ปีนี้เป็นปีที่ยาวนานที่สุดของการแข่งขันฟอร์มูล่าวันด้วยจำนวนสนามมากเป็นประวัติการณ์ถึง 21 สนาม โดยมีสนามอาเซอร์ไบจันเป็นสนามน้องใหม่ประจำฤดูกาลนี้ ซึ่งจะจัดการแข่งขันในนามยูโรเปี้ยน กรังด์ปรีซ์
20 มี.ค. - เมลเบิร์น ออสเตรเลีย
3 เม.ย. - ซาคีร์ บาห์เรน
17 เม.ย. - เซี่ยงไฮ้ จีน
1 พ.ค. - โซชิ รัสเซีย
15 พ.ค. - บาร์เซโลน่า สเปน
29 พ.ค. - มอนติคาร์โล โมนาโก
12 มิ.ย. - มอนทรีออล แคนาดา
19 มิ.ย. - บาคู อาเซอร์ไบจัน
3 ก.ค. - สปีลเบิร์ก ออสเตรีย
10 ก.ค. - ซิลเวอร์สโตน สหราชอาณาจักร
24 ก.ค. - บูดาเปสต์ ฮังการี
31 ก.ค. - ฮ็อคเคนไฮม์ เยอรมัน
28 ส.ค. - สปา-ฟรองคอร์ชองป์ เบลเยี่ยม
4 ก.ย.- มอนซ่า อิตาลี
18 ก.ย. - สิงคโปร์
2 ต.ค. - เซปัง มาเลเซีย
9 ต.ค. - ซูซูกะ ญี่ปุ่น
23 ต.ค. - ออสติน สหรัฐอเมริกา
30 ต.ค. - เม็กซิโกซิตี้ เม็กซิโก
13 พ.ย. - เซาเปาโล บราซิล
27 พ.ย. - อาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ทีม นักแข่ง (สัญชาติ-หมายเลขประจำตัว) และเครื่องยนต์
ในปีนี้มีจำนวนทีมลงแข่งขันทั้งหมด 11 ทีม รวมนักขับ 22 คน โดยมีฮาสเอฟวัน ทีมสัญชาติอเมริกันเข้ามาเป็นน้องใหม่ ในขณะที่เรโนลต์ซื้อทีมจากโลตัสกลับมาลงแข่งขันอีกครั้ง
แชมป์โลกฟอร์มูล่าวันคนปัจจุบันคือ ลูอิส แฮมิลตัน ซึ่งเขาครองแชมป์โลกมาแล้ว 3 ครั้ง ในปี 2008 2014 และ 2015 นอกจากนั้นยังมีอดีตแชมป์โลกอีก 4 คนลงแข่งขันในฤดูกาลนี้ ได้แก่ เซบาสเตียน เวทเทล (2010-2013) เฟอร์นันโด อลอนโซ่ (2005-2006) คิมี่ ไรค์โคเน่น (2007) และ เจนสัน บัตตัน (2009) ส่วนทีมแชมป์โลกทีมปัจจุบัน ได้แก่ เมอร์เซเดส
เมอร์เซเดส
นักแข่ง: ลูอิส แฮมิลตัน (สหราชอาณาจักร-44) และ นิโค รอสเบิร์ก (เยอรมัน-6)
เครื่องยนต์: เมอร์เซเดส
เฟอร์รารี่
นักแข่ง: เซบาสเตียน เวทเทล (เยอรมัน-5) และ คิมี่ ไรค์โคเน่น (ฟินแลนด์-7)
เครื่องยนต์: เฟอร์รารี่
วิลเลียมส์
นักแข่ง: วาลท์เทรี่ บอตทาส (ฟินแลนด์-77) และ เฟลิเป้ มาสซ่า (บราซิล-19)
เครื่องยนต์: เมอร์เซเดส
เร้ดบูล
นักแข่ง: แดเนียล ริกเคียร์โด้ (ออสเตรเลีย-3) และ ดาเนียล คัฟยาต (รัสเซีย-26)
เครื่องยนต์: เรโนลต์ในนามแท็กฮอยเออร์ (สปอนเซอร์ของทีม)
ฟอร์ซอินเดีย
นักแข่ง: นิโค ฮูลเคนเบิร์ก (เยอรมัน-27) และ เซอร์จิโอ เปเรซ (เม็กซิโก-11)
เครื่องยนต์: เมอร์เซเดส
เรโนลต์
นักแข่ง: โจเลี่ยน พาลเมอร์ (สหราชอาณาจักร-30) และ เควิน แม็กนุสเซ่น (เดนมาร์ก-20)
เครื่องยนต์: เรโนลต์
โตโร รอสโซ
