ย้อนประวัติ ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ ศิลปินหนุ่มเซอร์ ที่หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า ชาติตระกูลของเขาสืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ เพราะเป็นหลานของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ พระราชนัดดา ในรัชกาลที่ 5

เอ่ยชื่อ "ฮิวโก้" จุลจักร จักรพงษ์ เราคงรู้จักดีเขาในฐานะศิลปินหนุ่มสุดเซอร์ ที่ตอนนี้กลายเป็นคุณพ่อของน้องฮาร์เปอร์และน้องฮันเตอร์ แต่หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า จริง ๆ แล้ว "ฮิวโก้" เองก็มีความเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ไทยเช่นกัน เพราะนามสกุล "จักรพงษ์" เป็นนามสกุลที่สืบเชื้อสายมาจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่จะเกี่ยวข้องอย่างไรนั้น ถ้าเล่าจริง ๆ ต้องนับย้อนขึ้นไปตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5




.พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระพันปีหลวง (พระองค์เจ้าเสาวภาผ่องศรี) ทรงมีพระราชโอรส และพระราชธิดาทั้งสิ้น 14 พระองค์ ซึ่งพระราชโอรสองค์ที่ 5 คือ สมเด็จเจ้าฟ้าชายจักรพงษ์ภูวนาถ (กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ) เป็นต้นราชสกุล "จักรพงษ์" อีกทั้งพระองค์ยังทรงเป็นสมเด็จพระอนุชาธิราช (น้องชาย) ร่วมพระบรมราชชนนีเดียวกับ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 และเป็นสมเด็จพระเชษฐาธิราช (พี่ชาย) ร่วมพระบรมราชชนนีเดียวกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

ภายหลัง สมเด็จเจ้าฟ้าชายจักรพงษ์ภูวนาถ ซึ่งเสด็จไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศรัสเซีย ทรงเสกสมรสกับพระชายาชาวรัสเซียชื่อ เอกาเทรินา (คัทริน) อิวานอฟนา เดนิตสกายา หรือ หม่อมคัทริน โดยที่ไม่ได้กราบทูลให้พระราชบิดาทรงทราบ เมื่อความทราบถึงพระราชบิดาและพระราชมารดา ทั้งสองพระองค์กริ้วเป็นอย่างยิ่ง



กระทั่งเมื่อวันที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2450 หม่อมคัทริน พระชายา ได้ประสูติโอรส คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ภายในวังปารุสกวัน ทำให้สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ทรงตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะเป็นพระราชนัดดาพระองค์แรก จึงพระราชทานพระนามให้ว่า "พงษ์จักร" โดยขณะประสูติดำรงพระอิสริยยศเป็นหม่อมเจ้า




มีบันทึกในหนังสือเรื่อง "เกิดวังปารุสก์" ว่า เดิมทีนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ไม่โปรดสะใภ้แหม่มเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้เห็น พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ จึงพระทัยอ่อน และโปรดพระราชนัดดาองค์นี้เป็นอย่างยิ่ง

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงพระเมตตาพระราชนัดดาพระองค์นี้ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนาพระยศขึ้นเป็น "พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้า" และพระราชทานพระนามใหม่ว่า "จุลจักรพงษ์" โดยเป็นการเอาอย่างพระนามของทูลกระหม่อมปู่ คือ จุลจอมเกล้า ทั้งยังเป็นการล้อพระนามพระบิดา คือ เล็ก ไปในขณะเดียวกัน



สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ และพระราชโอรส พระราชนัดดา
จากซ้าย : สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฏางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา, พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, สมเด็จเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ
แถวนั่งจากซ้าย : สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราชัย, พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์, พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว


หลังการสวรรคตของสมเด็จพระศรีพัชรินทราฯ ซึ่งเป็นสมเด็จย่า และตามด้วยการทิวงคตของพระบิดา เมื่อปี พ.ศ. 2463 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงวางแผนการศึกษาให้ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ในพระชันษา 13 ปี เสด็จไปทรงศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งที่นั่นเอง พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ได้พบรักกับ เอลิสะเบธ ฮันเตอร์ สตรีชาวอังกฤษ แต่พระองค์พยายามตัดพระทัย เพราะล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 รับสั่งมาทางจดหมายว่า อย่าทำตามที่เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ พระบิดาทรงทำ คือ การแต่งงานกับสตรีต่างด้าว

