ผู้ตั้ง
ข้อความ
เข้าร่วม: 31 Jan 2010
ตอบ: 51
ที่อยู่: The Past/The Love/The Memoires
โพสเมื่อ: Tue Feb 09, 2016 5:51 pm
[REVIEW] Periphery - Juggernaut Alpha,Omega (2015)


ดนตรีRockถือว่าเป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่แข็งแรงที่สุดของโลก และมีการกลายพันธุ์และแพร่กระจายแตกกิ่งก้านสาขาออกไปอย่างไม่สิ้นสุด
หากจะย้อนกลับไปสักยุคต้น 90'sได้มีวงMetal อันมีนามว่าMeshuggah ซึ่งเป็นวงระดับบรมครูแก่คนรุ่นหลังอีกหลายคน
โดยMeshuggah เป็นวงExtreme Metal ที่มีกลิ่นอายความเป็นProgressive มีลูกเล่นสะใจหลายๆคนยิ่งนัก
วันและเวลาได้ผ่านไปจนกระทั่ง.....

ในช่วงสักประมาณปี2005 ได้มีหนุ่มลูกครึ่ง Americanเชื้อสายIndia อันมีนามว่าMisha Mansoorได้ทำการ ฟอร์มวงเล็กๆวงหนึ่งอันมีนามว่า Periphery โดยระยะเวลาครบรอบ 1 ทศวรรษที่วงดนตรีเล็กได้เติบโต ผ่านการผัดเปลี่ยนสมาชิก

รวมไปถึงร่วมทัวร์ด้วยกับวงรุ่นใหญ๋ๆอย่าง Deftones ,Dream Theaterและรวมไปถึงหลายๆวง และPeripheryถือเป็นอีก1วงที่ฝากคำศัพท์ที่ติดปากวัยรุ่นยุค2000'sปลายๆอย่างคำว่า Djentเอาไว้

Djent (อ่านว่า เจนท์)คือการเลียนเสียงของฝรั่งโดยจะมีเสียงกีตาร์เสียงแตกๆต่ำๆของสายบนทั้งหลายเช่น สาย6,7รวมไปถึง8
และนิยมนำมาผสมกับดนตรีทางด้านProgressive และMetal รวมทั้งการใช้ผู้เล่นที่มากกว่า2คนขึ้นไปมาผสาน ถือได้ว่าเป็นการกลายพันธุ์ของดนตรีRockในยุค2000's
โดย Misha Mansoorเคยกล่าวเอาไว้ว่าแม้ Meshuggahจะไม่ไช่วงที่เล่นดนตรีแนว Djentแต่ก็ถือว่า ไม่มีMeshuggahที่เป็นผู้ให้กำเนิดของผู้ให้กำเนิดอีกทีก็อาจไม่มีดนตรี Djentแพร่หลายอย่างทุกวันนี้แน่นอน

Sumerian Records คือค่ายนอกกระแสที่ผลิตวงชั้นสุดยอดที่เน้นวงฝีมือจัดจ้านไว้ก่อนจริงๆ โดย Periphery คืออีก1วงระดับหัวกะทิจากค่ายยอดมนุษย์ที่ว่านั้น
และPeripheryนี่เอง เป็นอีกวงที่เน้นการแสดงออกทางด้านฝีมือด้วยภาคดนตรีเข้มข้น ซับซ้อนและน่าค้นหาด้วยสมาชิกที่มีถึง6คน โดดเด่นด้วยมือกีตาร์ฝีมือจัดจ้านถึง3คน พร้อมกับภาคริทึ่มที่แข็งแรงของกลองและเบส จึงหายห่วงเลยว่า เราจะได้รับสาระทางดนตรีในอัลบัมอย่างอัดแน่นแน่นอน
เป็นเวลากว่าา3ปีที่ห่างหายจากการทำอัลบัม นับตั้งแต่ This Time It's Personal ที่เป็นอัลบัมเต็มชุดที่2 โดยมีผลงานEP Clearที่เป็นผลงานด้านการทดลองของสมาชิกในวงที่ เข้ามามีบทบาทในด้านการโปรดิวเซอร์เพื่อปล่อยสกิลและทักษะมาคั่นกลาง ก่อนที่จะออก สุดยอดอัลบัมชิ้นนี่