นักแข่ง: แม็กซ์ เวอร์สตัปเพ่น (ฮอลแลนด์-33) และ คาร์ลอส ซายนซ์ (สเปน-55)
เครื่องยนต์: เฟอร์รารี่ (รุ่นปี 2015)
เซาเบอร์
นักแข่ง: เฟลิเป้ นาสเซอร์ (บราซิล-12) และ มาร์คุส เอริกสัน (สวีเดน-9)
เครื่องยนต์: เฟอร์รารี่
แม็คลาเรน
นักแข่ง: เฟอร์นันโด อลอนโซ่ (สเปน-14) และ เจนสัน บัตตัน (สหราชอาณาจักร-22)
เครื่องยนต์: ฮอนด้า
แมเนอร์
นักแข่ง: พาสคาล เวร์ไลน์ (เยอรมัน-94) และ ริโอ ฮารียันโต้ (อินโดนีเซีย-88)
เครื่องยนต์: เมอร์เซเดส
ฮาส
นักแข่ง: โรแมง โกรส์ฌอง (ฝรั่งเศส-8) และ เอสเตบัน กูเตียร์เรซ (เม็กซิโก-21)
เครื่องยนต์: เฟอร์รารี่
*********************************************************
กฎการแข่งขันทั่วไป
สุดสัปดาห์การแข่งขัน
ปฏิทินการแข่งขันฟอร์มูล่าวันในแต่ละปีหรือแต่ละฤดูกาลประกอบด้วยจำนวนสนามแข่งขันได้มากที่สุด 21 สนาม ขึ้นอยู่กับการลงนามร่วมกันในสัญญาการจัดการแข่งขันระหว่างสนามนั้นๆ กับผู้ถือลิขสิทธิ์ทางการค้าของการแข่งขัน ได้แก่ ฟอร์มูล่าวันแมเนจเม้นท์หรือเอฟโอเอ็ม โดยบอสใหญ่ เบอร์นี่ เอ็กเคิลสโตน สำหรับฤดูกาล 2016 มีสนามที่ต้องชิงชัยรวมทั้งสิ้น 21 สนาม โดยเริ่มที่รายการออสเตรเลียน กรังด์ปรีซ์ วันที่ 20 มีนาคม และปิดท้ายด้วยรายการอาบู ดาบี กรังด์ปรีซ์ วันที่ 27 พฤศจิกายน
ในแต่ละสุดสัปดาห์การแข่งขันจะประกอบด้วย
วันศุกร์ - เป็นรอบฝึกซ้อม (Free Practice) แบ่งเป็น 2 รอบ เช้าและบ่าย หรือบ่ายและค่ำสำหรับกรณีไนท์เรซ รอบละ 90 นาที (สำหรับรายการโมนาโก กรังด์ปรีซ์ รอบฝึกซ้อมจะจัดขึ้นในวันพฤหัสบดี เพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรของเมือง)
วันเสาร์ - ประกอบด้วยรอบฝึกซ้อมครั้งสุดท้าย ใช้เวลา 60 นาที และถัดมาจะเป็นรอบควอลิฟาย (Qualifying) หรือรอบแข่งขันจับเวลาเพื่อจัดอันดับสตาร์ทในวันแข่งขันจริงคือในวันอาทิตย์ ใช้เวลา 60 นาที กฎปัจจุบันใช้การควอลิฟายระบบใหม่ ซึ่งเพิ่งเริ่มใช้ในปีนี้เป็นครั้งแรก ดังนี้
Q1 ระหว่างเวลา 14.00-14.16 น. รถทุกคันจะได้รับอนุญาตให้วิ่งลงแทร็ค หลังผ่านไป 7 นาทีนับจากเริ่มต้นช่วง นักขับที่ทำเวลาช้าที่สุดจะถูกคัดออกและไม่มีสิทธิ์ทำเวลาอีก ซึ่งนักขับผู้นั้นจะต้องกลับเข้าพิตเลนและไม่สามารถเข้าร่วมการควอลิฟายได้อีก
กระบวนการดังกล่าวจะเกิดขึ้นอีกหลังจากผ่านนาทีที่ 8m30s 10m0s 11m30s 13m0s และ 14m30s ทำให้เหลือรถ 16 คันทำการควอลิฟายต่อไป