ครั้นเมื่อรัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติ มีการกล่าวถึงกรณีที่พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ อาจเป็น 1 ในผู้สืบราชสันตติวงศ์ด้วยเช่นกัน แต่เนื่องจากพระองค์ทรงมีพระมารดาเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งผิดกฎมณเฑียรบาล จึงต้องพิจารณาข้ามไป และพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์เคยตรัสถึงเรื่องนี้ด้วยว่า ได้ถูกตัดออกอย่างเด็ดขาดมานานแล้วเพราะผิดกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์




ภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระองค์ทรงรู้สึกเป็นอิสระจากภาระหน้าที่ตามพระราชประเพณี จึงทรงเสกสมรสกับ เอลิสะเบธ ฮันเตอร์ หรือ หม่อมเอลิสะเบธ เมื่อปี พ.ศ. 2481 และเสด็จกลับจากประเทศอังกฤษมาประทับอยู่ที่วังท่าเตียน พร้อมกันนี้ยังได้เปลี่ยนชื่อวังท่าเตียนเป็น "วังจักรพงษ์" และปรับปรุงเป็นที่ประทับสืบมา

พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ดำริที่จะไม่มีบุตร โดยพบจดหมายฉบับหนึ่งที่เขียนถึงหม่อมเอลิสะเบธ ว่า "ถ้าเผื่อเราแต่งงานกัน อย่ามีลูกกันเลย เพราะเด็กที่เกิดมาหลายเชื้อชาติ จะมีปัญหาตลอด" แต่ถึงกระนั้นหลังเสกสมรสเป็นเวลา 18 ปี หม่อมเอลิสะเบธได้ตั้งครรภ์ธิดา คือ หม่อมราชวงศ์ นริศรา จักรพงษ์



หม่อมราชวงศ์ นริศรา จักรพงษ์ ก็คือ คุณแม่ของฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ นี่เอง ซึ่งเกิดจากบิดาที่ชื่อ แอลเลน เลวี่ ต่อมาได้หย่าขาดจากกัน ปัจจุบัน หม่อมราชวงศ์ นริศรา ทำงานเกี่ยวกับเรื่องสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน โดยเป็นประธานผู้ก่อตั้งมูลนิธิโลกสีเขียว และมีผลงานประพันธ์หนังสือหลายเรื่อง เช่น แคทยาและเจ้าฟ้าสยาม, ถึงลูกชายเล็ก







สำหรับ วังจักรพงษ์ ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ถนนมหาราช ภายหลังตกเป็นของทายาทเพียงคนเดียวคือ หม่อมราชวงศ์นริศรา จักรพงษ์ ปัจจุบันวังจักรพงษ์ถูกดัดแปลงเป็นโรงแรม เปิดให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวมีโอกาสได้เข้าชม รวมทั้งให้เข้าพักและเช่าเป็นสถานที่จัดงานแต่งงานอีกด้วย





http://hilight.kapook.com/view/143861

สมเด็จเจ้าฟ้าอัษฏางค์เดชาวุธ กรมหลวงนครราชสีมา

เคยมีพระราชปรารภ ไหนใครๆว่าฉันจะได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ทำไมถึงเป็นแบบนี้ได้

เพราะพระองค์ป่วยหนักตลอดเวลาเลยมั้ง

T^T

เคยดูรายการ เพชรของตระกูลฮิวโก้นี่ราชวงศ์อังกฤษขอยืมไปจัดแสดงระยะยาวเลย สมบัติฮิวโก้นี่น่าจะเยอะเลย

เหมือนเคยอ่านมาว่า ร.7 ไปดูดวงมา
เเล้วหมอดูบอกว่าจะได้ไปกษัตริย์พระองค์ก็ไม่เชื่อครับ
เพราะมีพี่ชาย3คน

ถูกครับ เพราะพรพิเศษของพระพันปีหลวง

ใช่ครับ เลยตกมาถึงตระกูลมหิดล ตามที่ทราบกันครับ

เป็นข้อถกเถียงกันครับว่า พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์มีสิทธิขึ้นครองราชย์ต่อจาก ร.7 ได้หรือไม่ แต่ช่วงนั้นก็ถือว่าพระองค์เป็นหนึ่งใน candidate จริงๆ สื่อต่างๆ ก็มีไปถามพระองค์ว่าคิดยังไงกับโอกาสที่ได้เป็นกษัตริย์ ซึ่งพระองค์ก็ตอบเสมอมาว่า ไม่ต้องการเป็นและเป็นไม่ได้ด้วย เพราะพระองค์เข้าใจว่าตัวเองถูกตัดออกจากการสืบสันติวงศ์แล้ว

