ผู้ตั้ง
ข้อความ
เข้าร่วม: 05 May 2014
ตอบ: 1319
ที่อยู่: 2-1-1 Kita-ichijō-nishi, Chūō-ku, Sapporo-shi, Hokkaido
โพสเมื่อ: Tue Feb 09, 2016 1:34 pm
ขอแฮตทริก 3 บทความ...เรื่องราวของ Draymond Green , Kristaps Porzingis และ Kawhi Leonard
ขอนำบทความจาก NBA TIME มาลงนะครับ รับประกันอ่านสนุกมากๆ และคุ้มกับเวลาที่เสียไปแน่นอน

เริ่มกันที่ผู้ชายคนนี้ เดรมอนด์ เกรียน เอ้ยยยย กรีน

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


+++ DRAYMOND GREEN "ผู้ชายปากหมา" +++





“กรีนถากถางมนุษย์ทุกคนบนโลกนี้” – Steve Kerr
“เค้าคุยกับพวกเรา กับตัวเอง โค้ช แม้กระทั่งตัวสำรองทีมตรงข้ามก็ยังไม่เว้น” – Klay Thompson
“ต่อให้คุณกำลังคุยกันเรื่องสัพเพเหระอย่างเรื่อง มันฝรั่งทอด กรีนก็ยังจะตามมาออกความเห็นอยู่ดี” – Andre Iguadala

ใครจะเชื่อว่าทัศนคติแบบนี้กลับกลายเป็นส่วนสำคัญต่อความสำเร็จของ GSW ทีมที่เต็มไปด้วยผู้เล่นแนวสุภาพพูดน้อยอย่าง สตีเฟน เคอรี่ หรือ เคลย์ ทอมป์สัน ลักษณะนิสัยของกรีนมาช่วยเติมเต็มสร้างภาพที่น่าเกรงขามให้แก่ทีม และไอ้นิสัยแบบนี้เองที่ทำให้เค้าเป็นขวัญใจแฟนๆ ถ้าสังเกตให้ดีตอนที่แข่งในบ้าน เวลาประกาศรายชื่อผู้เล่น กรีนได้รับเสียงเชียร์ดังพอๆ กับ MVP อย่าง Stephen Curry ด้วยซ้ำ “ผมก็ไม่ได้คิดว่า ผมเป็นคนหยิ่งยะโสหรือชอบอวดเก่งอะไรนะ” กรีนกล่าว “ผมแค่มั่นใจในตัวเอง และนั่นก็ไม่ได้แปลว่าผมเป็นคนกวนประสาทหรือไร้กาลเทศะ ผมแค่เป็นคนประเภทที่ไม่ยอมให้ใครมาข่มใส่ ผมต้องพิสูจน์ตัวเองเพื่อให้ได้รับการยอมรับ”

กรีนเป็นเด็กหัวแข็งช่างพูดมาตั้งแต่เด็ก เค้าโตมากับวัฒนธรรมการคุยถากถางใส่คู่ต่อสู้ (Trash Talk) ตอนเด็กกรีนชอบออกไปเล่นบาสกับเด็กโตหรือผู้ใหญ่ในระแวกบ้าน และยืนกรานไม่ยอมออกจากสนามเด็ดขาดไม่ว่าแพ้หรือชนะก็จะเล่นต่อให้ได้ แน่นอนเค้าคุยข่มใส่ทุกคนจนเป็นเรื่องปกติ ไม่เว้นแม้จะเป็นเพื่อน คนในครอบครัว คู่แข่ง จนกระทั่งคนแปลกหน้า แต่นิสัยแบบนี้กลับกลายเป็นเสน่ห์ที่ทำให้คนชอบ กรีนมีเซนส์ในการพูดจาแรงๆ โดยที่ไม่ล้ำเส้นใคร เค้ารู้ว่าสามารถพูดอะไรได้แรงแค่ไหนโดยที่คนฟังจะไม่เอาเรื่อง “เค้าเอาตัวรอดได้เสมอ เพราะทุกคนชอบเค้า” Mary Babers-Green แม่ของกรีนกล่าว “ ไม่ว่าเค้าจะทำอะไร คนไม่เคยถือเลย”



แต่นิสัยช่างพูดและความมั่นใจในตัวเองของกรีนบางครั้งก็ไม่ได้ส่งผลดีเสมอไป ในสมัยมัธยมเค้าเคยถูกไล่ออกจากสนาม หลังจากที่ถูกกรรมการเตือนให้เงียบแล้วหลายครั้ง แม้กรีนจะบอกว่าเค้าแค่ตะโกนใส่เพื่อนร่วมทีมตัวเองให้วิ่ง ไม่ได้ตะโกนด่าใคร ข่าวลือแพร่กระจายไปว่า กรีนมีปัญหาเรื่องทัศนคติ ชื่อเสียงในด้านลบส่งผลให้ Michigan State ลังเลที่จะรับเค้าเข้าสู่มหาวิทยาลัย ทั้งที่กรีนพาทีมได้แชมป์ระดับรัฐสองสมัยและเป็นผู้เล่นระดับ Top 50 ที่อยู่ห่างจากมหาวิทลัยไม่ถึง 60 ไมล์ จนกระทั่งกรีนเกือบที่จะตกลงเข้าเรียนที่ Kentucky กว่าที่ Michigan State จะติดต่อเข้ามาเรียกตัวกรีนเข้าสู่ทีม ภายใต้การคุมทีมของโค้ช Tom Izzo

กรีนแสดงความมั่นใจในตัวเองให้ทุกคนเห็นตั้งแต่ปีแรกที่เข้าร่วมทีม Michigan State จน Travis Walton ผู้เล่นปีสี่ออกมาให้เล่าให้ฟังว่า เค้าจำได้แม่นถึง ตอนที่ทีมเริ่มโปรแกรมฝึกร่างกายยกเวทในครั้งแรก กรีนโผล่มาด้วยน้ำหนักเกือบ 300 ปอนด์ (น้ำหนักตัวเค้าขึ้นมาอีกพอสมควร หลังจากที่พึ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บข้อเท้า) กรีนเริ่มวอร์มอัพร่างกายเตรียมพร้อมยกน้ำหนักท่าเบนซ์เพรส (Bench Press) หลังจากนั้นเค้าก็ “อ้วก” ออกมา เนื่องจากยกหนักเกินตัว จังหวะนั้น Walton ได้แต่คิดในใจว่า ‘ไอ้คนแบบนี้นี่มันมาอยู่ในทีมระดับนี้ได้ไง’ แต่แม้จะพูดมากหรือมั่นใจเกินไปจน [เกือบจะ] น่ารำคาญ เมื่อเริ่มซ้อมทีม กรีนก็สามารถพิสูจน์ตัวเองในสนามจนเป็นที่ยอมรับได้อย่างรวดเร็ว เค้าสามารถสร้างเพลย์ดีๆ แสดงฝีมืออันโดดเด่นในสนาม และแน่นอน…ไม่ลืมที่จะคุยเถือคนอื่นตลอดเวลา…