เมื่อจบช่วง นักขับทุกคนที่ยังอยู่บนแทร็คต้องวิ่งให้ครบรอบ และหลังจากวิ่งจนครบทุกคนแล้ว นักขับที่ช้าที่สุดจะไม่สามารถผ่านเข้าสู่การควอลิฟายช่วงต่อไป โดยเวลาของรถ 15 คันที่ได้ผ่านเข้าสู่ช่วงต่อไปจะถูกลบทิ้ง
Q2 ระหว่างเวลา 14.24-14.39 น. รถที่ผ่านเข้ามา 15 คันจะได้รับอนุญาตให้วิ่งลงแทร็ค หลังผ่านไป 6 นาทีนับจากเริ่มต้นช่วง นักขับที่ทำเวลาช้าที่สุดจะถูกคัดออกและไม่มีสิทธิ์ทำเวลาอีก ซึ่งนักขับผู้นั้นจะต้องกลับเข้าพิตเลนและไม่สามารถเข้าร่วมการควอลิฟายได้อีก
กระบวนการดังกล่าวจะเกิดขึ้นอีกหลังจากผ่านนาทีที่ 7m30s 9m0s 10m30s 12m0s และ 13m30s ทำให้เหลือรถ 9 คันทำการควอลิฟายต่อไป
เมื่อจบช่วง นักขับทุกคนที่ยังอยู่บนแทร็คต้องวิ่งให้ครบรอบ และหลังจากวิ่งจนครบรอบทุกคนแล้ว นักขับที่ช้าที่สุดจะไม่สามารถผ่านเข้าสู่การควอลิฟายช่วงต่อไป โดยเวลาของรถ 8 คันที่ได้ผ่านเข้าสู่ช่วงต่อไปจะถูกลบทิ้ง
Q3 ระหว่างเวลา 14.46-15.00 น. รถที่ผ่านเข้ามา 8 คันจะได้รับอนุญาตให้วิ่งลงแทร็ค หลังผ่านไป 5 นาทีนับจากเริ่มต้นช่วง นักขับที่ทำเวลาช้าที่สุดจะถูกคัดออกและไม่มีสิทธิ์ทำเวลาอีก ซึ่งนักขับผู้นั้นจะต้องกลับเข้าพิตเลนและไม่สามารถเข้าร่วมการควอลิฟายได้อีก
กระบวนการดังกล่าวจะเกิดขึ้นอีกหลังจากผ่านนาทีที่ 6m30s 8m0s 9m30s 11m0s และ 12m30s ทำให้เหลือรถ 2 คันสุดท้ายทำการควอลิฟายต่อไป เมื่อจบช่วง นักขับคนใดที่ยังอยู่บนแทร็คต้องวิ่งให้ครบรอบ และหลังจากวิ่งจนครบรอบแล้ว เวลาของการควอลิฟายทั้งหมดก็จะได้รับการจัดอันดับโดยสมบูรณ์
ทั้งนี้ รูปแบบการควอลิฟายข้างต้นคิดจากจำนวนรถ 22 คันที่สามารถเข้าร่วมการควอลิฟายอย่างเป็นทางการ หากมีรถ 24 คัน รถจะถูกคัดออก 8 คันหลังจบ Q1 และ Q2 หากมีรถ 26 คัน รถจะถูกคัดออก 9 คันหลังจบ Q1 และ Q2 หรือใช้สัดส่วนเช่นนี้เรื่อยไปเมื่อมีการเพิ่มจำนวนรถ และหากจำเป็นที่จะต้องปรับความห่างระหว่างช่วงกับเวลาคัดออกก็สามารถทำได้ เพื่อไม่ให้กระทบกับช่วง Q3
วันอาทิตย์ - เป็นวันแข่งขันหรือ Race Day โดยกำหนดให้ระยะทางรวมในการแข่งขันไม่ต่ำกว่า 300 กม. (สำหรับสนามโมนาโกถือเป็นข้อยกเว้น) หรือใช้ระยะเวลาไม่เกิน 2 ชั่วโมง เว้นแต่การแข่งขันจะถูกคั่นด้วยธงแดงเพื่อหยุดการแข่งขันชั่วคราวอันเนื่องจากอุบัติเหตุหรือสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย
คะแนนสะสม
ฟอร์มูล่าวันใช้ระบบสะสมคะแนนตลอดทั้งฤดูกาล ผู้ที่ได้คะแนนสะสมมากที่สุดทั้งประเภทนักขับและประเภททีมผู้สร้างจะได้แชมป์โลกประจำฤดูกาลไปครอง โดยการให้คะแนนนักขับจะจัดสรรให้กับผู้ที่เข้าเส้นชัย 10 อันดับแรกดังนี้