เรื่องสืบสันติวงศ์ในสมัย ร.6 ต่อ ร.7 และ ร.7 ต่อ ร.8 ค่อนข้างซับซ้อน แต่เท่าที่พอจำความได้คือ ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้ทรงตั้งเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ น้องชายร่วมบิดามารดา เป็นรัชทายาท แต่มีข้อแม้ว่าเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถต้องยอมรับเงื่อนไขที่จะตัดสิทธิ์พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์เป็นกษัตริย์ เนื่องจากไม่ต้องการให้กษัตริย์มีพระมารดาเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถก็ยอมรับ อย่างไรก็ตาม พระองค์ไม่ได้ขึ้นครองราชย์เนื่องจากเสด็จทิวงคตเสียก่อน พระอนุชาร่วมบิดามารดาองค์อื่นๆ ของ ร.6 ก็สิ้นพระชนม์เกือบหมด จนเหลือเพียงเจ้าฟ้าประชาธิปกซึ่งก็ได้ขึ้นครองราชย์เป็น ร.7

คราวนี้พอ ร.7 สละราชสมบัติก็เกิดปัญหาว่าใครจะขึ้นแทน เพราะ ร.7 ไม่มีลูก และไม่มีน้องร่วมพระบิดามารดาอีก จึงต้องพิจารณาลูกของพี่ๆ ของ ร.7 ซึ่ง ณ ตอนนั้นเท่าที่เคยอ่านมามี 2 องค์ที่พอมีสิทธิคือ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ แต่ก็ไม่สามารถเป็นได้ เพราะถือว่าถูกตัดสิทธิ์ไปแล้วจากการขึ้นเป็นรัชทายาทของเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ อีกทั้ง ช่วงท้ายสมัย ร.6 ยังได้ออกกฎมณเฑียรบาลให้เจ้านายที่แต่งงานกับหญิงต่างชาติไม่มีสิทธิขึ้นครองราชย์ และให้ตัดสิทธิ์สายตระกูลเจ้านายคนนั้นด้วย กับอีกองค์ที่พอมีสิทธิ์คือ พระองค์เจ้าวรานนธวัช โอรสของเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก พี่ชายร่วมบิดามารดาของ ร.7 แต่ก็ถูกตัดสิทธิไป เพราะเกิดจากแม่ที่เป็นสามัญชน

ด้วยเหตุนี้ การสืบสันติวงศ์จึงย้อนกลับไปใช้สายของ ร.5 กับมเหสีพระองค์เจ้าสว่างวัฒนา ซึ่งเดิม ร.5 ตั้งสายนี้ให้เป็นรัชทายาท คือ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ แต่เจ้าฟ้าสิ้นพระชนม์เสียก่อน จึงเปลี่ยนสายไปเป็นสายเสาวภาผ่องศรี ซึ่งก็คือ ร.6 แทน โดยในสายสว่างวัฒนานั้น ที่โอรสได้สิ้นพระชนม์ไปหมดแล้ว แต่ยังมีในส่วนของหลาน คือ ร.8 ซึ่งเป็นโอรสของเจ้าฟ้ามหิดล หนึ่งในโอรสของ ร.5 และพระองค์เจ้าสว่างวัฒนา ด้วยเหตุนี้ ร.8 จึงได้ขึ้นครองราชย์ครับ


pantip เซียวเล้ง
30 กัยยา 2556

จะเป็นไปได้ยังไง เมื่อท่านเป็นพระอนุชาของ ร.6
พระชนนีเดียวกัน จะมาขึ้นก่อนพี่ได้ยังไง
แล้วท่านก็ทิวงคตไปก่อน ร.6

ถ้าท่านมีพระชนม์ชีพยาวนานกว่าที่เป็น อีกแค่ปีสองปี
ท่านก็คงได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน เพราะ ร.6 ไม่มีพระราชโอรส
มีพระราชธิดาองค์เดียวคือเจ้าฟ้าเพชรรัตน์ฯ

แต่ถ้าเจ้าฟ้าเพชรรัตน์เป็นผู้ชาย อันนี้สิน่าคิด
ท่านจะได้ครองราชย์ตั้งแต่พระชนม์มายุยังไม่เต็มขวบ
(ทรงประสูติก่อนพระราชบิดาสวรรคตสองวัน)

และจะอยู่ในศิริราชสมบัติยาวนานถึง 85 ปี
คือช่วงวลาที่เป็นรัชกาลลที่ 7-8-9
จะกลายเป็นรัชกาลเดียวยาวๆไปเลย