Juggernaut Alpha : Omegaคืออัลบัมคู่ที่มีจำนวนในแพคเกจถึง2CDและ1DVD
ด้วยเพลงระดับมหากาพย์ที่มีความยาวกว่า80นาที โดยเป็นครั้งแรกที่ได้ทำอัลบัมออกมาคอนเซ็ปต์อัลบัมที่นับจากตัว อักษรตัวแรกและตัวสุดท้ายในภาษากรีกที่มีเรื่องราวออกจะเป็นมหากาพย์ที่ว่าด้วย
จุดกำเนิด และ จุดสิ้นสุด
ครั้งแรก และ ครั้งสุดท้าย
รวมไปถึง การเกิดและความตาย

ผลงานชุดนี้เพิ่มความเป็นเมนสตรีมที่ทำให้ฟังง่ายและสามารถเข้าถึงได้โดยไม่จำเป็นต้องเป็นนักดนตรี และวงได้ทำการทดลองที่จะเอาส่วนอื่น เข้ามาผสมเช่นเสียงคีย์บอร์ดและเปียนโน,กีตาร์คลาสสิค เปียนโนเพลงบรรลง รวมไปถึงการนำตรีFusion-Jazzเข้ามาบ้าง ไม่กระโชกโฮกฮากแบบชุดก่อนๆ ซาวด์สังเคราะห์รองพื้นสวยๆรวมไปถึงซาวด์จากวิดีโอเกมส์ที่เอามาผสมผสานได้อย่างลงตัว

และภาคดนตรีที่เสมือนเป็นหน้าเป็นตาให้กับวงยังคงเป็น กีตาร์ที่มาจากMisha,JakeและMarkเรียกได้เลยว่ายิ่งรบยิ่งเจนศึกสงครามยิ่งนัก มีการเรียบเรียงการแยกและผสานได้อย่างสวยงามทั้ง ริฟฟ์,ริทึ่มและโซโล่ และมีการใช้เครื่องไม้เครื่องมือหลากหลายเช่นกีตาร์6 7 รวมไปถึง8สาย

ภาคการร้องนั้นยังคงใช้ Spencer Sotelo เช่นเดิมโดยชุดนี้มีการแสดงออกหลากหลายเช่น การใข้คีย์การร้องกลางๆและโหนสูง รวมไปถึงสครีม ที่ทรงพลัง
โดยทั้งหมดทั้งสิ้นSpencerก็ได้เป็น Vocal Directorที่กำกับการร้องด้วยตนเองในทุกๆการบันทึกเสียงในอัลบัม นอกจากนี้ก็ทำอัลบัมDead Trees และออกทัวร์กับFrom First to Lastด้วย

ในยุคหลังๆที่ดนตรีPost-hardcore,Metalcoreหรือ Rock เมนสตรีมทั้งหลายแหล่ที่ออกมากลาดเกลื่อนชนกันมั่ว Juggernaut Alpha : Omega อัลบัมคู่นี้ได้ทำการเปิดโลกทัศน์ในการฟังเพลงของผู้เขียนไปอีกด้านหนึ่งแล้วครับ และขอแนะนำที่ใครอยากจะศึกษาดนตรีแนวนี้อัลบัมคือผลงานที่น่าควรเอามาศึกษาดูเป็นอย่างยิ่งครับ

Juggernaut Alpha : Omega เรียกได้ว่าเป็นการเฉลิมฉลองวาระครบรอบ10ปีของวงที่พัฒนาเกินตัวของวงนี้ได้อย่างสมศักดิ์ศรีและมั่นใจเหลือเกิน ว่าในเวลาอีกสัก10ปี ผลงานชุดนี้จะเป็นที่กล่าวถึงและปีนไปถึงระดับที่เรีกว่าเป็น ตำนานได้อย่างแน่นอนครับ


Sleeping With Sirens - Let Love Bleed Red
เข้าร่วม: 31 Jan 2010
ตอบ: 51
ที่อยู่: The Past/The Love/The Memoires
โพสเมื่อ: Tue Feb 09, 2016 5:51 pm
[RE: [REVIEW] Periphery - Juggernaut Alpha,Omega (2015)]
Track By Track