ความสัมพันธ์ระหว่างโค้ชอิซโซ่ กับกรีน เป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ครั้งหนึ่งโค้ชอิซโซ่เคยเข้าไปปรึกษาคุณแม่ของกรีนว่าวิธีไหนถึงจะเข้าถึงใจลูกชายเค้าได้ “เค้าดูดื้อหัวแข็ง แต่ถ้าคุณได้ใจเค้าเมื่อไหร่ เค้าจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ” Babers-Green แม่ของกรีนกล่าว “เค้าพร้อมที่จะยกภูเขาทุกลูกให้คุณ เพราะเค้าจะไม่มีทางยอมแพ้ คำว่า ‘ยอมแพ้’ ไม่มีอยู่ในหัวของเค้า” ในขณะที่กรีนอยากลงเล่นเป็นตัวหลัก โค้ชอิซโซ่ต้องการให้กรีนเริ่มต้นจากการเป็นตัวสำรอง ต้องพิสูจน์ตัวเองเพื่อจะได้รับ “โอกาส” ในการลงเล่นในแต่ละนาที แน่นอนว่ากรีนไม่พอใจและไม่ยอมรับในการตัดสินใจของโค้ชเท่าไหร่นัก ทุกครั้งที่กรีนเริ่มฉุนเฉียว โค้ชจะต้องเข้ามาปรามอารมณ์ว่า “เป็นแค่เด็กปีหนึ่ง หุบปากไปซะ”

แรกเริ่มทั้งคู่มีเรื่องชวนทะเลาะทุกวัน ต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าที่โค้ชอิซโซ่และกรีนจะเข้าใจกันและกัน

“มีหลายครั้งที่ เวลาซ้อมเขายิงพลาดแล้วหัวเสียเตะลูกบาสกลิ้งไปทั่วสนาม” โค้ชอิซโซ่นึกถึงกรีนตอนสมัยซ้อมทีมมหาวิทยาลัย “ผมรู้สึกหงุดหงิดที่เค้าทำแบบนั้น แต่ก็นั่นละ พอมาย้อนคิดดีๆ ผมจะบอกกับตัวเองเสมอว่า ถ้าผู้เล่นคนอื่นมีความรู้สึกจริงจังใส่ใจขนาดนั้น ขนาดที่จะหัวเสียได้แบบนั้นก็ดีสิ”

จนถึงจุดนึง ทั้งคู่มีความรู้สึกตรงกันว่า ต่างคนต่างจะทำทุกอย่างเพื่อทำให้อีกฝ่ายประสบความสำเร็จ “เค้าต้องการเห็นผมประสบความสำเร็จขนาดนั้น แล้วผมจะไม่รักเค้าได้ไง” กรีนกล่าว



กรีนเติบโตจากผู้เล่นสำรองจนกลายเป็นผู้เล่นหลักของทีม และสามารถนำทีมเข้าสู้รอบชิงชนะเลิศในปี 2009 โดยทำแต้มเฉลี่ย 8.9 ต่อเกมส์ กับอีก 5.3 รีบาวน์ ในขณะที่ชู๊ตแม่นยำเป็นอันดับหนึ่งของทีมที่ 67.9 เปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นกรีนค่อยๆ เติบโตกลายเป็นผู้เล่นหลักที่มีความสามารถในการสร้างเพลย์อันหลายทาง เค้าสามารถส่งบอล เล่นโพสวงใน ขโมยบอลได้ดี และมีความเป็นผู้นำ ที่สำคัญที่สุดคือ เค้ามีเซนส์ในการไปยืนอยู่ในตำแหน่งที่ถูกที่ถูกเวลาในช่วงสำคัญได้เสมอ บ่อยครั้งที่เค้าสามารถเปลี่ยนเกมส์ได้จากความสามารถนั้น

หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัย กรีนถูกดราฟท์เข้าสู่ NBA โดย GSW ในรอบที่สอง เป็นอันดับที่ 35…ตั้งแต่เริ่มเข้าทีม แม่ของกรีนที่ไม่เคยขอโอกาสให้ลูกชายลงเล่น แต่ขอให้โค้ชช่วยเปลี่ยนลูกชายเค้าให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ ดูเหมือนว่าโค้ชอิซโซ่ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้สำเร็จจนได้



แม้จะได้เข้าสู่ NBA ตามที่ใฝ่ฝัน แต่การถูกดราฟท์ในรอบ 2 เป็นอันดับที่ 35 ดูเหมือนจะรบกวนจิตใจกรีนอยู่ไม่น้อย ข้อเท็จจริงที่ว่า มีผู้เล่นคนอื่นอีกถึง 34 คนที่เก่งกว่าและถูกเลือกไปก่อนหน้าเค้า มันกระทบความภาคภูมิใจในตัวเองของกรีน แต่ในขณะเดียวกันมันก็เป็นเรื่องราวที่เหมาะสมกับชีวิตเค้า กรีนเคยออกมาพูดว่า “GSW มีสิทธิดราฟท์อันดับที่ 30 จริงๆ พวกเขาจะเลือกผมก็ได้…และ ถ้าทำแบบนั้น คนก็จะพูดว่า ‘เดรย์มอนถูกดราฟท์ในรอบแรก’…” กรีนกล่าว “แต่ไอ้การถูกดราฟท์ในรอบสอง มันเหมาะกับชีวิตผมมากกว่า…เพราะผมเป็นคนที่ต้องพิสูจน์ตัวเองเสมอ”

กรีนเริ่มต้นการเล่น NBA ด้วยการเป็นผู้เล่นสำรองคล้ายกับตอนเค้าเริ่มเข้าทีมหาวิทยาลัย กรีนได้ลงเพียงหนึ่งนาทีในเกมส์เปิดสนามปี 2012 ของ GSW หลังจากนั้นเค้ามีโอกาสได้ลงเล่นมากขึ้นจากการบาดเจ็บของผู้เล่นหลักบางคน กรีนฉายแววความเป็นผู้นำเลยทันที ที่สำคัญคือเค้าไม่กลัวที่จะแสดงความเป็นตัวตนของตัวเอง เค้ากล้าที่จะพูดสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ โดยไม่กลัวใคร แม้กระทั่งตอนที่กรีนต้องมาประกบ Kevin Garnett นักบาสที่เค้าชื่นชมมาตั้งแต่เด็ก กรีนก็กล้าที่จะต่อปากต่อคำกับ KG ผู้เล่นที่ขึ้นชื่อเรื่องการ Trash Talk โดยไม่หวั่นเกรง “ผมท้าทายเค้า: ‘คุณ [KG] ไม่ได้ทำให้ใครกลัวหรอกนะ เลิกเล่นลูกไม้เดิมๆ เถอะ’ พวกเราปะทะคารมกัน แต่ผมยังคงรู้สึกเคารพ KG เสมอ” กรีนเล่าให้ฟังถึงตอนเค้าเจอกับ KG




จุดเปลี่ยนที่สำคัญในการพัฒนาการเล่นของกรีน เกิดขึ้นในฤดูกาล 2013 – 2014 เมื่อ GSW เซ็นสัญญารับ เจอเมน โอนีล (Jermaine O’Neal) เข้ามาในทีม โอนีลประทับใจที่เห็นผู้เล่นปีสองแบบกรีนได้รับความเคารพจากเพื่อนร่วมทีมในห้องแต่งตัว น้อยครั้งที่จะมีผู้เล่นที่อยู่แค่ปีสองสามารถพูดตรงไปตรงมาแบบไม่กลัวใครในห้องแต่งตัวของทีมแบบนั้นได้ โอนีลคอยให้คำปรึกษากรีนในฐานะรุ่นพี่อยู่เสมอ ครั้งหนึ่ง โอนีลสังเกตเห็นว่า กรีนมีปากเสียงกับเพื่อนร่วมทีมและทำท่าเหมือนจะยอมปล่อยๆ ให้มันผ่านไปโดยไม่ทำอะไร โอนีลรีบเข้าไปสอนกรีนโดยทันที “คนเค้าให้ความเคารพคุณแล้วทั้งในความเป็นผู้นำ ในฐานะผู้เล่น และความเป็นตัวตนของคุณ สิ่งที่คุณห้ามมีโดยเด็ดขาดคือ ไอ้ความคิดประเภท ‘ช่างแม่มมัน’ ในเมื่อคุณได้รับความเคารพแล้ว อย่าเสียมันไปด้วยเรื่องแบบนี้ ถ้าคนเค้าจะพูดอะไรกับคุณ จงฟัง ถ้าคุณโมโห ก็แสดงมันออกมา แต่อย่าทำเฉยเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น” กรีนบอกในภายหลังว่านี่เป็นหนึ่งในคำแนะนำที่ดีที่สุดที่เค้าเคยได้รับ