อันดับที่ 1 - 25 คะแนน
อันดับที่ 2 - 18 คะแนน
อันดับที่ 3 - 15 คะแนน
อันดับที่ 4 - 12 คะแนน
อันดับที่ 5 - 10 คะแนน
อันดับที่ 6 - 8 คะแนน
อันดับที่ 7 - 6 คะแนน
อันดับที่ 8 - 4 คะแนน
อันดับที่ 9 - 2 คะแนน
อันดับที่ 10 - 1 คะแนน
โดยคะแนนทีมผู้สร้างจะเป็นการนำคะแนนของนักขับในทีมทั้ง 2 คนที่ได้รับจากแต่ละสนามมารวมกัน
กฎการใช้ยาง
ยางที่รถฟอร์มูล่าวันใช้ในปัจจุบันมาจากผู้ผลิตรายเดียว เป็นยี่ห้อปิเรลลี่ของอิตาลี ยางแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือยางสำหรับแทร็คแห้ง (slick) และยางสำหรับแทร็คเปียก ซึ่งแต่ละประเภทยังแบ่งเป็นชนิดย่อย ได้แก่
ยางแห้ง:
ยางอัลตร้าซอฟต์ - แถบสีม่วง (นำมาใช้ฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลแรก)
ยางซูเปอร์ซอฟต์ - แถบสีแดง
ยางซอฟต์ - แถบสีเหลือง
ยางมีเดียม - แถบสีขาว
ยางฮาร์ด - แถบสีส้ม
ยางเปียก:
ยางอินเตอร์มีเดียต - แถบสีเขียว สำหรับแทร็คกึ่งเปียกกึ่งแห้ง
ยางฟูลเว็ท - แถบสีฟ้า สำหรับแทร็คที่เปียกมาก มีน้ำขัง
สำหรับฤดูกาลนี้ ยางเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีการปรับกฎเพื่อเพิ่มความหลากหลายทางกลยุทธ์การแข่งขัน โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ปิเรลลี่ โดยการปรึกษาร่วมกับเอฟไอเอ จะประกาศชนิดยางสำหรับการแข่งขันในแต่ละสนามล่วงหน้าจำนวน 3 ชนิดให้ทีมแข่งรับทราบ
- นักขับแต่ละคนจะได้รับยางจำนวนทั้งสิ้น 13 ชุด สำหรับใช้ในช่วงฝึกซ้อม รอบควอลิฟาย และการแข่งขัน ซึ่งเป็นจำนวนที่เท่ากับฤดูกาลที่แล้ว
- ปิเรลลี่จะระบุชนิดยางบังคับในการแข่งขันให้รถแต่ละคันจำนวน 2 ชุด โดยจะต้องเก็บยางอีก 1 ชุดที่เป็นชนิดเนื้อนิ่มกว่าไว้ใช้เฉพาะช่วง Q3 ของรอบควอลิฟายเท่านั้น
- ยางบังคับจำนวน 2 ชุดนั้น ปิเรลลี่จะเลือกให้ 2 จาก 3 ชนิดที่ระบุให้ใช้ในสุดสัปดาห์การแข่งขัน ซึ่งยางเหล่านี้จะแยกชนิดชัดเจนสำหรับแต่ละทีม
- แต่ละทีมสามารถเลือกชนิดของยางสำหรับ 10 ชุดที่เหลือของนักขับแต่ละคนได้เองจากยาง 3 ชนิดที่ระบุให้ใช้ในสุดสัปดาห์การแข่งขัน
- ทีมจะต้องเลือกยางที่จะใช้ภายในวันที่ปิเรลลี่กำหนด ซึ่งปิเรลลี่จะแจ้งการเลือกยางไปยังเอฟไอเอ และจากนั้นจะแจ้งกลับมายังปิเรลลี่ถึงจำนวนยางที่ต้องผลิต การเลือกยางของแต่ละทีมจะถูกเก็บเป็นความลับจนกระทั่ง 2 สัปดาห์ก่อนการแข่งขัน หากทีมใดเลือกยางช้ากว่ากำหนด เอฟไอเอจะเป็นผู้เลือกยางให้แทน
