ตำนานสังหารที่โลกไม่เคยลืม บทบันทึกความเลวร้ายที่ปรากฎในประวัติศาสตร์ ที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันอย่างป่าเถื่อนทารุณ จากโศกนาฏกรรม "กัมพูชา" ช่วงเขมรแดงเรืองอำนาจหลังจากยึดกรุงพนมเปญได้ในปี 2518 ทั่วทั้งแผ่นดินแดงฉานด้วยเลือดประชาชนผู้บริสุทธิ์ที่ตกเป็นเหยื่อความโหดเหี้ยม
ย้อนอดีต (หลายศตวรรษให้หลังมหาอาณาจักรอันเกรียงไกร) ประวัติศาสตร์กัมพูชายุคใหม่เริ่มต้น เมื่อได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์ตามข้อตกลงเจนีวาระหว่างเวียดนามกับฝรั่งเศสเมื่อพ.ศ.2497 สมเด็จเจ้านโรดมสีหนุปกครองประเทศมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งผลกระทบของสงครามเย็นทำให้กัมพูชาในช่วงปี 2508 สภาพเศรษฐกิจและสังคมตกต่ำเสื่อมโทรมถึงขีดสุด เกิดความวุ่นวายทางการเมืองและการเดินขบวนประท้วงรัฐบาลของนักศึกษาประชาชน เดือนเมษายน 2510 ชาวบ้านและชาวนาในอำเภอซัมลูด จังหวัดพระตะบอง ก่อการจลาจล รัฐบาลส่งทหารเข้าปราบปรามอย่างรุนแรง ทำให้ประชาชนซึ่งถูกรวมเรียกเป็น ฝ่ายซ้าย หลบหนีเข้าร่วมกับฝ่ายคอมมิวนิสต์กัมพูชา ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ในพื้นที่ป่าเขา ต่อมาเดือนมีนาคม 2513 นายพลลอน นอล ทำการรัฐประหาร ก่อนกองกำลังฝ่ายคอมมิวนิสต์กัมพูชา หรือเขมรแดง (Khmer Rouge) ซึ่งมีเวียดกงเป็นพันธมิตร เข้ายึดอำนาจปกครองกัมพูชาได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2518 จากนั้นมากัมพูชาอยู่ภายใต้อำนาจของนายพล พต ผู้นำกลุ่มเขมรแดง ผู้โค่นล้มรัฐบาลลอน นอล ที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา
โดยในช่วงแรกผู้คนต่างโห่ร้องดีใจหลังจากที่ เขมรแดงได้ยึดอำนาจจากนายพลลอน นอล เพราะหวังว่าความสงบสุขจะกลับมาเยือนชาว กัมพูชาอีกครั้ง
พลพต สั่งให้อบยพผู้คนจากกรุงพนมเปญสู่ชนบท เพื่อทำการเกษตร ทุกคนได้แต่หวังว่าจะมีข้าวกิน มีการทำนาที่เป็นระบบนารวม จากในรูปเด็กๆ และพ่อแม่ หรือ พี่กับน้อง ต่างจูงมือกันมุงสู่ต่างจังหวัด โดยหารู้ไม่ว่าสิ่งที่รอพวกเขาอยู่ คือความตาย
กัมพูชาในกำมือนายพล พต ระหว่างปี 2518-2522 ตกอยู่ในความรุนแรงสุดขั้ว เพื่อปรับปรุงระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมพึ่งตนเอง ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากภายนอกประเทศ และไม่ยอมเป็นพันธมิตรกับชาติใด ๆ โดดเดี่ยวประเทศออกจากอิทธิพลของต่างชาติ ปิดโรงเรียน โรงพยาบาล โรงงาน ยกเลิกระบบธนาคาร ระบบเงินตรา ยึดทรัพย์สินจากเอกชนทั้งหมด พล พต คลั่งลัทธิซ้ายสุด ๆ เขาเชื่อว่าระบบสังคมนิยมจะนำกัมพูชาไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองเหมือนในอดีตได้