ในรอบแรกของ Playoff ปี 2014 ที่ GSW เจอกับ LAC โอนีลเดินเข้าไปหาโค้ช Mark Jackson เพื่อแนะนำให้โค้ชจัดตัวกรีนเป็นผู้เล่นตัวจริง 5 คนแรกแทนตัวเค้าเอง “มันเป็นความรู้สึกที่สุดๆ จริงๆ” กรีนกล่าว “นี่คือผู้เล่นประสบการณ์ระดับ 17 ปี ที่ผมเฝ้าดูมาตั้งแต่เด็ก และคนๆ นี้เดินไปบอกโค้ชเพื่อให้ผมลงเล่นเป็นตัวจริงแทนเขาเนี่ยอะนะ? ข้อแรก เรายังอยู่ใน Playoff พวกเรากำลังแข่งกับ LAC – ทีมคู่แข่งที่ผมเกลียดเข้าใส้ – และ คุณเดินไปบอกผมให้ผมลงเป็นตัวจริงแทนคุณ? แม่ม…ผมต้องเล่นให้ดีที่สุด ผมทำให้เค้าผิดหวังไม่ได้” แม้ในท้ายที่สุด GSW จะพ่ายต่อ LAC ในเกมส์ 7 ของฤดูกาลนั้น กรีนได้ฉายแววขึ้นมาเป็นผู้เล่นหลักอย่างสมบูรณ์ เค้าทำ 24 คะแนน และยิมสามแต้มลงไป 5 ลูก ในเกม 7 ที่แพ้ให้แก่คลิปเปอร์



ก่อนเปิดฤดูกาล 2014-2015 GSW มีการเปลี่ยนแปลงทีมโค้ชโดยนำ Steve Kerr และทีมงานใหม่เข้ามาคุมทีมแทน Mark Jackson ซึ่งสร้างความกังวลให้แก่กรีนอยู่ไม่น้อย เค้ากลัวว่าจะต้องกลับไปอยู่ในรายชื่อผู้เล่นสำรองท้ายแถวอีกครั้ง กลัวว่าจะต้องเริ่มใหม่จากศูนย์ ต้องพิสูจน์ตัวเองให้ทีมโค้ชเห็นใหม่ทั้งหมด หรือแม้กระทั่งว่าจะ “ได้รับโอกาส” ให้พิสูจน์ตัวเองอีกหรือไม่…ทั้งที่เค้าอุตสาห์ทำมันได้สำเร็จแล้วกับโค้ชเก่า ความกลัวในจิตใจมันส่งผลให้ กรีนพยายาม “มากเกินไป” ระหว่างการซ้อม เค้าพยายามเล่นลูกยากแบบการหยุดยิงสามคะแนนกระทันหัน ฝืนเข้าไปแหวกเล่นวงใน หรือจ่ายลูกหวือหวา จนถึงจุดนึง Steve Kerr ออกมาแซวว่าเค้าคือ เดรย์มอน เจมส์ (เดรย์มอนที่พยายามจะเป็น LeBron James)

เกมส์ของกรีนค่อยๆ พัฒนาขึ้น หลังจากที่ทีมโค้ชออกมาปรับความเข้าใจกับกรีน สร้างความมั่นใจให้กรีนเล่นแบบที่เป็นตัวเอง ไม่ต้องพยายามเป็นคนอื่น สิ่งที่เค้าทำมันดีอยู่แล้ว กรีนค่อยๆ พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนสามารถแย่งตำแหน่งตัวจริงแทน David Lee และกลายเป็นหนึ่งในตัวหลักของ GSW

แม้ว่าตอนเป็นผู้เล่น เคอร์จะไม่ไช่คนที่ชอบการคุยข่ม แต่เค้าเข้าใจดีว่า ฝีปากของกรีนสามารถช่วยข่มคู่ต่อสู้ให้สมาธิหลุดออกจากเกมส์ได้ เคอร์อนุญาตให้กรีนคุยถากถางคนอื่นได้เหมือนเดิมตราบเท่าที่สิ่งที่เค้าพูดไม่ล้ำเส้นใครหรือสร้างความเดือดร้อนให้แก่ทีม ในทีมอย่าง GSW ที่มีบุคลิกสุภาพเป็นส่วนใหญ่ ความแข็งแกร่งของกรีนมันช่วยเสริมทีมได้เป็นอย่างดี ในขณะที่ เคอรี่ และ ทอมป์สัน คือผู้เล่นและผู้นำที่ดีที่สุดในสนาม กรีนสามารถทำหน้าที่เป็น ‘ผู้นำทางอารมณ์ (Emotional Leader) นอกสนามให้แก่ทีมได้ “พวกเราต้องการความกระด้างที่เค้ามี” เคอร์กล่าว “แม้จะมีความมั่นใจ แต่ทีมเราเป็นทีมที่เงียบมาก…สิ่งที่กรีนมีสามารถเติมเต็มทีมได้เป็นอย่างดี ผมชอบมาก”




กรีนเชื่อว่าเค้าสามารถเป็นต้นแบบได้ว่า คนเราสามารถก้าวข้ามอุปสรรคได้ทุกชนิด และ สามารถพิสูจน์ให้คนที่ไม่เชื่อในตัวเราเห็นว่าเค้าคิดผิดได้เสมอ

‘คุณตัวเล็กไป’
– ขนาดหัวใจของผมมันใหญ่กว่าพวกตัวใหญ่เหล่านั้นซะอีก

‘คุณยิงไม่แม่น’
– แต่ผมจะยิงมันให้ลงให้ได้ เมื่อถึงเวลาที่คุณต้องการ

‘คุณก็แค่ผู้เล่นดราฟท์รอบสอง อยู่ใน NBA ได้ไม่นานหรอก’
– ผมจะพัฒนาตัวเองต่อไปและจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม

นี่แหละคือตัวตนของเค้า... ผู้ชายปากหมา Draymond Green






มาต่อกันที่พ่อหนุ่มหน้ามน...คนลัตเวีย จากมหานคร New York

คริสตาฟฟฟฟฟ พอซิงกิสสสสสสสสส

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


+++ "ชายผู้ถูกโห่ขับไล่" KRISTAPS PORZINGIS +++





อดัม ซิลเวอร์ กรรมาธิการของ NBA กำลังก้าวเข้าหาโพเดี้ยม เพื่อประกาศชื่อผู้เล่นหน้าใหม่ที่กำลังจะได้เข้า NBA คนถัดมา