- เมื่อมีการเลือกยางสำหรับรถแต่ละคันแล้ว เอฟไอเอจะติดบาร์โค้ดให้กับยางแบบสุ่มดังที่ทำอยู่ในปัจจุบัน
- แต่ละทีมสามารถเลือกยางให้เหมาะกับรถแต่ละคันได้ หมายความว่านักขับแต่ละคนของทีมไม่จำเป็นต้องเลือกยางเหมือนกัน
- ยางชนิดต่างๆ จะได้รับการแยกชนิดด้วยแถบสีด้านข้างดังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
- ทีมยังคงต้องส่งคืนยางตามกำหนดที่ระบุ แต่พวกเขาสามารถตัดสินใจเลือกชนิดของยางที่จะส่งคืนได้ตามกำหนดเวลาช่วงต่างๆ ได้แก่
1 ชุดหลัง 40 นาทีแรกของการซ้อมครั้งที่ 1 (FP1)
1 ชุดเมื่อจบการซ้อมครั้งที่ 1 (FP1)
2 ชุดเมื่อจบการซ้อมครั้งที่ 2 (FP2)
2 ชุดเมื่อจบการซ้อมครั้งที่ 3 (FP3)
- ทีมไม่สามารถส่งคืนยางบังคับ 2 ชุดที่ปิเรลลี่เลือกให้ในระหว่างการฝึกซ้อมได้และยางจะต้องพร้อมใช้สำหรับการแข่งขัน โดยนักขับต้องใช้ยางอย่างน้อย 1 จาก 2 ชุดดังกล่าวในระหว่างการแข่งขัน ซึ่งทีมสามารถเลือกเองได้
สัญญาณธงในสนามที่สำคัญ
ธงตาหมากรุก - จบการแข่งขันหรือในรอบควอลิฟายจะหมายถึงไม่อนุญาตให้เริ่มควอลิฟายรอบใหม่
ธงเหลืองเดี่ยว - มีอันตรายอยู่ข้างหน้า ให้เตรียมลดความเร็ว
ธงเหลืองคู่ - มีอุบัติเหตุอยู่ข้างหน้า ให้ลดความเร็วลงทันที
*ห้ามแซงภายใต้ธงเหลืองใดๆ โดยเด็ดขาด
ธงเขียว - แทร็คกลับเข้าสู่สภาวะปกติ นักแข่งใช้ความเร็วในการแข่งขันตามปกติได้
ธงแดง - หยุดช่วง ไม่ว่าจะเป็นในการแข่งขันหรือควอลิฟาย มักใช้กรณีที่มีอุบัติเหตุรุนแรง แทร็คมีเศษชิ้นส่วนกระจัดกระจายไปทั่ว หรือสนามไม่พร้อมสำหรับการแข่งขันเนื่องจากสภาพอากาศ
ธงเหลืองสลับแดง - ระวังแทร็คลื่นข้างหน้า มักเกิดจากมีน้ำมันหรือน้ำบนผิวแทร็ค
ธงดำจุดกลมสีส้มตรงกลางพร้อมหมายเลขนักขับ - รถคันนั้นมีปัญหาทางเทคนิคและให้กลับเข้าพิตโดยเร็วที่สุด
ธงดำพร้อมหมายเลขนักขับ - รถคันนั้นต้องกลับเข้าพิตโดยทันทีเนื่องจากถูกตัดออกจากการแข่งขัน (disqualified)
ธงครึ่งขาวครึ่งดำพร้อมหมายเลขนักขับ - นักขับรถคันนั้นขับขี่โดยไม่สมควร ถือเป็นการเตือนครั้งสุดท้ายก่อนจะถึงธงดำ
ธงขาว - ให้ระวังพาหนะเคลื่อนที่ช้าที่อยู่ในแทร็ค
ธงฟ้า - บอกให้รถช้าที่กำลังจะถูกน็อกรอบรู้ว่ามีรถที่เร็วกว่าและอยู่คนละรอบตามมา ต้องเปิดทางให้ ถ้าผ่านธงฟ้า 3 จุดติดต่อกันแล้วยังไม่ปฏิบัติตามจะต้องถูกลงโทษ
เซฟตี้คาร์