โดยประเทศควรจะอยู่อย่างสันโดษ ไม่ต้องเพิ่งวิทยาการเทคโนโลยีใด ๆ ขอให้มีข้าวกินก็อยู่ได้ เขาจึงกวาดล้างผู้ที่เป็นปฏิปักษ์ทางความคิด นักศึกษาปัญญาชน แพทย์ วิศวกร นักปราชญ์ ศิลปิน เล่ากันว่าคนใส่แว่นสายตาที่ดูเหมือนมีความรู้ เป็นภัยต่อความมั่นคง ปกครองยาก จะถูกฆ่าอย่างไร้เหตุผล เขาต้องการให้กัมพูชามีแต่ชนชั้นกรรมาชีพ นี่ไม่ใช่บทหนังหรือละคร แต่เป็นความจริงที่มนุษย์กระทำต่อมนุษย์ด้วยกันอย่างป่าเถื่อนทารุณ เมื่อเขมรแดงยึดกรุงพนมเปญ
ประชาชนพลเมืองถูกหลอกออกจากเมืองไปยังชนบทกันดาร พล พตต้องการเปลี่ยนให้ชาวกัมพูชากลับไปเป็นชนชั้นดั้งเดิม ใช้แรงงานเพื่อการเกษตร ทุกคนต้องเป็นชาวนาชาวไร่ อาศัยอยู่ในค่ายแรงงาน ทำงานวันละ 12 ชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก รวมทั้งไม่มีอาหารที่เพียงพอ ในเวลากว่า 4 ปีที่ พล พตอยู่ในอำนาจ มีผู้คนล้มตาย อดอยาก ถูกทารุณกรรม ถูกฆ่าอย่างมหาศาล “ทุ่งสังหาร” อุบัติขึ้น ณ เวลานั้น นโยบายหนึ่งที่ทำให้ผู้บริสุทธิ์ถูกฆ่าป็นผักปลา คือเขมรแดงต้องการให้กัมพูชาเป็นประเทศที่มีแต่คนเชื้อสายเดียว คือเชื้อสายกัมพูชา ชนกลุ่มน้อยอย่างชาวเวียดนาม และชาวจีน จึงถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ รวมถึงคนเขมรด้วยกันเอง
ประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตประมาณ 1.5-2 ล้านคน นับเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่เลวร้ายที่สุดของศตวรรษที่ 20
เดือนมกราคม พ.ศ.2522 เขมรฝ่ายที่เวียดนามหนุนหลัง บุกเข้ายึดกรุงพนมเปญ เขมรแดงแตกพ่ายมาหลบอยู่ตามตะเข็บชายแดนกัมพูชา-ไทย ในขณะที่มีระเบิดนับสิบล้านลูกฝังอยู่ทั่วประเทศ ต่อมา พ.ศ.2525 พล พตร่วมกับเจ้าสีหนุจัดตั้งรัฐบาลผสมกัมพูชาธิปไตย นายเขียว สัมพัน ขึ้นเป็นผู้นำในปี 2528 แต่เชื่อกันว่าพล พตกุมอำนาจที่แท้จริง ถึง พ.ศ.2534 กลุ่มต่าง ๆ ในเขมรลงนามสันติภาพ ให้มีการเลือกตั้งที่กำกับโดยสหประชาชาติ แต่แล้วเขมรแดงกลับปฏิเสธผลการเลือกตั้งที่จะได้รัฐบาลผสมในปี 2535 แม้ว่าจะเสียกำลังพลไปจำนวนมากแล้วก็ตาม จากการต่อสู้แย่งชิงอำนาจที่เกิดขึ้นจากภายในกลุ่มเอง
ปี 2536 สหประชาชาติสนับสนุนให้มีการจัดเลือกตั้งใหญ่ เพื่อนำประเทศกลับสู่สภาพปกติ ตอนนั้นเองที่เขมรแดงหมดอำนาจลงอย่างรวดเร็ว รัฐบาลที่ได้ครองอำนาจในระยะนั้นเป็นรัฐบาลผสม และหลังจากการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศในปี 2541 ทำให้การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น นำไปสู่การยอมจำนนของกองกำลังเขมรแดง พล พต ถูกจับกุมและสิ้นใจตายเยี่ยงคนสิ้นไร้ไม้ตอกในกระท่อมเล็ก ๆ ที่เป็นที่คุมขัง ในวันที่ 15 เมษายน 2541 สมาชิกของเขมรแดงบางส่วนยอมจำนนและถูกจับ ระดับแกนนำพากันหนีหัวซุกหัวซุน