ในรอบก่อนหน้านี้ Philadelphia 76ers เพิ่งเลือก จาฮ์ลิล โอกาฟอร์ ไปในอันดับที่สาม หลังจากที่ คาร์ล แอนโธนี่ ทาวน์ส และ ดิแอนเจโล่ รัซเซิล ถูกเลือกไปในอันดับที่ หนึ่ง และ สอง ตามลำดับ

เสียงแฟนๆ ที่เข้ามาในออกันใน Barclays Center เมือง Brooklyn เริ่มกระหึ่มขึ้นทีละนิด ทีละหน่อย แฟนทีมประจำเมืองอย่าง Brooklyn Nets อาจจะไม่ค่อยมีอะไรให้ลุ้นเท่าไหร่ เพราะ ได้สิทธิ Draft อันดับที่ 29 เลย

เสียงฮือฮาภายในงานส่วนใหญ่ก็มาจากแฟนๆ ของทีมเมืองใกล้เคียง ทีม New York Knicks นั่นเอง ทางแฟนๆ ของ นิกส์ ก็คงผิดหวังไม่ใช่น้อย เพราะอยากได้ ทาวน์ส หรือ รัซเซิล หรือ โอกาฟอร์ ซักคนหนึ่ง แต่กรรมของทีม ที่ได้ Draft อันดับที่ 4 มาในปีนี้

หลายๆ คนก็เริ่มสนใจกับความเป็นไปได้ที่จะได้ตัว เอแมนนูเอล มูดีเย ไปบ้างแล้ว
“บาสเกตบอลสมัยใหม่ เกมการ์ดต้องแกร่งสิ!”
นั่นคงเป็นสิ่งที่แฟนๆ Knicks บอกตัวเอง

แม้กระทั่งความเป็นได้ที่จะ Draft สแตนลี่ จอห์นสัน ปีกถึก จาก มหาวิทยาลัย แอริโซน่า กูยังอาจจะดูน่าสนุก โดยมาเล่นคู่กับ คาร์เมโล่ แอนโธนี่ เป็นตัวป้องกัน

แต่แล้ว…

ทันทีที่ อดัม ซิลเวอร์ เอ่ยนามที่พูดตามด้วยอย่างยากลำบาก แฟนๆ Knicks ที่ยกขโยงกันมาอัดแน่นใน Barclays Center ก็เริ่มโห่ร้องแสดงความไม่พอใจ จนบางคนถึงขั้นร้องไห้กันเลยทีเดียว




ในมุมมองของแฟนๆ คงคิดอยู่ในใจว่า
“Kristaps Porzingis…ไอ้หมอนี่มันเป็นใคร”
“ทีมก็ผลงานไม่ดีอยู่แล้ว ยังจะเอาตัวโนเนมที่ชื่อก็ออกเสียงยากอย่างนี้มาอีกทำไม”
“เอาไอ้เด็กจากยุโรปมาแบบนี้อีกแล้ว ยังไม่เข็ดกับ อันเดรีย บาร์นญานี่ อีกเรอะ?!”

ซึ่งต่างก็เป็นคำถามที่สมเหตุสมผลอยู่
Knicks เพิ่งล้มเหลวกับโครงการ ปั้น อดีต Draft อันดับ 1 ชาวอิตาลี อันเดรีย บาร์นญานี่ ได้ไม่นาน ภาพเก่าๆ ที่บาดหัวใจ มันยังอาจจะฝังลึกอยู่ บวกกับความทรงจำในอดีตกับ “ว่าที่ดาวดังจากฝั่งยุโรป” อย่าง ดาร์โก มิลิชิช หรือ นิโคลอซ สกิดิชวิลี่ การที่เลือกเอา หนุ่มชาวลัตเวีย ชื่อ คริสตาปส์ พอร์ซิงกิซ มา ก็คงทำให้หวั่นใจกันบ้าง

ชื่อเสียงของ คริสตาปส์ ก็ไม่ได้ดังเปรี้ยงปร้างมาก่อนเท่าไหร่อีกด้วย ทีมชาติลัตเวียก็ไม่ได้โด่งดังเรื่องบาส นักบาสดังๆ จาก ลัตเวียก่อนหน้านี้ ก็มี อันเดรียส เบียร์ดรินส์ ที่เป็นดาวดับไปแล้ว มันจะไปดีกว่าเหล่าสตาร์บาสมหาวิทยาลัยในอเมริกาที่พิสูจน์ตัวเองมาแล้วได้อย่างไร?!

มันจึงวนกลับมาที่คำถามว่า “แล้วไอ้หมอนี่มันเป็นใคร”

พอร์ซิงกิส พาร่างโย่งสูง 7’3″ ของตัวเองขึ้นเวที ไปจับมือ อดัม ซิลเวอร์ และ รับหมวกทีม New York Knicks มาสวมใส่ แล้ว ถ่ายภาพที่ระลึก




ภายในไม่กี่วันต่อมา หมวกใบนั้น ก็ได้เดินทางมาที่เมือง ลีปาย่า (Liepaja) ประเทศ ลัตเวีย ในห้องเก็บถ้วยรางวัลของชายชราที่ชื่อว่า เอดวินส์ สปรูด (Edvins Sprude) ที่เป็นโค้ชคนแรก ของ พอร์ซิงกิซ

โค้ชสปรูด ได้เล่าว่า พอร์ซิงกิซ นั้นก็เริ่มต้นการเล่นบาสอย่างกล้าๆ กลัวๆ เหมือนกันกับทุกๆ คนแหละ แต่เขาเป็นคนที่มีกรรมพันธุ์ของนักบาส โดยพ่อเคยเล่นบาสกึ่งอาชีพ และ แม่ก็เคยเป็นถึงระดับเยาวชนทีมชาติ ลัตเวีย โค้ชสปรูด บอกว่า ภายในเวลาไม่นาน พอร์ซิงกิส ก็แสดงออกมาให้เห็นว่า เขามีสัญชาตญาณในการยิง

ใครที่ได้เห็น พอร์ซิงกิซ ในวัยเด็ก คงต้องคิดว่า ไอ้เด็กเปรตนี่มันอเมริกันจ๋าเชียว ไว้ผมทรง Cornrows ซะด้วย เจ้าตัวได้ให้เหตุผลที่ไว้ผมทรงนั้นว่า “ผมว่ามันดูเท่ดี…สาวชอบอะ” ไอ้ความทนงตน และ มั่นใจในตัวเองตรงนี้ ที่ทำให้เขาสามารถเอาชนะใจ แฟนๆ ที่โห่ร้องขับไล่ตั้งแต่วันแรกที่ได้ยินชื่อ




หลังจากที่ประกาศชื่อ จากการ Draft ไปได้ไม่นาน ทางสื่อต่างๆ ก็ได้มาเริ่มนั่งคุยกับ พอร์ซิงกิส โดยสิ่งแรกๆ ที่พอร์ซิงกิสได้กล่าวไว้คือ
"ผมจะทำทุกวิถีทาง เพื่อให้เปลี่ยนเสียงโห่ร้องพวกนี้ ให้มาเป็น เสียงปรบมือดังสนั่น"

ให้ตายเถอะ พอร์ซิงกิส นายหล่อมาก เท่านั้นยังไม่พอ เขายังเสริมต่อด้วยการเอาใจรุ่นพี่ใหญ่ในทีมต่อด้วยว่า
"ไม่ว่าคาร์เมโล่จะให้ผมทำอะไร ผมก็จะทำ เพื่อพิสูจน์ให้เห็นว่า ผมมีค่าพอที่จะยืนอยู่ในสนามเดียวกันกับเขา"

รังสีความหล่อของ พอร์ซิงกิส เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าทันที ยิ่งได้ นายใหญ่ของ Knicks อย่าง ฟิล แจ็กสัน ออกมาให้การสนับสนุนด้วยข้อความที่น่าชื่นใจ เช่น

“รูปร่าง และ ทักษะของเขาตอนนี้ ทำให้ผมนึกถึง พาว กาซอล ตอนหนุ่ม”
“เขาน่าจะเข้ากันได้ดีกับระบบที่เราใช้อยู่”
“เขารู้ว่าแฟนๆ จะต้องมีปฏิกิริยาในแนวลบ แต่เขามั่นใจว่าพอร์ซิงกิสจะแบกรับความกดดันนั้นได้ “

ถ้า ฟิล แจ็กสัน มั่นใจขนาดนี้ แล้วใครจะไปกล้าขัดละ?





