ประเทศสวีเดน ปฏิวัติวงการพลังงาน
ประเทศสวีเดนอาจเป็นประเทศเล็กๆที่ไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไหร่ แต่รู้หรือไม่ ตอนนี้พวกเขากำลังจะทำสิ่งที่ปฏิวัติวงการพลังงานโลกตลอดไป
เมื่อนายกรัฐมนตรีของสวีเดน Stefan Löfven ได้แถลงในการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติว่า พวกเขาจะกลายเป็นประเทศแรกๆที่เลิกใช้พลังงานฟอสซิลถาวรในเร็วๆนี้
พูดถึงพลังงานฟอสซิลหลายคนอาจงงว่าคืออะไร พูดง่ายๆ พลังงานฟอสซิลคือพลังงานที่มาจากการทับถมของซากพืชซากสัตว์ ซึ่งก็คือปิโตรเลียมหรือน้ำมันต่างๆที่เราใช้ทุกวันนั่นเอง
ในปัจจุบัน ประเทศสวีเดนก็เป็นผู้นำในการใช้พลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) โดย 2 ใน 3 ของพลังงานที่ใช้ในประเทศสวีเดนล้วนมาจากพลังงานหมุนเวียนทั้งสิ้น
หรือแม้กระทั่งประเทศข้างๆอย่างเดนมาร์ก สามารถผลิตพลังงานจากลมได้ถึง 140 เปอร์เซ็นจากความต้องการใช้พลังงานในแต่ละวัน จนเหลือพอส่งไปให้ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเยอรมัน สวีเดน และนอร์เวย์ (ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับ 15 ของโลก ย้อนแย้งมั้ยละ ผลิตขายแต่ไม่ใช้)
ส่วนประเทศไอซ์แลนด์นั้น สามารถผลิตพลังงานหมุนเวียนได้เกือบ 100 เปอร์เซ็นเลยทีเดียว โดยพวกเขาได้ลงทุนในการผลิตพลังงานจากน้ำและความร้อนใต้โลก
แต่การที่ประเทศสวีเดนจะยกเลิกการใช้พลังงานฟอสซิลนั้นเป็นเป้าหมายที่ยากมาก เพราะพวกเขามีทั้งภาคอุตสหกรรมที่ยังต้องใช้พลังงานฟอสซิลอยู่
ในงบประมาณประจำปีที่เพิ่งประกาศไปเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา รัฐบาลสวีเดนประกาศว่าจะใช้เงินประมาณ 356 ล้านยูโร หรือ ประมาณ 14,300 ล้านบาท ในการสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม อย่างเช่นแผงโซล่าเซลล์และกังหันลม รวมถึงจะปรับปรุงระแบบขนส่งสาธารณะใหม่ให้สะอาดขึ้น และมีระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะอีกด้วย
นอกจากนี้พวกเขาจะใช้เงินอีกประมาณ 4 ล้านยูโร หรือราว 160 ล้านบาท ในการทำวิจัยแหล่งเก็บพลังงานไฟฟ้าใหม่ และพวกเขาจะใช้เงินอีกราวๆ 80 ล้านยูโรหรือราว 3000 ล้านบาทในการปรับปรุงแหล่งที่อยู่อาศัยใหม่ เพื่อให้ใช้พลังงานได้คุ้มค่ายิ่งขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลสวีเดนจะลงทุนอีกประมาณ 53 ล้านยูโร หรือราว 2100 ล้านบาท ในประเทศกำลังพัฒนาต่างๆ เพื่อสร้างระบบขั้นพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดแล้ว ซึ่งทางรัฐบาลสวีเดนหวังกว่า นโยบายครั้งนี้ จะเป็นการส่งสัญญาณให้กับประเทศตะวันตกหลายๆประเทศในการประชุมวาระวิกฤตการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติที่กรุงปารีส ในช่วงเดือนธันวาคมนี้
นาย Löfven ได้กล่าวสุนทรพจน์ต่อรัฐสภาสวีเดนในวันที่เขาแถลงการนโยบายนี้ว่า “เด็กๆของเราควรเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ไร้มลพิษ นโยบายพื้นฐานของเราคือการป้องกันไว้ก่อน และต้องกำจัดสิ่งอันตรายออกไป ผู้ที่สร้างผลพิษต้องรับผิดชอบในสิ่งที่พวกเขาทำ”
เห็นประเทศเขาแล้ว พอหันมามองประเทศไทยของเราก็ได้แต่ถอนหายใจ เมื่อไหร่จะเป็นอย่างเขาซะทีน้า…
‘ขยะ’ เป็นปัญหาแทงใจระดับชาติของหลายๆประเทศ เพราะหลายภาคส่วนต้องมากุมขมับหาวิธีจัดการทั้งการกำจัดและนำมารีไซเคิล พร้อมแผนการสร้างวินัยให้คนทิ้งขยะเป็นที่เป็นทาง
แต่ใครจะไปรู้ว่ามีประเทศที่จัดการกับขยะดีเกิ๊นนนอย่าง ‘สวีเดน’ ที่ต้องนำเข้าขยะจากประเทศเพื่อนบ้านกว่า 800,000 ตันต่อปี เพื่อนำมาป้อนโครงการผลิตกระแสไฟฟ้าที่ต้องการขยะถึง 2 ล้านตัน
โดยพลังงานที่ได้จากขยะ สามารถมาใช้ให้ความอบอุ่นกับบ้านเรือนได้มากถึง 20% หรือ 810,000 หลัง และยังสามารถป้อนพลังงานไฟฟ้าให้กับบ้านเรือนได้อีกกว่า 250,000 หลังได้สบาย
แต่กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จในวันเดียวฉันใด โครงการนำขยะกลับมาใช้ใหม่ในสวีเดนก็มีมานานแล้วฉันนั้น เพราะในปี 1940 สวีเดนได้เริ่มต้นโครงการคัดแยกขยะ แล้วนำกลับมาใช้เป็นพลังงาน
ความสำเร็จของโครงการเกิดขึ้นพัฒนาตามลำดับ จนปัจจุบันสวีเดนสามารถพัฒนาเทคโนโลยีนำขยะมาใช้เป็นพลังงานได้โดยแทบไม่ก่อให้เกิดมลพิษเลยนะ
ส่วนประชากร 9.5 ล้านคนของที่นี่ ก็ตระหนักถึงปัญหา และร่วมมือกับโครงการ รวมถึงกฎหมายที่เข้มงวด ทำให้การเก็บและคัดแยกขยะเป็นเรื่องน่าทึ่งมาก เพราะเหลือขยะเพียง 4% ที่ไม่สามารถนำไปใช้ใหม่ และต้องนำไปถมที่ ผิดกับสหรัฐอเมริกา ที่มีขยะมากถึง 63% ที่นำกลับมาใช้ไม่ได้ จึงถมที่ตามระเบียบ
แหม.. มนุษย์สวีเดนนี่น่ารักจริงๆนะเนี่ย นอกจากจะมีหัวก้าวหน้าทางการพัฒนาแล้ว ยังมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อสังคมอีกด้วย มนุษย์เมืองไทยอย่าไปยอมน้าา ^^
ที่มา iurban , Independent and catdumb