วันที่ 19 พ.ค. เมื่อ 82 ปีก่อน ด.ช.ซาโล้ธ ซาร์ (Saloth Sar) ได้ลืมตาขึ้นมาดูโลก แต่ก็ไม่มีผู้ใดรู้จักและสนใจ กระทั่งอีก 50 ปีต่อมา เมื่อเขากลายเป็นฆาตรกรโหด ที่ชื่อ พล พต (Pol Pot)หรือ “โปล โป้ท” ผู้นำของฝ่ายเขมรแดง ที่ใช้อำนาจเผด็จการปกครองกัมพูชาระหว่างต้นปี 2518 ถึงต้นปี 2522 วันนี้ของทุกปีผู้ที่ยังจงรักภักดีต่ออดีตผู้นำก็จะไปจุดธูปเทียน ทำบุญกรวดน้ำ และ บางคนก็ไปขอหวย ณ ศาลเพียงตามุงหลังคามุงสังกะสี ทำขึ้นครอบกองฟอน ที่นั่นอยู่ในเขต อ.อันลองแวง (Anlong Veng) จ. อุดรมีชัย (Oddor Meanchey) อยู่ห่างจากชายแดนไทยด้านช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ไม่ไกลนัก และก็ช่างบังเอิญเหลือเกิน ในวันเดียวกันนี้ของทุกปี ชาวเวียดนามก็จัดพิธีรำลึกวันคล้ายวันเกิดครบรอบปีที่ 117 ของอดีตผู้นำที่เป็น “บิดาแห่งเอกราช” โฮจิมินห์ หรือ ลุงโฮ ประธานโฮจิมินห์เกิดวันที่ 19 พ.ค.1890 ในชื่อ “เหวียนอายก๊วก” (Nguyen Ai Quoc) ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น “โห่ จี๊ มิง” (Ho Chi Minh) ในเวลาต่อมา
ภูมิหลังของบุคคลทั้งสองช่างคล้ายกันอย่างบังเอิญ หนุ่มเหวียนอายก๊วก และ ซาโล้ธ ซาร์ ล้วนเคยไปใช้ชีวิตในฝรั่งเศส และได้รับอิทธิพลจากการคอมมิวนิสต์ที่นั่น ก่อนจะเดินทางกลับไปเคลื่อนไหวในบ้านเกิด ชี้นำประเทศชาติด้วยลัทธิมาร์กซ์-เลนิน เหมือนกัน
เยือนคุก ตวลสแลง ย้อนรอยความโหดเหี้ยมในยุคเขมรแดงเรืองอำนาจ กับความโหดร้ายป่าเถื่อนที่โลกต้องจารึก
อาคารเรียนชั้นล่างถูกดัดแปลงให้เป็นที่ขังเดี่ยว ส่วนด้านบนเป็นที่ขังรวม โดยชั้นกลางเป็นที่ขังนักโทษหญิง ช่องขังนักโทษนั้นกว้างและยาวราว 1 เมตรสำหรับนักโทษ 4 คน และกว้าง 6 เมตรสำหรับนักโทษราว 20-30 คน ทุกคนมีโซ่ตรวนไว้ คนส่วนใหญ่ที่ถูกคัดมาที่นี่จะเป็นปัญญาชน ศศนาเล่าตามคำบอกของแม่ว่าเขมรแดงจะถามประชาชนว่ามีอาชีพอะไร หากบอกว่านักศึกษา ครู ก็จะส่งมาที่โตน สเลง
ภาพของผู้เสียชีวิตจะติดไว้ตามผนังห้อง แสดงให้เห็นถึงความโหดเที้ยมทารุณโดยไม่ต้องอธิบายเป็นคำพูดใดๆ
นักโทษจะถูกเรียกรวมพลทุกตีสี่ครึ่ง ผู้คุมจะตรวจตราอย่าละเอียดยิบ และสอบสวน กฎเหล็ก 10 ข้อที่เขียนติดเป็นป้ายอยู่ด้านหน้านั้น อ่านแล้วไม่น่าเชื่อเลยว่านี่คือสิ่งที่มนุษย์ปฏิบัติต่อมนุษย์ หากพวกเขาฝ่าฝืนต้องถูกโบยตี หรือจับหัวยัดตุ่มปุ๋ย ไม่ก็จับเข้าเครื่องทรมาน ช็อตด้วยไฟฟ้า เวลาอาบน้ำก็ต้องมาอยู่รวมกันและผู้คุมจะสาดน้ำเข้าไป นานๆ ถึงจะได้อาบที ทีนี่จึงเหม็นสาบ เต็มไปด้วยคราบไคลและเชื้อโรค