แล้วก็ใช้เวลาได้ไม่นานนักจริงๆ แฟนๆ ที่ต่างก็ร้องขานขับไล่อย่างประสานเสียง ก็เริ่มเทใจให้ พอร์ซิงกิส มากขึ้น หลังจากที่เขาสามารถ โชว์ฟอร์มที่ดีในการปะทะกับ เพื่อนร่วมรุ่น Draft ในอันดับใกล้เคียงกันอย่าง จาฮ์ลิล โอกาฟอร์ ในการแข่งขัน Summer League

และชื่อเสียงของ พอร์ซิงกิส ก็ออกมาในเชิงบวกมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเขามีความเป็น “อเมริกันชน” อยู่ไม่ใช่น้อย ไม่ว่าจะเป็นความชื่นชอบในวัฒนธรรม ฮิปฮอป (จากการที่มีเพื่อนร่วมทีมเคยบอกว่า เขาเข้าเว็บ WorldStarHipHop ทุกวัน) อีกทั้งยังพูดภาษาอังกฤษคล่องปรื๋อเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทำให้การปรับตัวเข้าหาคนอื่นๆ อาจจะลื่นไหลกว่าที่คาดการณ์กันไว้

มันทำให้เขากลายเป็นขวัญใจของแฟนๆ ได้อย่างง่ายดาย...





พอถึงเวลาที่จะเปิดตัวในเวทีใหญ่ เขาก็สามารถเอาชนะใจแฟนๆ New York Knicks ไปได้อย่างสมบูรณ์แบบ

พอร์ซิงกิส เข้ามาใน NBA ด้วยชื่อเสียงด้านความลื่นไหลในการยิงของเขา ที่หายากในคนที่รูปร่างสูงใหญ่ขนาดนี้
โดยในยูโรลีก และ ลีก ACB ที่สเปน เขายิงสามแต้มอยู่ที่ 35.5% และ ยิงลูกโทษที่ 72.4% ถือว่ายิงได้ดีมาก
จนถึงขั้นที่หลายๆ คนเอาไปเปรียบกับ เดิร์ก นาววิทซ์กี้ ดาวยิงชาวเยอรมัน ตำนานของนักบาสยูโรปใน NBA

แต่ในอีกมุมหนึ่ง มันก็ทำให้ พอร์ซิงกิส ถูกประทับตรา ตั้งแต่แรกพบว่า “เหลาะแหละ”
ซึ่งเป็นธรรมดาของ นักบาส NBA จากยูโรป ที่มีความสามารถเด่นๆ คือ “การยิง”

แต่แล้ว พอฤดูกาล NBA เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ พอร์ซิงกิส ก็สลัดภาพเดิมๆ นั้นทิ้งไปอย่างหมดเปลือก
ในขณะที่เขายังยิงสามแต้มอยู่ที่ 21.7% เท่านั้น (ณ ขณะเวลาที่ทำบทความ) แต่เขายังกลับเล่นได้อย่างโดดเด่นในแทบทุกๆ เกมที่ลงแข่งขัน โดยสิ่งที่โดดเด่นออกมาเหนือสิ่งอื่นใดตอนนี้คือ "ความดุดัน"




เสียงโห่ร้องขับไล่ ความไม่พอใจของแฟนๆ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอ กับทีม New York Knicks
มีกรณีคล้ายกับ พอร์ซิงกิส คือ ดานิโล กาลินารี่ ที่ถูก Draft ในปี 2007 ด้วยอันดับที่สูงพอๆ กัน (อันดับที่ 6) ก็โดนโห่เช่นกันเพราะอยากได้ตัวยิง อย่าง เอริค กอร์ดอน มากกว่า
กลายเป็นว่ามองย้อนดูแล้ว กาลินารี่ เป็นตัวเลือก Draft ที่อาจจะเรียกได้ว่า ดีที่สุดคนหนึ่ง ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา

เพราะฉะนั้น การที่ถูกแฟนๆ Knicks โห่ขับไล่…อาจจะกลายเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคนนั้นก็เป็นไปได้

และ พอร์ซิงกิสก็ดูเหมือนจะเดินมาเส้นทางที่ถูกต้องแล้ว




มีสื่อได้ไปถาม พอร์ซิงกิส ว่าตกใจไหม กับฟอร์มของตัวเอง ณ ตอนนี้

พอร์ซิงกิส ก็ตอบ สั้นๆ ง่ายๆ เลย ว่า “ไม่”

ผมไม่รู้แหละ ว่าตอนแรก ใครจะโห่ ใครจะไม่มั่นใจในตัวพอร์ซิงกิสกันอย่างไรบ้าง แต่ถ้าตอนนี้ คุณได้รู้จักเขามากขึ้น และ ได้เห็นเขาเล่นมากขึ้น…แล้วคุณยังจะไม่เชียร์เขาอีก

พอร์ซิงกิซ ก็คงไม่มีอะไรจะพูดกับคุณแล้วแหละ...







จบไป 2 หน่อ ตาลายมั้ย555555 ปิดท้ายกันด้วยผู้ชายที่กำลังฮอตที่สุด ณ ห้องบาส Pantip

อิมานนนนนนนนนน ชัมเพริตตตตตตต ถุ้ยยยย... The Clawwww ของเราต่างหาก

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



+++ KAWHI LEONARD และการเทรดแลกตัวผู้เล่นที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของ SPURS +++




ผู้เล่นเกมส์รับยอดเยี่ยมแห่งปีคนล่าสุด อตีดผู้เล่นทรงคุณค่าจากรอบชิง NBA 2014 ด้วยอายุเพียง 22 ปี ชายผู้สำเร็จวิชาหน้าตายจาก Greg Poppovich และ Tim Duncan ผู้เล่นแห่งปัจจุปันและอนาคตของทีม Spurs — “Kawhi Leonard”

ถึงวันนี้จะมีซักกี่คนที่จำได้ว่า Spurs ได้ตัวผู้เล่นที่จะแบกอนาคตของทีมอย่าง Kawhi มาจากการเทรดแลกตัวผู้เล่นที่สมาชิกเดิมของทีมไม่ค่อยจะพอใจเท่าไหร่ในวันดราฟเมื่อปี 2011 วันนี้เรามาย้อนดูเบื้องหลังของสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นมาถึงผลของมันในวันนี้กัน