Juggernaut: Alhpa

“A Black Minute”
Introที่เปิดตัวด้วยความนิ่ง เงียบและหม่นพอประมาณ
เพลงนี้เหมือนจะบอกถึงความเป็นไปในอัลบัมจริงๆ เพราะไม่ได้เปิดตัวมาด้วยอารมณ์กระโชกโฮกฮากแบบที่ Djentกระทำกัน
โดย Mishaได้วางIntroด้านความสุขุม ความนิ่งด้วย เสียงกีตาร์ คลีนผสานกับไลน์ลีดเสียงลอยๆ ประสานด้วยซาวนด์สังเคราะห์จางๆ โดยเพลงนี้Spencerได้โชว์พลังเสียงการร้องด้วยคีย์สูงๆ แสดงถึงความ "ทรงพลัง" ตามชื่ออัลบัมครับ


“MK Ultra”

รู้สึกได้เลยว่าเพลงนี้ทำมาเพื่อเอาใจแฟนเก่าจริงๆ ด้วยริฟฟ์กีตาร์ที่ดูยุ่งเหยิงและเสียงสครีมอลหม่าน ด้วยริฟฟ์สะใจๆแบบที่แฟนๆคุ้ยเคย แฝงความเป็นMetalcoreเข้าไปนิดๆ
โดยมีจังหวะและบีทเร็วกว่าแทรคที่แล้ว แต่ก็ไม่ลืมที่จะแถมความสวยงามแบบ Bossanovaในท้ายเพลง ที่เป็นการเล่นเมโลดีด้าน กีตาร์โซโล่ และคีย์บอร์ด


“Heavy Heart”
ริฟฟ์กีตาร์ที่ติดหูชวนที่เข้ามาปักธงในสมอง คืออาวุธที่ทรงพลังของPeripheryจริงๆ
โดยเฉพาะเสียงโซโล่ยาวๆของMishaที่สร้างลายเซ็นเอาไว้อย่างแจ่มชัด และมีการผสานไลน์กีตาร์ทั้ง3ไว้อย่างลงตัวและนี่คืออีก 1เพลงที่เป็นลายเซ็นในอัลบัมครับ


“The Event”
Interlude บรรเลงสั้นๆ เหมาะที่จะพักหูและทบทวน
ใช่ว่าทางด้านเมโลดี ของกีตาร์สามสหายจะทำหน้าที่ได้ดีเพียงด้านเดียว
แต่เพลงนี้คือการโชว์ศักยภาพทางด้าน ริทึ่มที่เป็นดังกระดูกสันหลังของอัลบัม
เพลงนี้เน้นความง่าย ช้า กระชับและมั่นคงผสานควบคู่ไปกับเสียงกลอง ถือว่าเป็นRhythm sessionสวยๆอีกเพลงที่ปรับธีมและอารมณ์ก่อนจะเข้าสู่


“The Scourge”
เป็นอีกเพลงที่เริ่มมาจากเดโมของMisha ก่อนที่จะระดมความคิดกับสมาชิกที่เหลือในวงจนเสร็จเป็นเพลงแรกในอัลบัม ในระยะเวลาอันรวดเร็ว
เพลงนี้ได้ เปียนโนและเครื่องสายเข้ามาแต่งแต้มให้มีสีสัน และเป็นเพลงแรกในอัลบัมมีท่อนเบรคดาวน์มาปลุกให้หายคิดถึง


“Alpha”

Alpha ตามชื่ออัลบัม(พาร์ทแรก)และนี่แหละคือทีเด็ดที่สุดในอัลบัม เพราะเพลงนี้บ่งบอกถึงความล้ำการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตของวงได้อย่างดีที่สุด

Alpha เปิดตัวมาด้วยซาวนด์วีดิโอเกมส์ยุค 90's ในท่อนอินโทรและเอาท์โทรผสานกับริฟฟ์กีตาร์ฟังง่ายๆเพลงนี้เป็น Djentขัดๆไลน์โซโล่รองพื้นสวยๆตามแบบฉบับของวง ที่มีรสชาติของAlternativeแตะๆที่ปลายลิ้น เหมาะกับตัดเป็นSinglesส่งตามสถานีวิทยุ
เป็นเพลงแรกที่ทำเป็นMusic Video ล้ำๆ ที่เท่ห์มากแนะนำให้หลายคนเข้ามาดู และเผลอๆอาจจะเป็นMusic Videoตัวเดียวในอัลบัมก่อนที่วงจะออกทัวร์ยาวๆจนไม่ได้มาถ่าย Music Videoตัวต่อไปอีก