เซฟตี้คาร์จะออกมาเมื่อกรรมการฝ่ายควบคุมการแข่งขันเห็นว่ารถที่เกิดอุบัติเหตุอยู่ในจุดที่เสี่ยง และการกู้รถต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนกับจุดเดิม เซฟตี้คาร์ออกมาวิ่งนำการแข่งขันโดยอยู่ข้างหน้ารถผู้นำ เป็นการควบคุมความเร็วของรถบนแทร็คให้เหมาะสม ไม่ช้าหรือเร็วจนเกินไป ขณะที่วิ่งตามหลังเซฟตี้คาร์ ห้ามไม่ให้มีการแซงกัน หากมีรถช้าที่วิ่งคนละรอบ (รถถูกน็อกรอบ) แทรกอยู่ กรรมการจะให้สัญญาณรถช้านั้นแซงเซฟตี้คาร์ขึ้นมาเพื่อวนกลับไปอยู่ในตำแหน่งจริงของตน ซึ่งนักขับอาจเข้าพิตไปเปลี่ยนยางได้ตามสัญญาณที่กรรมการแจ้งว่าพิตเลนเปิด
หากสถานการณ์ในแทร็คกลับมาเป็นปกติได้แล้ว เซฟตี้คาร์จะกลับเข้าพิตเลน โดยจะให้สัญญาณแก่ผู้นำด้วยการดับไฟสีเหลืองบนรถในรอบสุดท้ายที่วิ่ง เมื่อเซฟตี้คาร์กลับเข้าไปในพิตเลนแล้ว รถจะกลับมาแข่งขันด้วยความเร็วเต็มที่และแซงกันได้ตามปกติก็ต่อเมื่อวิ่งผ่านเส้นสตาร์ทเพื่อนับรอบใหม่ไปแล้ว ทั้งนี้ ผู้นำการแข่งขันมีสิทธิ์กำหนดจังหวะวิ่งผ่านเส้นสตาร์ท ถ้าผู้นำยังไม่ข้ามเส้นสตาร์ท แม้เซฟตี้คาร์จะกลับเข้าพิตเลนแล้วก็ยังแซงกันไม่ได้
ในกรณีที่การกู้รถที่เกิดอุบัติเหตุทำไม่สำเร็จภายในรอบการแข่งขันที่เหลือ เซฟตี้คาร์จะวิ่งอยู่จนจบการแข่งขัน แต่ก่อนถึงเส้นชัยเซฟตี้คาร์จะวิ่งกลับเข้าพิตเลนไปก่อนเพื่อปล่อยให้รถผ่านเส้นชัยตามปกติ
นอกจากนั้น ปัจจุบันมีการนำระบบเสมือนมีเซฟตี้คาร์ในสนาม (Virtual Safety Car - VSC) มาใช้โดยมีสถานะเทียบเท่ากับการโบกธงเหลืองคู่ แต่อาจไม่จำเป็นถึงขั้นใช้เซฟตี้คาร์ เมื่อกรรมการตัดสินใจให้ใช้ระบบ VSC จะมีป้ายไฟสัญญาณขึ้นแจ้งนักขับด้านข้างสนาม นักขับต้องลดความเร็วลงแต่ไม่ช้าเกินกว่าที่กำหนด และเมื่อสถานการณ์ในแทร็คกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ป้ายไฟสัญญาณจะเปลี่ยนเป็นสีเขียว
*********************************************************
กฎด้านเทคนิคเบื้องต้นที่ควรทราบ
เครื่องยนต์
นับตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา เครื่องยนต์ฟอร์มูล่าวันใช้ขนาด 1.6 ลิตร V6 เทอร์โบ จำกัดความเร็วรอบเครื่องไม่เกิน 15000rpm นอกจากกำลังของเครื่องยนต์แล้ว ยังจะได้แรงม้าจากการใช้ระบบ ERS (Energy Recovery System) ซึ่งเป็นระบบที่จะเปลี่ยนพลังงานกลและพลังงานความร้อนมาเป็นพลังงานไฟฟ้า
รถแต่ละคันถูกกำหนดให้บรรจุน้ำมันเชื้อเพลิงได้ไม่เกิน 100 กก. หรือประมาณ 130 ลิตรในการแข่งขันแต่ละสนาม และเครื่องยนต์จะต้องบริโภคน้ำมันไม่เกิน 100 กก./ชม. โดยน้ำหนักรถเมื่อรวมน้ำหนักนักขับและอุปกรณ์ความปลอดภัย แต่ไม่รวมเชื้อเพลิง จะต้องไม่ต่ำกว่า 702 กก.