เคยอ่านประวัติ เจ้าฟ้าจักรพงษ์ เก่งเลยทีเดียวและเป็นลูกคนโปรดของ ร.5 ด้วย

ผมจึงเชื่ออย่างนึงว่าใครจะขึ้นเป็นกษัตริย์ สวรรค์ กำหนดมาด้วย เพราะช่วงร.7-ร.9 มันดูซับซ้อนเลยทำให้เชื่ออย่างงั้น

ในตอนนั้น ร6ยังไม่มี พระราชโอรส หรือพระธิดาพระองค์ไหนเลยละครับ
ส่วนใหญ่จะคิดกันว่า หาก ร6 สวรรคต ท่านก็คงได้ขึ้นไงครับ
ใครจะไปรู้ว่า ร 6 กลับมีพระธิดา เพียงองค์เดียวแล้ว วันรุ่งขึ้นก็เสร็จสวรรคตเลย
แต่พระองค์ก็ทรงประชวร จนสวรรคตไปก่อน ร 6

อีกคำถามหนึ่งที่เจอ บ๊อย บ่อย

คือแล้วทำไมตอนนั้น พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช ไม่ได้ขึ้น ด้วยเหตุว่ามีพระชนนีเป็นสามัญชน

แล้วพอผลัดแผ่นดินครั้งต่อมา ร.8 กลับขึ้นได้ ทั้งๆที่สมเด็จย่าก็เป็นสามัญชน

คำตอบคือ

หม่อมระวี พระชนนีของพระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช เป็นแต่เพียงหม่อม(เมียรอง)ของเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลกฯ
ไม่ได้เป็นพระชายาแล้วก็เป็นแต่สะใภ้จ้าว(คือรับมาเป็นหม่อมเฉยๆ ไม่ได้ตบแต่งยกย่อง) ไม่ได้เป็นสะใภ้หลวง
(คือไม่ได้รับพระราชทานพระราชทานแต่งตั้งจากพระเจ้าแผ่นดินขึ้นทำเนียบสะใภ้หลวง)

ขณะที่สมเด็จย่า เป็นชายาพระองค์เดียวของสมเด็จพระบรมราชชนก
ได้รับทั้งสมรสพระราชทานจากสมเด็จพระพันวัสสาฯ
และได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นพระสะใภ้หลวงจาก ร.7

คือ หม่อมระวี เป็นเมียรอง หนึ่งในหม่อมหลายๆคนของจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก

ขณะที่พระบรมราชชนก มีพระชายาคนเดียว คือสมเด็จย่า ไม่ได้มีหม่อมอื่นๆ
และเป็น "เมียแต่ง"ของสมเด็จพระบรมราชชนก ร.7 ทรงยอมรับว่าเป็น "พี่สะใภ้"
และพระชนนี(สมเด็จพระพันวัสสา)ก็ยอมรับและยกย่องในฐานะ "ลูกสะใภ้"

ต่างกันตรงนี้

ตามข้างบนเลยครับ

ตามกฎจริงๆมาถูกสายแล้วครับ

สายกิติยากร ก็มีสิทธิ์ขึ้นนะตอนนั้น
แต่เป็นตัวเลือกลำดับท้ายๆเลย

ตัวเลือกในตอนท้ายของ ร.7 ก็มีเพียง ร.8 กับ ท่านตาทวดของฮิวโก้นั่นล่ะครับ สายพระพันปี หมดแล้วที่ ร.7 ที่เป็นน้องสุดท้อง ถ้าในตอนนั้นคณะราษฏ์ ไม่สนใจกฏมณเทียรบาล (ก็ย่อมได้ ขนาดยกตนเสมอเจ้าได้ในตอนนั้น) จะนับย้อนไปก็พอมี แต่ที่สุดต่อให้ตาทวดของฮิวโก้รับ ก็ต้องกลับมาสายมหิดลอยู่ดีครับ เพราะ ตาของฮิวโก้ไม่อาจขึ้นสืบสันติวงศ์ได้ เพราะมีมารดาเป็นชาวต่างชาติ

และตามรายชื่อผู้สืบสันติวงศ์ยังมีอีกเยอะ แต่สายตรงสุดคือ สายมหิดลนี่เอง ซึ่งก็ถือว่ากลับมาตรงสายเดิมที่ร.5 ทรงตั้งไว้แล้ว และ ร.7 เองก็สนับสนุน ร.8 มากกว่าด้วย