1. You must answer accordingly to my questions. Do not turn them away. คุณต้องตอบคำถามของเราทุกคำถาม ห้ามแสแสร้งและห้ามปฏิเสธ
2. Do not try to hide the facts by making pretexts of this and that. You are strictly prohibited to contest me. ห้ามโกหก ห้ามปฏิเสธและห้ามเถียงเรา
3. Do not be a fool for you are a chap who dares to thwart the revolution. อย่างี่เง่าและอย่าทำตัวโง่ๆ เพราะคุณเป็นคนโง่ที่พยายามต่อต้านพวกเรา
4. You must immediately answer my questions without wasting time to reflect. เมื่อถูกถามต้องตอบทันทีอย่าเสียเวลาคิด
5. Do not tell me either about your immoralities or the revolution. ห้ามพูดหรือแสดงความคิดเห็นที่ทำให้เกิดการต่อต้าน
6. While getting lashes or electrification you must not cry at all. ระหว่างถูกลงโทษห้ามร้องไห้ และห้ามส่งเสียงแม้แต่นิดเดียว
7. Do nothing. Sit still and wait for my orders. If there is no order, keep quiet. When I ask you to do something. You must do it right away without protesting. อยู่นิ่งๆ นั่งรอและคอยคำสั่ง ถ้าไม่มีคำสั่งให้อยู่เงียบๆ แต่เมื่อมีคำสั่งต้องทำทันทีโดยไม่มีข้อสงสัยและข้อประท้วง
8. Do not make pretexts about Kampuchea Krom in order to hide your jaw of traitor. อย่าพยายามเสแสร้งเพื่อซ่อนความรู้สึกต่อต้านพวกเรา
9. If you do not follow all the above rules, you shall get many lashes of electric wire. ถ้าไม่ทำตามกฎระเบียบทุกข้อเหล่านี้ จะโดนชอร์ตด้วยไฟฟ้า
10. If you disobey and point of my regulations you shall get either ten lashes or five shocks of electric discharge. ถ้าฝ่าฝืนข้อใดข้อหนึ่งจะถูกเฆี่ยนด้วยแส้ 10 ครั้ง หรือจะถูกชอร์ตด้วยไฟฟ้า 5 ครั้ง
ขึ้นมาที่ชั้นสามมองออกไปจะเห็นตึกสูงตระหง่าน ซึ่ง กัมพูชาณวันนี้เจริญพอสมควร
สำหรับ 10 ข้อนี้นักโทษทุกคนต้องทำตามไม่ว่าจะเป็นใครทั้งสิ้น นอกจากกฎ 10 ข้อนี้ ยังมีกฎอีกมากมายที่เรียกว่าเป็น unwritten rules ถ้าจะแปลเป็นภาษาไทยก็คือกฎที่รู้ๆ กันอยู่ เหมือนว่าเป็นทางการ อย่างเช่น เวลานอนถ้านักโทษคิดจะเปลี่ยนท่านอนยังต้องขออนุญาตผู้คุม ถ้าจะใช้ห้องน้ำก็ต้องขออนุญาตเช่นเดียวกัน ถ้าไม่ขออนุญาตและฝืนพลิกตัวเปลี่ยนท่านอน หรือแอบปลดทุกข์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้คุมก็จะถูกอัด
ส่วนการอาบน้ำที่มีไม่บ่อยนัก ส่วนใหญ่ผู้คุมจะรวบรวมนักโทษให้อยู่ในห้องเดียวกันแล้วก็อาจจะเอาสายยางเข้าไปฉีดให้ชุ่มๆ และการอาบน้ำแบบนี้มี 4 วันต่อครั้ง หรือบางทีอาทิตย์ละหน ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงเรื่องโรคติดต่อหรือเรื่องความสกปรก