สำหรับกฎการใช้หน่วยเครื่องยนต์ (Power Unit) ของปี 2016 ระบุไว้ดังต่อไปนี้
- นักขับแต่ละคนมีสิทธิ์ใช้หน่วยเครื่องยนต์ได้ 5 ตัวตลอดฤดูกาล
- หน่วยเครื่องยนต์ของรถฟอร์มูล่าวันประกอบด้วยส่วนประกอบหลัก 6 ส่วน ได้แก่
1. เครื่องยนต์เผาไหม้ภายใน (Internal Combustion Engine: ICE)
2. เครื่องกำเนิดไฟฟ้า - พลังงานจลน์ (Motor Generator Unit - Kinetic: MGU-K)
3. เครื่องกำเนิดไฟฟ้า - พลังงานความร้อน (Motor Generator Unit - Heat: MGU-H)
4. ระบบสะสมพลังงาน (Energy Store: ES)
5. ตัวชาร์จเทอร์โบ (Turbo Charger: TC)
6. ระบบควบคุมไฟฟ้า (Control Electronics: CE)
- นักขับแต่ละคนจะสามารถใช้ส่วนประกอบของหน่วยเครื่องยนต์ 6 ส่วนข้างต้นได้ส่วนประกอบละ 5 ตัวตลอดฤดูกาล
- หากนักขับต้องใช้ส่วนประกอบใดๆ ของเครื่องยนต์มากกว่า 5 ตัว นักขับจะต้องรับโทษปรับอันดับกริดสตาร์ทลงมาตามที่เอฟไอเอกำหนดไว้ในทุกๆ ครั้งแรกของการใช้ส่วนประกอบของเครื่องยนต์เพิ่มเติม
> นักขับใช้ส่วนประกอบใดก็ตามเป็นตัวที่ 6 ครั้งแรก นักขับผู้นั้นจะต้องถูกปรับกริดสตาร์ท 10 อันดับ
> นักขับใช้ส่วนประกอบอื่นๆ ที่เหลือเป็นตัวที่ 6 ตามมา นักขับผู้นั้นจะต้องถูกปรับกริดสตาร์ท 5 อันดับ
โดยกระบวนการลงโทษจะเป็นไปเช่นนี้อีกเมื่อเริ่มใช้ส่วนประกอบใดๆ เป็นชิ้นที่ 7 8 9 ฯลฯ
- นอกจากนั้น ฟอร์มูล่าวันยังมีการปรับปรุงเสียงของเครื่องยนต์ให้ดังขึ้นด้วยการกำหนดให้ท่อไอเสียหลักมีท่อไอเสียรองเพิ่มขึ้นมา 1-2 ท่อ ซึ่งต้องไม่มีผลทางด้านแอโรไดนามิกส์ใดๆ และในส่วนของการพัฒนาเครื่องยนต์ระหว่างฤดูกาล ผู้ผลิตเครื่องยนต์แต่ละรายจะได้รับสิทธิ์พัฒนารายละ 32 โทเค่น (tokens) โดยหากมีผู้ผลิตเครื่องยนต์รายใหม่เข้ามาในฟอร์มูล่าวันก็จะได้รับสิทธิ์ 15 โทเค่นในปีแรก และเพิ่มเป็น 32 โทเค่นในปีที่ 2
เกียร์บ็อกซ์หรือชุดเกียร์
- นักขับแต่ละคนจะต้องใช้เกียร์บ็อกซ์ในการแข่งขันชุดหนึ่ง 6 สนามติดต่อกัน
- หากนักขับคนใดเปลี่ยนเกียร์บ็อกซ์ก่อนกำหนดจะต้องรับโทษปรับกริดสตาร์ทลง 5 อันดับในสนามที่มีการเปลี่ยน
- ถ้านักขับคนใดไม่จบการแข่งขันด้วยสาเหตุที่เหนือการควบคุมทั้งจากนักขับหรือทีม นักขับสามารถลงแข่งขันในสนามต่อไปได้ด้วยเกียร์บ็อกซ์ชุดใหม่โดยไม่ต้องรับโทษ
อากาศพลศาสตร์/แอโรไดนามิกส์