ทีนี้เรื่องพรวิเศษ เชื่อว่าเป็นเรื่องกุขึ้นมา เล่าต่อๆกันมามากกว่า เพราะไม่ว่าจะสาย พระพันปี หรือพระพันวสา ก็นับได้ว่าเป็นสายหลัก เอาง่ายๆ ตัดสายอื่นทิ้งไปให้หมดจนกว่า สองสายนี้จะไร้ผู้สืบทอดตามกฏมณเทียรบาล จึงมองหาสายอื่นที่มารดามียศสูงที่สุด

ดังนั้น ลำดับนั้นถูกต้องแล้ว แต่อันที่จริง ร.5 ก็หมายจะให้ตาทวดของฮิวโก้ขึ้นเป็นพระบรม ทรงเสียพระทัยมากที่พระโอรสมีเมียแหม่ม แต่ก็ห้ามไม่ได้ ไม่งั้น ตาทวดของฮิวโก้ จะได้เป็นร.6 แน่นอนที่สุด

ขออีดิทดีกว่าครับเด่วเข้าการเมือง

ก็ไม่ถึงกับท้ายหรอกครับเพราะเสด็จในกรมต้นราชสกุลท่านเป็นพระราชโอรสรุ่นใหญ่เลย ซึ่งถ้าเรียงตามสายสกุลที่มีสิทธิ์ก็จะเป็นตามนี้ ร.6>>>ร.7>>>มหิดล>>>บริพัตร>>>ยุคล>>>กิติยากร

จริงๆสายกิตติยากร ต้นราชสกุล เป็นพระองค์เจ้าที่ประสูติกับเจ้าจอม

แต่พระภรรยาเจ้าชั้นพระชายาทั้ง 4 พระองค์ มีเพียงพระวิมาดาเธอ ที่มีพระราชโอรสถวาย

ส่วนอีกสี่พระองค์ พระองค์เจ้าเสาวภาคย์นารีรัตน์ พระองค์เจ้าอุบลรัตนนารีนาค และเจ้าดารารัศมี

มี่แต่พระราชธิดาถวาย เลยสิ้นสุดอยู่แค่นั้น ไม่ได้มีสายสกุลสืบลงมา

แต่ลำดับที่ท่านจัดลงมาก็อยู่ท้ายสุดนะครับ

จากที่ผมอ่านข้อความท่าน
ทำให้ทราบว่า ปีดี และพวกคณะราษ เป็นคนที่บีบ ร.7 ให้ออกเลย

จริงๆมีต่อจากนั้นอีกนะครับคือ ประวิตร>>>รพีพัฒน์>>>จิรประวัติ>>>อาภากร>>> ฉัตรไชย>>>ราชสกุลสายร.5ต่อๆไป>>>บวรราชสกุลในวังหน้าองค์สุดท้าย

จากที่อ่านมา คณะราษฏ์ให้กำลัง และอาวุธ บีบให้ทรงคืนอำนาจให้ประชาชนครับ โดยจับกุมเชื้อพระวงศ์ขังอย่าไม่ให้เกียรติใดๆ (ทั้งสั่งขัง ยัดข้อหา ปลดจากฐานันดร ทั้งๆที่หน้าที่นี้โดยตำแหน่ง พระมหากษัตร์ติเท่านั้นที่ทำได้) และหลังจากยึดทุกอย่างแล้ว ก็จัดการริบทรัพย์สินของเหล่าเชื้อพระวงศ์เกือบทั้งหมดโดยอ้างว่า "เป็นเงินของประชาชน"


และจากนั้นคณะราษฏ์ทำเช่นไรกับสิ่งที่ยึดมาได้ คงทราบๆกันอยู่ครับ ให้ชั่งน้ำหนักความดีความผิด เกรงว่าตาชั่งของคณะราษฏ์คงหักกันไปข้างหนึ่งล่ะครับ

ปล.หากไม่ทราบ ก็อยากให้ทราบว่า ระบอบประชาธิปไตย ถูกหารือมาตั้งแต่สมัย ร.4 แล้ว ว่าทรงมีความต้องการให้คืนอำนาจแก่ประชาชน จนกระทั่งร.5 สานต่อ ยกเลิกทาส และทรงทดลองใช้ระบอบประชาธิปไตย และองค์ต่อๆมาก็ทรงคิดการเช่นเดียวกัน เหตุผลที่ยังไม่สำเร็จ ว่ากันง่ายๆคือประชาชนไม่มีความรู้เกี่ยวกับประชาธิปไตยเลย จึงไม่สามารถเปลี่ยนได้ทันทีทันใด แต่ปรีดีย์และผองเพื่อน ทำการหักดิบ "ยึด" อำนาจมา แล้วบอกว่าเป็นของประชาชน...เอวัง

สรุปเขาคือคนไม่ดีนิเอง