำงานส่งของวัสดุ โชคร้ายโดนพายุซัดจนเครื่องบินตกกลางมหาสมุทรแปซิฟิก ในขณะเดียวกันก็โชคดี เพราะเขาเป็นผู้เดียวที่รอด แต่ต้องติดเกาะร้างที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลยนอกจากพืชพรรณไม้และลูกบอลที่เขาตั้งชื่อให้ว่า 'Wilson' เป็นเวลา 4 ปี !
ในภาพยนตร์ดังกล่าวเน้นบทสนทนาแบบ monologue หรือก็คือ การพูดคนเดียว ไม่มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ไม่มีตัวละครหลายตัว ซึ่งทำให้ติดตามเรื่องราวได้ง่าย อีกทั้งนักแสดงนำอย่าง Tom Hanks ก็ยังมีสำเนียงที่ชัดเจน พูดช้า ซึ่งเหมาะมากสำหรับผู้เรียนภาษาอังกฤษ ประโยคเด็ดเป็นตอนที่ Chuck พูดกับลูกบอลของเขา : “Don’t worry Wilson. I’ll do the paddling. You just hang on.”
6.“(500) Days of Summer” (2009)

yuelisa.blogspot.com/
ภาพยนตร์รักที่ไม่ธรรมดา ในวันที่ 8 เดือกมกราคม สถาปนิกหนุ่ม Tom Hansen ได้เจอกับ Summer Finn และตกหลุมรักเธอในทันที ภายในไม่กี่เดือนต่อมาพวกเขาได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น แต่ Summer กลับบอกเขาว่า 'เธอไม่เชื่อในความรัก' เรื่องราวแสดงให้เห็นถึงความรักที่สวนทางกันระหว่าง Summer และ Tom สองสามปีต่อมาพวกเขากลับมาเจอกันอีกครั้ง และเธอได้อธิบายว่าสิ่งที่ Tom เคยพูดเกี่ยวกับความรักเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และตอนนี้เธอพบใครบางคนแล้ว
ภาษาอังกฤษในภาพยนตร์นี้เข้าใจง่าย เป็นเรื่องเล่าจากมุมมองของคนๆ หนึ่ง ทำให้ติดตามเรื่องราวได้ง่าย รวมถึงภาพยนตร์ดังกล่าวยังมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกอินไปกับมันตั้งแต่ต้นจนจบ ประโยคน่าสนใจจาก Tom : “Either she’s an evil, emotionless miserable human being, or…she’s a robot.”
7.“Twilight” (2008)

emorywheel.com/22536-2/
เรื่องราวความรักระหว่าง Bella สาวน้อยคนหนึ่งที่ไม่เหมือนวัยรุ่นทั่วไปอาศัยอยู่กับพ่อที่เมืองเล็กในWashington และ Edward Cullen ชายหนุ่มสุดลึกลับหน้าตาดีที่แท้จริงแล้วเป็นแวมไพร์ตั้งแต่ปี 1918 ภาพยนตร์เรื่องนี้เปรียบได้กับเรื่องราวความรักต้องห้ามระหว่าง Romeo และ Juliet แต่เป็นในเวอร์ชันที่ทันสมัยหน่อย
การใช้ภาษาอังกฤษในเรื่องนี้เป็นภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เหมาะกับผู้ชมตั้งแต่วัยรุ่นขึ้นไปจนถึงวัยผู้ใหญ่ตอนต้น สำเนียงของตัวละครแต่ละตัวมีความชัดและเข้าใจง่าย อีกทั้งก่อนที่จะมาสร้างเป็นภาพยนตร์ก็เป็นนิยายขายดีมาก่อน ซึ่งถ้าใครได้ลองอ่านแล้วก็จะทำให้เข้าใจเนื้อเรื่องได้ง่ายเข้าไปอีก
ประโยคเด็ดจาก Edward ถึง Bella “You’re my life now.” “ตอนนี้เธอเป็นชีวิตของฉันแล้ว” โรแมนติกไหมล่ะ
8.“The Break-up” (2006)