“22 Faces”
ถ้าไม่นับท่อนAในโครงสร้างของเพลงSpencerแทบจะใช้คีย์สูงๆทั้งเพลงในการร้องเพลงนี้ผสานกับเสียงสครีมพอประมาณ ตามความหมายของเพลงที่เหมือนจะกรีดร้องออกมาจากภายในขั้วหัวใจจริงๆ
ช้าๆ เรียบง่าย แต่มั่นคง คือนิยามของเพลงนี้จริงๆ
โครงสร้างของเพลงเรียบเรียงได้อย่างสวยงามที่สุดจริงๆโดยเฉพาะ ท่อนโซโล่ ที่มีทั้งเสียง โซโล่ สองประสานเท่ห์ๆ กับริทึ่มหนาๆ เข้ามาเอาชนะใจทำให้22 Faces เป็นแทรคที่ผมชอบที่สุดในอัลบัมครับ


“Rainbow Gravity”
แรงโน้มถ่วงของสายรุ้ง บทนี้ มีความ หนึบๆหนับๆของกีตาร์7-8สายตามสไตล์ Djentที่ได้อิทธิพลมาจาก meshuggahค่อนข้างเยอะ
ก่อนที่จะผสมกลิ่นอายโซโล่เบาๆ พร้อมกับเสียงเดินเบสในท่อนกลางเบสที่บรรเลงได้อย่างสวยงามเพลงนี้เป็นอีกเพลงที่Mishaชอบมาก และได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือของStephen king


“Four Lights”
Interludeบรรเลงชิ้นที่สอง ที่มีความดิบ สับสนและอลหม่านของภาคกีตาร์ริทึ่มและหยาบกร้านก่อนที่จะตัดฉับลงด้วยเสียงซาวนด์สังเคราะห์แบบฉบับ ซิมโฟนิค โดยไม่ลืมจะทิ้งท้ายด้วยเสียงโซโลนิดๆในท้ายเพลง


"Psychosphere"
เพลงทดลองอีกเพลงที่ทางวงได้หัดที่จะทำอะไรนอกกรอบและไม่เคยทำข้อสรุปทั้งหมดของAlphaถูกคัดย่อออกมาให้เหลือเพียง 6นาทีกว่าๆในเพลงนี้เพลงเดียว
เป็นอีกเพลงที่ใช้จังหวะและเทมโปต่ำๆที่มีความเป็นDjentค่อนข้างเยอะ และใช้อารมณ์ค่อนข้างจะซีเรียส

แต่ในที่สุดแล้วเรื่องราวมันก็ยังไม่จบและนี่คือแค่ส่วนเดียวของมหากาพย์ชิ้นนี้เท่านั้น
1
0


Sleeping With Sirens - Let Love Bleed Red
เข้าร่วม: 31 Jan 2010
ตอบ: 51
ที่อยู่: The Past/The Love/The Memoires
โพสเมื่อ: Tue Feb 09, 2016 5:51 pm
[RE: [REVIEW] Periphery - Juggernaut Alpha,Omega (2015)]
Juggernaut: Omega
“Reprise”
เสียงกีตาร์ใส เช่นเดียวกับ A Black Minuteที่เคยใช้ในการเปิดตัวอัลบัมAlpha
และเห็นได้ชัดว่าเป็นภาคต่อของ A Black Minute ทั้งเนื้อเพลงและเมโลดี แบบที่คุ้นเคยก่อนที่จะนำพาเราเข้าสู่


“The Bad Thing”
กลับสู่รากเหง้าความเป็นPeripheryกันสักหน่อย ด้วยความเป็นMetalcoreและไส่ Breakdownsลงไป กับกีตาร์ หนืดๆ หลวมๆ ที่หลายคนคุ้นเคย
แรงบัลดาลใจที่พูดถึงสิ่งเหลวแหลกทั้งหลายของเพลงนี้มาจาก หนังสือ The Shining ของ Stephen Kingที่พูดถึงพ่อที่ขี้เมาของDanny Torranceตัวละครในเรื่อง เพลงนี้ได้ตัดเป็นLive Music Videoที่บอกถึงเรื่องราวระหว่างทัวร์อย่างหนัก