ช่วงแรกๆ ที่นักโทษเข้าไปอยู่ในคุก S-21 ก่อนที่จะถึงคิวรีดคำสารภาพ หลังจากที่ถ่ายรูปและเก็บประวัติอย่างละเอียดเรียบร้อยแล้วนักโทษจะอยู่ในห้องขังและถูกให้อดอาหารเป็นเวลายาวนานเหมือนกัน หรือถ้าได้อาหารก็เหมือนไม่ได้ เพราะมันเป็นปริมาณที่น้อยมาก อย่างเช่น อาจจะเป็นข้าวต้ม 3 ช้อนต่อวันและไม่มีกับข้าว คือจะให้ทรมานทางจิตใจไว้ก่อนแล้วค่อยทรมานทางร่างกาย เพื่อให้นักโทษคนนั้นยอมรับข้อกล่าวหาทุกประการง่ายขึ้น
นี่เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่ใช้ทรมานนักโทษเพื่อให้รับสารภาพก่อนที่จะถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยมทารุณ
ขั้นต่อไปคือการรีดไถคำสารภาพ ซึ่งก็คือการทารุณเพื่อบังคับให้สารภาพนั่นเอง ถ้ามีโอกาสได้ไปดูที่พิพิธภัณฑ์ S-21 หรือ Genocide Museum จะมีแต่ความสงสารและหดหู่ เพราะมันเหลือเชื่อว่าคนจะสามารถทำกับคนได้ถึงขนาดนี้ เพราะบางทีเวลาเรานึกถึงการทารุณคนหรือ genocide เรามักจะนึกถึงการที่ฮิตเลอร์ที่พยายามล้างเผ่าพันธ์ุชาวยิวเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือเมื่อเร็วๆ นี้ก็เป็นเรื่องการแตกแยกของประเทศยูโกสลาเวีย
แต่สิ่งที่ทำให้คนไทยเราสบายใจก็คือเรามักจะคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องไกลตัว เกิดขึ้นในอีกทวีปหนึ่งหรือในอีกยุคหนึ่ง และถ้าดูกันจริงๆ เป็นเรื่องของแต่ละศาสนาและแต่ละเผ่าพันธ์ุ แต่เรื่องของเขมรแดงและเรื่องคุก S-21 และทั่วประเทศกัมพูชาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมานี้เองและสิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือมันเกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านเรานี่เอง
ตึกแรกผ่านไปหลังจากนั้นผมก็ไปที่ตึกที่สองซึ่งเป็นการแสดงภาพถ่ายมากมาย ของนักโทษ เพราะที่นี่จะมีการทำประวัตินักโทษอย่างละเอียดมาก
เป็นสิ่งที่รู้กันอยู่ว่าใครที่เป็นนักโทษในคุก S-21 นี้ สุดท้ายก็ต้องถูกฆ่า แต่ก่อนที่จะถูกฆ่าต้องถูกทารุณอย่างรุนแรง ส่วนใหญ่พอนักโทษไปถึง S-21 ใหม่ๆ ไม่ว่าจะมาคนเดียวหรือเป็นครอบครัว ทางผู้ดูแลจะถ่ายรูปทุกคน และสอบถามประวัติของทุกคนอย่างละเอียด หลังจากนั้นก็จะถูกแก้ผ้าและให้ใส่ชุดประจำของคุก และถูกบังคับให้อยู่ในห้องขังที่เป็นห้องเรียนธรรมดา และให้นอนบนพื้นและล่ามโซ่ ในห้องห้องหนึ่งอาจจะนอนประมาณ 50-60 คน โดยให้นอนเรียงสลับหัวท้ายติดๆ กันไป S-21 มีกฎระเบียบที่ค่อนข้างจะเคร่งครัดพอสมควร และการละเมิดกฎระเบียบข้อใดก็จะเปิดโอกาสให้ทางผู้คุมลงโทษนักโทษได้