งานด้านแอโรไดนามิกส์ของรถฟอร์มูล่าวันมี 2 เรื่องสำคัญด้วยกัน คือ แรงกด (downforce) และแรงลาก (drag) ดาวน์ฟอร์ซจะกดยางลงบนพื้นถนนและช่วยให้เข้าโค้งได้เร็วยิ่งขึ้น โดยจะลดแรงลาก ซึ่งเป็นเหมือนกำแพงต้านอากาศขณะรถเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ทั้งนี้ ดาวน์ฟอร์ซจะช่วยเพิ่มความเร็วให้รถระหว่างวิ่งบนทางตรงอีกด้วย (อ่านเรื่องดาวน์ฟอร์ซเพิ่มเติมได้ที่นี่ / อ่านเรื่องแรงลากเพิ่มเติมได้ที่นี่)
ทุกตารางนิ้วบนรถฟอร์มูล่าวันมีผลกับแอโรไดนามิกส์โดยรวมของรถเองและการทำให้แอโรไดนามิกส์เกิดประสิทธิภาพสูงสุดคือกุญแจสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จของทีม
*********************************************************
ประวัติฟอร์มูล่าวันโดยสังเขป
การแข่งขันฟอร์มูล่าวันชิงแชมป์โลกเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1950 โดยเกิดจากการรวบรวมการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตรายการใหญ่ (Grand Prix) ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในทวีปยุโรประหว่างยุคทศวรรษที่ 1920 และ 1930 เข้าไว้ด้วยกัน การแข่งขันฟอร์มูล่าวันกรังด์ปรีซ์เกิดขึ้นครั้งแรกที่สนามซิลเวอร์สโตน ประเทศอังกฤษ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 1950 ซึ่งจวบจนถึงวันนี้ฟอร์มูล่าวันแข่งขันกันมาแล้วมากกว่า 900 ครั้ง
แชมป์โลกคนแรกของฟอร์มูล่าวันคือ จูเซปเป้ ฟาริน่า ส่วนทีมแชมป์โลกทีมแรกได้แก่ทีมแวนวอลล์ (ตำแหน่งแชมป์โลกประเภททีมมอบให้ในปี 1958 เป็นปีแรก) สำหรับนักขับที่ครองแชมป์โลกจำนวนมากที่สุดคือ มิชาเอล ชูมัคเกอร์ ซึ่งคว้าแชมป์โลกทั้งสิ้น 7 สมัย ในปี 1994-1995 และ 2000-2004 เขายังถือสถิติเป็นผู้ชนะการแข่งขันมากที่สุดจำนวน 91 สนาม โดยเฟอร์รารี่เป็นทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดด้วยจำนวนแชมป์โลก 16 สมัย จากชัยชนะทั้งสิ้น 221 ครั้ง
ในวงการมอเตอร์สปอร์ตมีรายการที่ได้ชื่อว่าเป็นเพชรยอดมงกุฎอยู่ 3 รายการ ได้แก่ อินดี้ 500 เลอมังส์ 24 ชั่วโมง และโมนาโก กรังด์ปรีซ์ ซึ่งรายการหลังจัดการแข่งขันครั้งแรกในปี 1929 และอยู่ในปฏิทินการแข่งขันฟอร์มูล่าวันมาตลอดนับตั้งแต่ปี 1950
Cr - bloggang.com/viewdiary.php?id=f1star&month=03-2016&date=15&group=6&gblog=618