วันดราฟปี 2011 และสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น

“กลัว” นั่นคือความรู้สึกแรกที่ R.C. Buford ผู้จัดการทั่วไปของทีม Spurs (ซึ่งมีหน้าที่ในการหาตัวผู้เล่นมาเข้าทีม) รู้สึกในวันนั้นหลังจากที่เค้าตัดสินใจเทรดการ์ดสารพัดประโยชน์ของทีมอย่าง George Hill ไปยัง Indiana Pacers เพื่อนำตัว Kawhi Leonard ผู้เล่นหน้าใหม่จากมหาลัย San Diego State มายัง Spurs เอาจริงๆแล้วคนรอบๆข้างของเค้าบอกว่า Buford นั้น “โคตรกลัว” กับการเทรดนี้ เพราะเค้าเพิ่งจะเสี่ยงที่จะสร้างความเสียหายให้กับเคมีของผู้เล่นในทีมและระบบการเล่นของ Spurs ที่สร้างมาอย่างดี ทีมที่มีคอมโบการ์ดอย่าง Hill ซึ่งเล่นได้ทั้ง PG และ SG เป็นส่วนสำคัญ Buford ตัดสินใจเดินหน้ากับการเทรดแลกตัวนี้เพื่อแก้ปัญหาตำแหน่ง Small Forward ของทีม แต่คำถามในหัวของ Buford มีขึ้นมามากมายในตอนนั้น เรายอมจ่ายมากไปหรือปล่าว? Kawhi จะเข้ากับทีมได้ดีเหมือนที่นักวิเคราะห์บอกหรือไม่? ซึ่งคำถามเหล่านี้ต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควรในการตอบ

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วแน่ๆในวันนั้นคือผู้เล่นตัวหลักของทีมไม่ค่อยพอใจ และสำคัญไปกว่านั้น สุดยอดโค้ชอย่าง Popovich ก็ไม่ค่อยจะชอบที่จะต้องเสียผู้เล่นที่เค้าชื่นชมอย่างมากทั้งในและนอกสนามอย่าง Hill “ในตอนนั้น Tim (Duncan) Tony (Parker) และ Manu (Ginobili) ไม่ค่อยชอบการเทรดนี้เท่าไหร่ เพราะพวกเค้าสู้มากับ George และเค้าไว้ใจ George แล้ว” Buford กล่าว และเล่าต่อไปอีกว่า “Pop มีความรู้สึก[ในเชิงไม่เห็นด้วย]กับเรื่องนี้ค่อนข้างมาก ผมคิดว่าแม้ทุกคนจะเป็นมืออาชีพ มันก็ยากที่จะแยกอารมณ์ออกจากความสัมพันธ์ที่พวกเขามีต่อกัน ผมรู้สึกว่ามันคงมีผลกระทบต่อทีมเราแน่ๆ”

การดราฟ (การคัดเลือกผู้เล่นใหม่เข้าสู่ทีม) ในปี 2011 นั้นเกิดขึ้นประมาณ 2 เดือนหลังจาก Spurs ในฐานะเต็ง 1 ของสายตะวันตก แพ้ตกรอบแรกของเพลย์ออฟให้กับ Grizzlies ซึ่งเข้าเพลย์ออฟมาให้อันดับสุดท้าย (8) และปีกของทีมอย่าง Richard Jefferson เล่นได้ต่ำกว่ามาตรฐานมาก หลังจากการจากไปของ Bruce Bowen ในช่วงปีก่อนหน้านั้น “ตอนนั้นเราอยู่ในช่วงคับขันและผิดหวังอย่างมาก เราต้องการการเปลี่ยนแปลง มี[ผู้จัดการ]หลายคนโทรหาผมเพราะสนใจ George Hill และผู้เล่นคนอื่นในทีมเรา ดูเหมือนจะมีความเปลี่ยนแปลงกับผู้เล่นของเราแน่ๆในตอนนั้น” Buford เล่า แน่นอน Spurs ต้องการผู้เล่นต่ำแหน่ง Small Forward ที่เล่นป้องกันได้ดี และยิงวงนอกได้แม่นเพื่อดึงตัวประกบออกจากวงในมาเป็นตัวจริงที่ไว้ใจได้ให้กับทีม คล้ายๆกับที่ Bowen เคยทำไว้





และในตอนนั้น George Felton หัวหน้าทีมงานศึกษาและค้นหาผู้เล่นในระดับมหาลัยของ Spurs มีชื่อผู้เล่นที่กำลังจะเข้าสู่การดราฟคนหนึ่งอยู่ในใจอยู่แล้ว “บางทีคุณก็จะมีสัญชาติญาณกับผู้เล่นบางคนว่ามันจะเวิร์คกับทีม แต่มันอธิบายชัดๆไม่ได้หรอก” เค้ากล่าวถึง Kawhi แม้เค้าจะยอมรับว่าไอ้สัญชาติญาณที่ว่าของเค้านี่มันก็ผิดอยู่บ่อยๆ และเอาจริงๆแล้ว Kawhi ก็ไม่ใช่ผู้เล่นที่ทีมต่างๆจ้องจะดราฟกันขนาดนั้น หลายๆทีมยังกังวลเกี่ยวกับท่ายิงของเค้าและทักษะอื่นๆที่ยังไม่ค่อยพัฒนาไปไกลเท่าไหร่

อย่างไรก็ดี Felton ยังหลงรักสิ่งที่เค้าเห็นจากการไปดู Kawhi โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิสัยในการซ้อมของเขา และการคุยกับโค้ชที่มหาวิทยาลัยของ Kawhi ที่เค้ารู้จักมานานยิ่งทำให้ Felton มั่นใจในตัว Kawhi มากขึ้นไปอีก “ตั้งแต่ที่ผมเคยโค้ชมา นับจาก Chris Webber ก็มีเค้า [Kawhi] นี่ล่ะที่ผมมั่นใจที่สุดว่าจะประสบความสำเร็จระดับสูงใน NBA เค้ามีวินัยในการฝึกฝนมาก ทำทุกอย่างที่โค้ชสอนได้และทำดีกว่าที่โค้ชต้องการเสมอ และนอกจากนั้นทุกทีมที่เค้าอยู่เป็นทีมที่ชนะและประสบความสำเร็จ มันไม่ได้ฟลุ๊คหรอก” “และเค้ายังมีแขนที่ยาวและมือที่ใหญ่ๆสุดๆและเร็วด้วยนะ ” โค้ชสมัยมหาลัยของ Kawhi เล่า “ปัญหาเดียวด้านวินัยที่ Kawhi มีก็คือเค้าจะซ้อมจนไปเรียนสาย ผมต้องไปเตือนให้เค้าไปเข้าห้องเรียนให้ทันเสมอ” โค้ชของ San Diego State เล่าปิดท้าย

“ผมก็คิดว่าโอเคนี่มันกรณีพิเศษ ผมเชื่อว่าผู้เล่นหน้าใหม่หลายๆคนจะทำหน้าที่ดี แต่เด็กคนนี้ทำให้ผมเชื่อว่าเค้ารักเกมบาสมากจริงๆและจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้เล่นที่ดี” Felton หัวหน้าทีมงานค้นหาผู้เล่นของ Spurs กล่าวถึงผลสรุปการวิเคราะห์ Kawhi

ซึ่งก็แปลอีกอย่างได้ว่า Kawhi น่าจะเป็นผู้เล่นในแบบ “Spurs” แท้ๆนั่นเอง (ซึ่งถึงวันนี้ก็พิสูจน์แล้วว่ามีความเป็น Spurs อย่างแท้จริง นอกจากผลงานที่แข็งแกร่งก็ดูวิชาหน้าเด๊ดที่เค้าได้มาจาก Timmy และ Pop สิ)