“Priestess”
เสียง กีตาร์คลาสสิคของMark Holcomb ที่ปรากฏขึ้นนับว่าเป็นอีก1การทดลองใหม่ๆที่มีมาในอัลบัมนี้
เพลงนี้เล่าเรื่องโดยเสียงคลีนและเมโลดี โดยไม่มีเสียงสครีมใดๆมาขัดจังหวะ เพลงนี้พูดถึงในแง่ของสว่าง และผสานเสียงแซมป์และกีตาร์สวยๆแบบฉบับดั้งเดิม


“Graveless”
หลังจากผ่อนคลายกันพอแล้ว ก็เข้ามาสู่ความสับสนอลหม่านกันอีกสักครา
โดยเพลงนี้เรียกได้ว่าหนักที่สุดในอัลบัมเลย เพราะเน้นเสียงกระเดื่องกลองที่แทบจะปั่นตลอดทั้งเพลง โดยโทนในเพลงนี้ออกจะไปทางด้านมืดมนและสิ้นหวัง เพราะพูดถึงการฆ่าตัวตาย


“Hell Below”
เป็นอีกครั้งที่เลือกจะใช้สไตล์การเล่นกระโชกโฮกฮากและก้าวร้าวแบบMeshuggah ที่เป็นแรงบัลดาลใจในการเล่นดนตรีของพวกเขา
ด้วยสไตล์ความดิบในกีตาร์ที่จูนต่ำๆและใช้เทมโปต่ำๆผนวกกับความสับสนอลหม่านในภาคการร้องแบบสครีมทั้งเพลงที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด

ก่อนที่จะชำระล้างเลือดด้วยเสียงเปียนโนSmoothแบบJazz ที่เข้ามาผ่อนคลายความเครียดความกดดัน


“Omega”
ทุกๆอย่างเมื่อมีจุดเริ่มต้น ก็ย่อมมีจุดสิ้นสุด และถ้าจะบอกว่าเพลงไหนคือสุดมหากาพย์คงต้องบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า Omega
เพราะเป็นเพลงที่นานที่สุดยาวที่สุดในอัลบัมทั้งAlphaและOmegaถึง11นาที44วินาทีแทบจะแบ่งออกเป็น3หรือ4เพลงได้อย่างสบาย
ด้วยความยาวถึงยาวมากที่สุด ทำให้ภาคดนตรีแบ่งออกเป็นหลายสัดส่วน สลับทั้งช้าและเร็วหนักและเบา เจือปนด้วยกีตาร์โซโล่สวยๆ Breakdownsกระตุกๆ และท่อนผ่อนคลายที่เบสเข้ามามีบทบาท ในการเดินเพื่อคุมภาคริทึ่มอีกครั้ง

โดยเนื้อหาของเพลงก็นับเป็นมหากาพย์เช่นเดียวกับภาคดนตรีที่พูดถึงความตายและการกลับชาติมา เกิดใหม่


“Stranger Things”
มหากาพย์ที่ยาวที่สุด กลับไม่ใช่เพลงสุดท้ายในอัลบัมจริงๆซะทีเดียว
Spencerได้ใช้พลังเสียงทั้งหมดของเขาเพื่อร้องออกมาเพลงนี้จริงๆ ด้วยการใช้คีย์สูงๆ การหลบเสียงถึงสูงมากที่สุด ในระยะเวลาการร้องกว่า7นาทีถือว่าเป็นเรื่องหนักหนาเอาการ
ภาคดนตรีที่เปิดมาด้วยเสียงคลีนไสๆของกีตาร์ ผสานกับเสียงกลองชวนโยกหัว ตามแบบฉบับ ก่อนจะปิดท้ายด้วยเสียงสังเคราะห์ที่มีความเป็นซิมโฟนิคเท่ห์ๆ
และนี่คือการปิดฉาก มหากาพย์ได้สวยงามและสมศักดิ์ศรีที่สุดครับ



Sleeping With Sirens - Let Love Bleed Red