S-21 ถือว่าเป็นคุกที่ทางเขมรแดงรวบรวมคนที่เขาคิดว่าเป็นศัตรู หรือเป็นกบฏต่อประเทศชาติและต่อรัฐบาล ในตลอด 4-5 ปี ที่คุกแห่งนี้เปิด มีนักโทษทั้งหมดประมาณ 15,000 คน ซึ่งรวมถึงเด็กด้วย มีประมาณ 2,000 กว่าคน นักโทษเหล่านี้ถูกจับมาจากทุกภูมิภาคของประเทศ และจากทุกระดับชั้นในสังคม ไม่ใช่เฉพาะชาวเขมรเท่านั้น มีทั้งชาวเวียดนาม ลาว ไทย อินเดีย ปากีสถาน อังกฤษ อเมริกัน แคนาดา นิวซีแลนด์ และออสเตรเลีย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นชาวเขมร
ที่บอกว่านักโทษเหล่านี้มาจากทุกภูมิภาคและทุกระดับชั้นในสังคมก็จะมีทหารที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม คนงานธรรมดา ชาวนา วิศวกร นักวิชาการ ครู นักเรียน นักศึกษา รวมถึงรัฐมนตรีบางท่านและทูตต่างประเทศด้วย
เขมรแดงไม่เพียงแต่สังหารประชาชนทั่วไปเท่านั้น แต่ยังเข่นฆ่าสหายชุดดำที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามอีกด้วย หลังการยึดอำนาจวันที่ 17 เม.ย.2518 พล พต มีศัตรูทางการเมืองมากมาย มีความพยายามรัฐประหารยึดอำนาจโดยกลุ่มอื่นหลายครั้ง เหยื่อที่ศูนย์ S-21 จำนวนมากเป็นเด็กๆ และเยาวชนที่เป็นลูกหลานของสหายชุดดำด้วยกัน คนเหล่านี้ถูกนำไปสอบสวนเค้นเอาความจริง ก่อนจะถูกสังหารแบบฆ่าทั้งโคตร เป็นการกำจัดศัตรูทางการเมืองอย่างเหี้ยมโหด
ภาพที่สะดุดใจฉันคือภาพที่คุ้นตาปรากฏไปทั่วโลก คือภาพหญิงคนหนึ่งกำลังอุ้มลูกน้อย หัวของเธอด้านหลังมีเครื่องมือช็อตไฟฟ้าตรึงอยู่
มีข้อมูลว่าเธอชื่อ “จันกึมซรุน ซาง” เป็นเขมรเชื้อสายจีนและเป็นภรรยาของอดีตรัฐมนตรีในรัฐบาลลอนนอล ภาพเหล่านี้ทหารเขมรแดงจะถ่ายและบันทึกประวัตินักโทษทุกคนที่เข้ามาในโตน สเลงแห่งนี้ ระหว่างถูกเวียดนามบุกมีการทำลายหลักฐานเหล่านี้ไปก็มาก
Spoil
แน่นอนว่า จุดจบของเธอและลูกคือความตาย แม้แต่เด็กเล็กๆเขมรแดงก็ไม่มีความปราณีเพราะถือว่า ถ้าจะฆ่าต้องฆ่าล้างโครต ดูภาพนี้แล้วสะเทือนใจมาก คนเราทำไดถึงขนาดนี้เลยหรือ
ผมเข้ามาในอีกตึกหนึ่งเป็นการแสดงรูปภาพจากคำบอกเล่าของผู้ที่รอดชีวิต มีการทรมานนักโทษอย่างโหดเหี้ยมทารุณ การพรากลูกไปจากอ้อมกอดของแม่ แน่นอนว่า ทุกคนพบจุดจบเหมือนๆกัน ในส่วนนี้ผมขออธิบายด้วยภาพแล้วกันครับ
อาวุธและเครื่องมือต่างๆที่ใช้ทรมานและสังหาญนักโทษ
หนุ่มคนนี้ดูแล้วน่าจะเป็นทหารเรือ แน่นอนว่า เขมรแดงจะกำจัด ผู้ที่มีความรู้ หมอ ข้าราชการ อัยการ
คนที่ใส่แว่นตาก็จะถูกฆ่าเพราะเพียงแค่ดูแล้วน่าจะเป็นผู้ที่มีความรู้
"ผู้ชายทุกคนอยากได้ภรรยาที่ดีพร้อมแต่น้อยคนที่ทำตัวให้ดีพอที่จะได้จริง ๆ" - นิรนาม
"ความยิ่งใหญ่ของเราไม่ได้เกิดจากการไม่เคยล้มเลยหากแต่เกิดจากการลุกขึ้นทุกครั้งที่ล้ม" ขงจื๊อ
"อยู่ห่างจากคนคิดลบไว้ เพราะสำหรับเค้าทุกทางแก้ล้วนมีแต่ปัญหา" อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์