ในปี 2011 มีผู้เล่นดีๆหลายคนเข้าลีกมาทั้งในอันดับต้นๆของการดราฟ เช่น Kyrie Irving (1) และ Klay Thomson (11) หรือที่หลุดไปไกลหน่อยอย่าง Jimmy Butler (30) หรือ Chandler Parsons (38) ส่วน Kawhi นั้นบางแม้บางคนจะมองเป็น Top 10 ของผู้เล่นใหม่ในปีนั้น แต่ก็ไม่แปลกที่เค้าจะหลุดมาถึงคนที่ 15 ที่ Pacers มีสิทธิ์เลือก เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ในวันดราฟ

Spurs ทราบอยู่แล้วว่า Pacers ชอบ George Hill มากพอที่จะดราฟผู้เล่นในอันดับ 15 ตามที่ Spurs ต้องการเพื่อแลกกับ Hill และถึงแม้ว่าในวันนั้น Spurs สนใจผู้เล่นอื่นๆอยู่ราวๆ 6-7 คนและ Danny Ferry รองประธานทีมด้านบาสเก็ตบอลก็สนใจ Jimmy Butler อยู่ไม่น้อย แต่สุดท้ายเมื่อเวลามาถึงคิวของ Pacers และ Kawhi ยังไม่มีคนเลือกตัวไปในลำดับที่ 15 ข้อตกลงกับ Pacers ก็เกิดขึ้น

Spurs ตัดสินใจเทรด Hill เพื่อแลกเอาตัว Kawhi มา การเตรียมตัวของทีมงาน Spurs และความร่วมมือระหว่างหลายฝ่ายอย่างยาวนาน ประกอบกับโชคนิดหน่อย ส่งผลให้เกิดการเทรดในวันนั้นที่กำหนดชะตากรรมของทีม Spurs มาจนถึงทุกวันนี้





ช่วงหลังการดราฟ

ก่อนการดราฟ หัวหน้าผู้ฝึกและพัฒนาของ Spurs บอก Buford ว่าเค้ามั่นใจว่าจะปรับแก้ท่ายิงของ Kawhi ได้ และเมื่อเวลาที่ Kawhi เริ่มมาซ้อมกับทีม Buford เล่าว่าโค้ช Pop มั่นใจในกระบวนการพัฒนาและปรับปรุงผู้เล่นของทีม และเชื่อมั่นว่า Kawhi จะเป็นผู้เล่นที่ดี

แม้ตัวเอง Pop จะยังติดใจเรื่องการเทรดตัว George Hill ออกไปจากทีม โดยหลังการการเทรด โค้ช Pop เองยังเปิดเผยว่า “Bud (Mike Budenholzer อดีตผู้ช่วยโค้ชPop ที่ตอนนี้เป็นโค้ชของ Hawks) พูดเชียร์ Kawhi ใส่หน้าผมตลอด แต่ให้ตายเถอะ ผมไม่อยากยอมให้เทรดเลย แต่ Bud ทำให้ผมยอมในที่สุด ผมยอมรับว่ามันเป็นเทรดที่ดีต่อทั้งสองทีม” และยังกล่าวในเวลาต่อมาว่า “ถ้าพูดเรื่องเหตุผลในการสร้างทีมบาส เราพิสูจน์แล้วว่าเราทำได้ถูกต้องกับเทรดเอา Kawhi มา แต่มันยากมากๆสำหรับเราในตอนนั้น ทีมเราช็อคกันหมด Hill เป็นมนุษย์ที่ยอดเยี่ยมมาก ผมรักเค้าในทุกมุมจริงๆ”

แม้แต่ตัว Buford ผู้ริเริ่มการนำตัว Kawhi มาสู่ Spurs เองก็ยอมรับว่าเค้าเครียดมากในวันดราฟวันนั้น “มันเป็นการตัดสินใจที่ยากที่สุดที่เราเคยทำ” เค้าบอก




แต่เพื่อเป็นการตอบแทนความหงุดหงิดของทุกคนนั้นวันนั้น Spurs ได้ตัวผู้เล่นที่มีพรสวรรค์ที่สุดในรอบสิบปีของทีมมา และได้ผู้เล่นวัยสดตำแหน่ง Small Forward ที่จะเป็นเสาหลักของทีมได้ร่วมกับตัวผู้เล่นระดับเก๋าที่มีอยู่ได้อย่างเหมาะเจาะอย่างที่เราเห็นมาถึงทุกวันนี้

ในช่วง 1-2 ฤดูกาลแรก Kawhi ตอบแทน Spurs ในฐานะผู้เล่นเกมรับตำแหน่งปีกที่ไว้ใจได้ ซึ่งจำเป็นในเวลานั้นเพื่อต่อกรกับทีมอย่าง Thunders ที่มี KD และ Heat ของ LeBron เจ้า Kawhi ได้รับการยอมรับว่ามีเสต็ปเท้าและการอ่านจังหวะในเกมส์รับที่ยอดเยี่ยมในมาตรฐาน NBA ตั้งแต่แรกที่เข้ามาเล่นในลึกซึ่งทำให้เค้าขโมยบอลและรักษาตำแหน่งในเกมรับได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญไปกว่านั้นเท้าที่เร็วและความสามารถในการรักษาสมดุลย์ร่างกายอันยอดเยี่ยมของเค้าทำให้เค้าสามารถหยุดเปลี่ยนทิศทางและสามารถเคลื่อนที่เข้าประกบผู้เล่นที่เค้ามีหน้าที่ป้องกันได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจากคำบอกเล่าของผู้เล่นระดับสูงหลายๆคน ความสามารถในการรักษาสมดุลย์ของร่างกายเพื่อวิ่งเข้าชิดชู๊ตเตอร์ได้เร็วนี้เป็นส่วนที่ยากที่สุดในเกมส์ป้องกันวงนอกของบาสระดับ NBA และนอกจากนั้น Kawhi ยังมีหัวใจในการสู้และมุดผ่านสกรีนเพื่อตามผู้เล่นที่เค้าประกบอย่างไม่ลดละ

ซึ่งทักษะเหล่านี้ของ Kawhi ประกอบกับพรสวรรค์ทางร่างกายที่เหมาะกับเกมรับใน NBA อย่างแขนที่ยาวและมือขนาดยักษ์ของเค้า (ช่วงที่ยาวที่สุด 9.8 นิ้ว!!!) ทำให้พวกปีกและชู๊ตเตอร์ในลีกอกสั่นขวัญแขวนกันตั้งแต่ปีแรกๆที่เค้าลงเล่น เมื่อโดนประกบโดย Kawhi พวกปีกที่คิดว่าตัวเองจะได้รับลูกและโดดยิงทันทีแบบว่างๆ (Catch-and-Shoot) กลับโดน Kawhi บังคับให้ต้องเอาลูกลงเลี้ยงและต้องยิงลูกสองแต้มยากๆแทนเนื่องจากความเร็วในการเข้าประกบของเค้า

ดังนั้นในช่วงแรกของชีวิตการเล่น แม้ทักษะเกมบุกของ Kawhi จะยังจำกัด แต่เกมรับของเค้าก็เพียงพอที่ทำให้หลายๆคนจะยอมรับว่าทีม Spurs ดีขึ้นเมื่อมี Kawhi และคุ้มกับการเสีย Hill ไป





ในฤดูกาลต่อๆมา ก็อย่างที่เราได้เห็นกัน Kawhi พัฒนาเกมป้องกันขึ้นมาอีกขั้นจนอยู่ในระดับต้นๆของลีก เค้าไล่ประกบทุกคนที่ได้รับมอบหมายได้อย่างดีตั้งแต่การ์ดระดับ All Star ทั้งหลาย ไปจนถึงปีกซุปเปอร์สตาร์อย่าง LeBron ในรอบชิง NBA ปี 2014 ที่ทำให้เค้าได้เป็น Final MVP และได้เป็นผู้เล่นเกมรับยอดเยี่ยมแห่งปีไปในฤดูกาลต่อมาด้วยอายุเพียง 23 ปี ส่วนเกมบุกของเค้าก็พัฒนาขึ้นอย่างมากทั้งการแหวก การยิงระยะกลางและลูกยิงสามแต้ม

Kawhi ปัจจุบันเรียกได้ว่าเป็นผู้เล่นที่เก่งครบเครื่องทั้งเกมรุกและรับอย่างแท้จริงจนสื่อมวลชนหลายเจ้ามองเค้าเป็นผู้เล่น Top 10 ของลีกเรียบร้อยแล้ว ในช่วงต้นฤดูกาลปัจจุบันที่เล่นไปแล้ว 9 เกมส์ เค้ามีสถิติเฉลี่ย 21.6 แต้ม (เพิ่มจากราว 16 แต้มในปีที่แล้ว) ที่ความแม่นยำระดับ 52.6% FG 7.7 รีบาวด์ 1.3 บล๊อค และ 1.9 สตีล ซึ่งการทำแต้มระดับเฉลี่ยเกิน 20 คะแนนนี่น่าจะเป็นแนวโน้มที่เราจะได้เห็นกันในฤดูกาลนี้และฤดูกาลต่อๆไปที่เค้าจะเป็นตัวหลักของเกมรุกของ Spurs และมากไปกว่าผลงานในทางสถิติในสนาม Spurs ยังได้ผู้เล่นที่มีคุณสมบัติแบบ Spurs แท้ๆมาเป็นแบบอย่างในการสร้างทีมต่อไปอีกด้วย

แม้จะไม่ได้มีบุคลิกหรือวิธีการเล่นที่น่าตื่นตาตื่นใจ แต่เล่นบาสอย่างถูกต้อง มีระเบียบและประสิทธิภาพสูง นอกสนามมีวินัยและเงียบไม่สนใจคุยกับสื่อมวลชนหรืองานสังคม เรียกได้ว่าบุคลิกของนักบาส Spurs แท้ๆ ถอดแบบมาจาก Duncan ที่เราคุ้นเคยในฐานะผู้เล่นที่เป็นสัญลักษณ์ของทีม Spurs เป็นอย่างดี




ในแง่ความสำเร็จส่วนตัว Kawhi ที่ปัจจุบันอายุ 24 เป็นผู้เล่นที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ NBA ที่ได้แหวนแชมป์ ได้รับรางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าของนัดชิงชนะเลิศ (Final MVP) และตำแหน่งผู้เล่นเกมรับยอดเยี่ยมแห่งปี (Defensive Player of the Year) ครบ 3 อย่าง ถึงตอนนี้ขาดก็แต่ตำแหน่ง MVP ที่เค้าจะหวังได้ และถ้าเทียบกับผู้เล่นที่เข้าลีกมาพร้อมกันกับเค้าในปี 2011 ก็น่าจะสามารถเรียกได้ว่าไม่มีใครประสบความสำเร็จสูงเท่าเค้าจนถึงถึงตอนนี้

ส่วนคำถามที่ว่าเค้าจะพัฒนาได้ถึงระดับ MVP ฤดูกาลปกติของลีกหรือไม่ เราน่าจะมีเวลาอีกเกือบ 10 ปีให้รอลุ้นคำตอบกับผู้เล่นคุณภาพคนนี้ที่ Spurs ได้มาจากการเทรดตัววันดราฟ ที่อาจจะถูกจารึกว่าดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของทีมเลยก็ได้

Kawhi "THE CLAW" Leonard





ขอบคุณ 851467


เข้าร่วม: 25 Sep 2013
ตอบ: 9970
ที่อยู่: Emirates Stadium
โพสเมื่อ: Tue Feb 09, 2016 2:23 pm
[RE: ขอแฮตทริก 3 บทความ...เรื่องราวของ Draymond Green , Kristaps Porzingis และ Kawhi Leonard]
กระทู้ผมเองนี่หว่า555555 ขอบคุณที่เอามาลงในนี้ครับ ผมขี้เกียจตอนนั้น ก็อปลงเว็บเดียวก็เหนื่อยละ


เข้าร่วม: 18 May 2009
ตอบ: 5762
ที่อยู่: Paradise
โพสเมื่อ: Tue Feb 09, 2016 2:31 pm
[RE: ขอแฮตทริก 3 บทความ...เรื่องราวของ Draymond Green , Kristaps Porzingis และ Kawhi Leonard]
รอ NBA Time แปลบทความ King James อยู่ ถึงเคยอ่านแบบอิ๊งแล้วแต่ก็อยากให้คนแปลแบบไทยมาให้อ่านอีกที
0
0
เข้าร่วม: 05 May 2014
ตอบ: 1319
ที่อยู่: 2-1-1 Kita-ichijō-nishi, Chūō-ku, Sapporo-shi, Hokkaido
โพสเมื่อ: Tue Feb 09, 2016 2:31 pm
[RE: ขอแฮตทริก 3 บทความ...เรื่องราวของ Draymond Green , Kristaps Porzingis และ Kawhi Leonard]
ThisIsMelo พิมพ์ว่า:
กระทู้ผมเองนี่หว่า555555 ขอบคุณที่เอามาลงในนี้ครับ ผมขี้เกียจตอนนั้น ก็อปลงเว็บเดียวก็เหนื่อยละ  



สุดยอดมากเลยครับ
ผมพยามหาบทความอ่านความสนุก+สาระ แบบนี้มานานแล้ว
เข้าร่วม: 25 Sep 2013
ตอบ: 9970
ที่อยู่: Emirates Stadium
โพสเมื่อ: Tue Feb 09, 2016 2:36 pm
[RE: ขอแฮตทริก 3 บทความ...เรื่องราวของ Draymond Green , Kristaps Porzingis และ Kawhi Leonard]
onishuka พิมพ์ว่า:
ThisIsMelo พิมพ์ว่า:
กระทู้ผมเองนี่หว่า555555 ขอบคุณที่เอามาลงในนี้ครับ ผมขี้เกียจตอนนั้น ก็อปลงเว็บเดียวก็เหนื่อยละ  



สุดยอดมากเลยครับ
ผมพยามหาบทความอ่านความสนุก+สาระ แบบนี้มานานแล้ว  

http://nba-time.com/

เว็บนี้ครับมีให้อ่านอีกหลายอัน ผมแค่เอามาตัดตอน + หารูปมาใส่ให้น่าอ่านเท่านั้นแหละ (แต่เหนื่อยอยู่นะ 5555)


เข้าร่วม: 22 Oct 2012
ตอบ: 36481
ที่อยู่: Forbidden Siren
โพสเมื่อ: Tue Feb 09, 2016 4:17 pm
[RE: ขอแฮตทริก 3 บทความ...เรื่องราวของ Draymond Green , Kristaps Porzingis และ Kawhi Leonard]
เคอร์รี่กับเคลย์เงียบๆนี่ใช่หราา
0
0