www.thegloss.com/career/what-to-do-after-break-up/
ภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวความรักอีกเช่นกัน แต่เป็นตอนที่คู่รักเลิกกันแล้ว โดยตัวละครหลัก คือ Gary และ Brooke ทั้งคู่เจอกันที่ Chicago Cubs game และตกหลุมรักกันในทันที Brooke ชอบความมีอารมณ์ขันของ Gary ทั้งคู่เริ่มเดทจนในที่สุดก็ซื้อคอนโดอยู่ร่วมกัน แต่ยิ่งอยู่ด้วยกันไปก็ยิ่งค้นพบว่าเข้ากันไม่ได้จนต้องเลิกรากัน แต่เรื่องก็ไม่จบที่การเลิกรา เพราะพวกเขาตัดสินใจไม่ได้ว่าจะทำอย่างไรกับคอนโด ดังนั้นเลยอยู่ร่วมกันในฐานะรูมเมท เรื่องราวสุดฮาชวนปวดหัวใจจึงเกิดขึ้น
เต็มไปด้วยภาษาแสลงที่ใช้ในชีวิตประจำวันและใช้ในหลายสถานการณ์ในสังคม น้องๆ จะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการสื่อสารทั่วไประหว่างคู่รักและการโต้แย้ง ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่ตลก มีอารมณ์ขัน เข้าใจง่าย แม้แต่ผู้ที่ไม่ใช่เจ้าของภาษายังสามารถเข้าใจมุขตลกที่สอดแทรกได้ ประโยคเด็ด Gary to Brooke: “Is that how you want to play it Brooke? Because I can play it like that. I can play it like Lionel Richie, all night long.”
9.“Forrest Gump” (1994)

uncouthmarie.wordpress.com
ภาพยนตร์ชวนให้อมยิ้มตลอดทั้งเรื่อง เปิดเรื่องด้วยตัวละครหลัก Forrest Gump กำลังรอรถบัส ในขณะที่รอเขาก็เลยเล่าเรื่องราวในอดีตให้คนแปลกหน้าแถวนั้นฟัง Forrest Gump เป็นเด็กชายที่ขามีปัญหาและจำเป็นต้องสวมเครื่องพยุง เขาถูกเด็กคนอื่นทำเหมือนตัวตลกตลอดช่วงชีวิตในวัยเด็ก จนกระทั่งได้เจอ Jenny เขาตกหลุมรักเธอและกลายเป็นเพื่อนสนิทกัน
วันหนึ่งในขณะที่เขากำลังวิ่งหนีเด็กคนอื่น เขาก็ค้นพบว่าตัวเองวิ่งได้เร็วมาก ถึงแม้ว่าเขาจะค่อนข้างหัวทีบแต่ก็สามารถชิงทุนเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้ด้วยการวิ่ง หลังจากที่เรียนจบเขาก็เข้าร่วมสงครามในเวียดนาม ได้ช่วยชีวิตเพื่อนทหารจำนวนมาก ทางด้าน Jenny ก็กลับบ้านเกิด เธอกลายเป็นคนติดยาและป่วยใกล้ตาย เมื่อ Forrest Gump เจอเธออีกครั้งเขาขอเธอแต่งงาน แต่เธอปฏิเสธ เขาจึงตัดสินใจไปวิ่งเพื่อดับอารมณ์ แต่กลายเป็นว่าการวิ่งของเขากลายเป็นการวิ่งมาราธอน และยาวนานถึง 3 ปี
ภาษาอังกฤษในเรื่องนี้เป็นภาษาที่ง่ายและไม่ซับซ้อน ติดตามได้ต่อเนื่อง นอกจากเรื่องภาษาก็ยังได้เรียนรู้เหตุกาณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในช่วงหนึ่งของสหรัญอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นสงครามกับเวียดนาม หรือวัฒนธรรมสุดป๊อบปูล่าร์ Hippy ในช่วงยุค 60 ไม่เพียงเท่านั้นภาพยนตร์ดังกล่าวยังเป็นที่ชื่นชอบของคนจำนวนมากทั่วโลกทำให้น้องๆ สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้ ซึ่งจะช่วยพัฒนาทักษะทางด้านการสนทนา
ประโยคเด็ดที่ใครๆ ก็จำได้ เป็นตอนที่ Forrest Gump พูดกับคนแปลกหน้าตรงป้ายรอรถบัส “Life is like a box of chocolates, you never know what you’re going to get.” แปลว่า ชีวิตก็เหมือนกล่องช็อคโกแลต, คุณไม่รู้หรอกว่าคุณจะได้อะไร (อะไรอยู่ข้างใน)
อ้างอิงจาก:
