เชื่อมั่นว่าคอเกมหลาย ๆ ท่านคงจะรอคอยการกลับมาอีกครั้งของ Final Fantasy 7 (VII) กันมาเป็นเวลาสักระยะใหญ่ ๆ แล้ว ซึ่งจากการประกาศสร้างภาค remake ของเกมนี้อีกครั้งนับตั้งแต่ปี 1997 (18 ปีที่แล้ว) ก็ทำให้ความคาดหวังของแฟนเกมทั่วโลกพุ่งทะลุถึงขีดสุด ซึ่งจุดนี้เราก็คงต้องติดตามกันต่อไปครับว่าตัวเกมภาค remake นี้จะเสร็จสมบูรณ์ให้ได้สัมผัสกันเมื่อไหร่
สำหรับเกม RPG ซีรี่ยส์ชุด Final Fantasy นี้ นับเป็นแฟรนไชส์ตัวท็อปของบริษัทเกม Square (ชื่อเดิม ปัจจุบันรวมกับบริษัท Enix แล้วใช้ชื่อ Square Enix) ที่อยู่คู่วงการเกมมานับตั้งแต่ยุค Famicom ปี 1987 (ราว 29 ปีที่แล้ว) และแม้ว่าตัวเกม Final Fantasy จะมีการระบุเลขภาคตามลำดับเรื่อยมา แต่ว่าในแต่ละภาคนั้นก็ไม่ได้มีความเชื่อมโยงหรือเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด เรียกได้ว่าเป็นคนละจักรวาลกันเลยด้วยซ้ำ ทว่าในแต่ละภาคนั้นเอง ก็จะมีเสน่ห์บางอย่างที่แต่ละภาคนั้นคงไว้เหมือน ๆ กันหรือคล้ายคลึงกันทำให้แฟน ๆ นั้นคุ้นเคยและผูกพัน รวมถึงติดตามสนับสนุนมาทุก ๆ ภาคนั่นเอง
นกระทั่งทุกวันนี้ แฟรนไชส์ Final Fantasy ได้แพร่หลายไปมากทั้งภาคเสริมภาคแยกย่อยรวมไปถึงการมาเยือนของภาคหลักลำดับที่ 15 ที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาและเฝ้ารอจากแฟน ๆ จำนวนมาก แต่กระนั้น Final Fantasy ภาคที่ 7 ก็ยังคงถูกเรียกขานว่า เป็นหนึ่งใน Final Fantasy ภาคที่ประสบความสำเร็จสูงสุด ได้รับความนิยมมากที่สุด และถูกกล่าวขานมากที่สุดมาจนถึงทุกวันนี้
อันเป็นเสียงเรียกร้องให้นำมา remake อีกครั้งนั่นเอง !
เพราะเหตุใด ? Final Fantasy 7 (Final Fantasy VII) ถึงถูกเรียกร้องมากที่สุด ? เพราะเหตุใด ? Final Fantasy 7 ถึงได้กลายเป็นตำนาน ?
บทความในคราวนี้เราจึงได้รวบรวมมาเป็น ความสุดยอด 7 ประการที่ทำให้ Final Fantasy 7 “แตกต่าง” และ “ล้ำหน้า” กว่า Final Fantasy ภาคก่อน ๆ ที่ผ่านมาครับ มาดูกันเลย
ความสุดยอด 1 : การก้าวเข้าสู่โลกของ “3 มิติ” เป็นครั้งแรก
อาจจะเรียกได้ว่า เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดเลยทีเดียวของการขับเน้นให้ Final Fantasy VII กลายเป็นตำนาน กับการก้าวเข้าสู่ generation สำคัญของวงการเกม นั่นคือการเปลี่ยนผ่านจากโลกของ 2 มิติล้วน ๆ ไปสู่โลก 3 มิติเป็นครั้งแรก ที่หลาย ๆ เกมในยุคเดียวก็ริเริ่มเช่นนี้ และสำหรับ Final Fantasy มันก็คือ “ครั้งแรก”
กล่าวคือ ในช่วงเวลานั้น เครื่องเกมในยุคของ Super Famicom หรือ Megadrive นั้น ยังใช้สื่อตลับเกมเป็นหน่วยบรรจุตัวเกมซึ่งทำให้ทุกเกมนั้นยังอยู่ระบบภาพขอบเขตแบบ 2 มิติอยู่ โดยที่การแสดงผลในหลาย ๆ ด้านนั้นก็ยังไม่สามารถฉีกแนวไปไกลได้มากกว่านี้ ส่วนเกมที่ดูเหมือน 3 มิติ เช่น DooM หรือแนว FPS ยุคแรก ๆ นั้นเรียกได้ว่าเป็นขีดสุดของการสร้างโลกหลอกตาแบบ 3 มิติด้วยเทคโนโลยี 2 มิติ ที่พยายามสร้าง “ความลึก” ได้อย่างยอดเยี่ยม แต่ก็ยังขาดความเป็นธรรมชาติอยู่มาก
ฉะนั้นแล้วการเปิดตัวของ Final Fantasy VII ที่นับเป็น Final Fantasy ภาคแรกที่ถูกสร้างด้วยเทคโนโลยีภาพแบบ 3 มิตินั้น ก็ตราตรึงในความทรงจำของนักเล่นเกมทั่วโลก รวมไปถึงเกม 3 มิติอีกหลาย ๆ เกม ที่ส่งผลให้เครื่องเกม Sony Playstation ขายดีเทน้ำเทท่า ด้วยจุดมุ่งหมายที่อยากสัมผัสมิติใหม่ของการเล่นเกมที่ไม่เคยมีมาก่อนนั่นเอง
และอาจจะกล่าวได้ว่า หลายสิ่งหลายอย่างของ Final Fantasy VII นั้น อาจจะไม่ใช่ของใหม่สำหรับ Final Fantasy มากนัก เช่น ฉากต่อสู้อันตื่นตา มนตร์คาถา การเรียกเทพอสูร เหล่าตัวร้ายที่ดูยิ่งใหญ่อลังการ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่เคยมีมาในภาคก่อน ๆ แล้วทั้งสิ้นในบริบทที่แตกต่างกัน แต่ต้องยอมรับว่า พลังของภาพ 3 มิตินั้น ช่วยเปิดจินตนาการของผู้เล่นได้อย่างรุนแรง รวมถึงสร้างแรงโน้มน้าวทางอารมณ์ ความรู้สึก และกำลังใจได้หนักแน่นขึ้นกว่าการแสดงผลแบบ 2 มิติได้อย่างมากมายหลายเท่า
แน่นอนว่ารวมไปถึงเนื้อหาที่เข้มข้นของเกมด้วยเช่นกัน หากยังเป็นภาพการแสดงผลแบบ 2 มิติล้วน ๆ แฟนเกม Final Fantasy VII ก็คงไม่รู้สึกตราตรึงกับหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในเกมเท่าที่เป็นอยู่
ความสุดยอด 2 : โลก “Cyberpunk” ครั้งแรกของ Final Fantasy
คำว่า Cyberpunk (ไซเบอร์พังก์) เป็นชื่อเรียกแนวของวรรณกรรมหรือภาพยนตร์ชนิดหนึ่ง ที่ถ่ายทอดแนวคิดของ “เทคโนโลยีก้าวหน้าแต่สวนทางกับคุณภาพชีวิตมนุษย์” เป็นหลัก กล่าวคือ ไซเบอร์พังก์จะกล่าวถึงยุคสมัยหนึ่งที่มนุษย์จะเข้าถึงเทคโนโลยีล้ำยุคได้ มีเครื่องจักรที่แปลกใหม่มากมาย แต่กลับเป็นช่วงคาบเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หรือความล้มเหลวของสังคม เช่น การอดอยาก ความเหลื่อมล้ำของชนชั้น สงครามกลางเมือง และการก่อการร้าย ที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งนั่นเอง
ซึ่ง Final Fantasy VII นับเป็น Final Fantasy ภาคแรกที่ถ่ายทอดโลกออกมาด้วยแนวคิดดังกล่าว
หากจะอธิบายแบบรวบรัดเข้าใจง่ายแล้วก็คือ ในบรรดา Final Fantasy ทั้ง 6 ภาคที่ถูกสร้างและเผยแพร่ออกมาก่อนนั้น ส่วนมากจะหยิบเอาโลกในยุคยุโรปยุคต้น-กลาง ที่มีอัศวิน มังกร ปราสาท อาณาจักร มาเป็นพื้นฐานของเรื่องราวเป็นหลัก แล้วค่อย ๆ เสริมจินตนาการใหม่ ๆ รวมถึงเทคโนโลยีบางอย่างที่ยังอยู่ในกรอบของความเป็นแฟนตาซีเข้าไป เช่น เรือเหาะ หรือเครื่องยนต์กลไกแบบอุตสาหกรรมยุคต้น
จะมีก็แต่ Final Fantasy VI (ภาค 6) ที่ขับเน้นด้านการนำเทคโนโลยีมาใช้มากเป็นพิเศษ แต่ภาพรวมของโลกนั้นก็อาจเรียกได้ว่ายังเป็นยุคสมัยเก่าอยู่ เป็นช่วงคาบเกี่ยวระหว่างยุโรปยุคกลางกับยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
ในขณะที่ Final Fantasy VII เป็นโลกที่ใกล้เคียงกับยุคสมัยของเรามากที่สุดในบรรดา Final Fantasy ที่ผ่านมาทุกภาค ด้วยไซเบอร์พังก์ในขอบเขตที่ล้ำจากยุคสมัยปัจจุบันไปไม่ไกลเกินไปนัก ไม่ว่าจะเป็นเมืองอุตสาหกรรมยุคใหม่อย่าง Midgar รวมไปถึงเรื่องเทคโนโลยีสงครามอันทันสมัย การตัดต่อพันธุกรรม ทหาร ปืน เครื่องบิน ยวดยานพาหนะต่าง ๆ เทคโนโลยีไฟฟ้าและโทรทัศน์ ที่ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ไกลตัวผู้เล่น ทำให้โลกของ Final Fantasy VII เป็นที่คุ้นเคย และสร้างความ “อิน” โดยที่ผู้เล่นไม่รู้ตัวได้อย่างชัดเจนแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนนั่นเอง (ทั้งนี้ก็ถือเป็นประโยชน์จากข้อแรก ที่เทคโนโลยี 3 มิติ สามารถสร้างภาพลักษณ์ที่สมจริงขึ้นได้อีกด้วย)
ความสุดยอด 3 : “อิมแพคของเรื่องราว” ที่ตราตรึงจิตใจแฟนเกมสูงที่สุด
โดยปกติแล้ว อาจมีนักเล่นเกมส่วนมากที่กล่าวว่าเนื้อเรื่องของ Final Fantasy VII นั้นซับซ้อนเข้มข้น แต่ก็ไม่อาจชี้ชัดได้ว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เหนือกว่า Final Fantasy ภาคอื่น ๆ เพราะอันที่จริงแล้วเรื่องราวของ Final Fantasy ทุก ๆ ภาคนั้น ก็ต่างมีจุดเข้มข้น หักมุม เฉือนเหลี่ยม กันได้น่าตื่นตาอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่เฉพาะว่า Final Fantasy VII นั้นแสดงผลเป็นภาพ 3 มิติอย่างอลังการเท่านั้น แต่ตัวเนื้อหาของภาคนี้เองก็มีจุดหักมุมโหด ๆ ที่ไม่น้อยหน้าภาคอื่น ๆ เหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องตัวตนของ Cloud พระเอกของเรื่องที่พลิกล็อคปูมหลังอย่างคาดไม่ถึง
ที่มาที่ไปของวายร้ายอย่าง Sephiroth ที่ไม่เพียงแต่มีรูปโฉมอันสง่างามเท่านั้น แต่ตัวตนของเขายังน่าพรั่นพรึงจนถึงทุกวันนี้
รวมทั้งฉากดราม่าอันตราตรึงใจอีกมากมายที่ว่าด้วยปูมหลังอันน่าเจ็บปวดของตัวละครทุกคน
และที่จะลืมไม่ได้เลยก็คือ การจากไปของ Aerith
กล่าวคือ แม้ว่าใน Final Fantasy ภาคก่อน ๆ จะมีการ “ตาย” ของตัวละครหลักเกิดขึ้นอยู่บ้างแล้วก็ตาม แต่ส่วนมากนั้นมักจะเป็นการตายในจังหวะเวลาที่เหมาะสม หรือการเสียสละเพื่อช่วยเหลือส่วนรวม ที่ตามเส้นเรื่องแล้วผู้เล่นมักจะเตรียมใจยอมรับได้ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่สำหรับ Aerith ตัวละครที่แฟนเกมหลายคนเชื่อมั่นว่าเธอคือ “นางเอก” ของเกมนี้นั้น ต่างต้องประสบชะตากรรมอันน่าเศร้าในจังหวะเวลาที่ “ไม่มีใครคาดคิด”
นอกจากนี้การเสียชีวิตของ Aerith ในเกมนี้ ยังเป็นเพียงแค่ช่วงกลางเรื่องเท่านั้น ซึ่งถือว่าเร็วมากสำหรับตัวละครหลัก แต่การจากไปของเธอยังส่งผลต่อเนื่องกับเนื้อเรื่องทั้งหมดอย่างทรงพลังและมีคุณค่าถึงขั้นพลิกเรื่องในท้ายที่สุดได้เลยทีเดียว
นับว่าเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกของซีรี่ยส์ Final Fantasy อีกด้วยที่แฟนเกมทั่วโลกนั้นตกใจและเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลายคนเล่นเกมนี้ต่อโดยความหวังว่าเธอจะฟื้นคืนชีพ หรือมีนักเล่นเกมหลายคนค้นหาความลับของเกมอย่างสุดความสามารถ ด้วยความหวังว่าจะมีวิธีชุบชีวิตเธอขึ้นมาใหม่ แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงความหวังลม ๆ แล้ง ๆ เท่านั้น นอกเสียจากนักเล่นเกมจะใช้ Action Replay ที่เป็นอุปกรณ์โกงเกมในการนำเธอมาใช้เล่นเท่านั้น แต่ก็ไม่สามารถคืนชีวิตให้เธอมีบทบาทใด ๆ ร่วมกับตัวละครร่วมทีมได้อีก
นอกจากนี้การเสียชีวิตของ Aerith ในเกมนี้ ยังเป็นเพียงแค่ช่วงกลางเรื่องเท่านั้น ซึ่งถือว่าเร็วมากสำหรับตัวละครหลัก แต่การจากไปของเธอยังส่งผลต่อเนื่องกับเนื้อเรื่องทั้งหมดอย่างทรงพลังและมีคุณค่าถึงขั้นพลิกเรื่องในท้ายที่สุดได้เลยทีเดียว
สรุปได้ว่า ไม่เคยมีและทุกวันนี้ก็ยังไม่มีการเสียชีวิตของตัวละครหลักในซีรี่ยส์ Final Fantasy ครั้งใดที่สร้างปรากฏการณ์แก่วงการเกมได้มากเท่านี้อีกเลย
ความสุดยอด 4 : กิมมิคและสารพัดมินิเกมที่เปรียบได้กับ “สวนสนุก”
คำว่า มินิเกม (Minigame) นั้นหมายถึง เกมย่อยที่ปรากฏอยู่ในเกมหลัก ซึ่งเป็นเกมย่อยที่ระบบการเล่นมักจะแตกต่างหรือคนละแนวกับเกมหลักอย่างสิ้นเชิง เช่น เกมแอ็คชั่นแต่มีมินิเกมกินอาหารโต๊ะจีน หรือเกมต่อสู้ระหว่างคน แต่มีมินิเกมเป็นแข่งพังรถ เป็นต้น ซึ่งสำหรับ Final Fantasy VII นั้นเป็นภาคที่มีมินิเกมปรากฎอยู่ในเกมมากที่สุดเท่าที่ Final Fantasy เคยมีมา และหลาย ๆ มินิเกมนั้นมีส่วนสำคัญต่อการดำเนินเรื่องไม่น้อยเลยทีเดียวอีกด้วย
ที่สำคัญคือใครจะคาดคิดว่าตัวเกมนั้นรวบรวมเอามินิเกมที่ว่ามานี้ไปใส่ในสถานที่ ๆ เรียกว่า “สวนสนุก” ของเกมนี้อีกด้วย !?
โดยใน Final Fantasy VII นี้ มีมินิเกมที่มีรูปแบบหลากหลายเป็นจำนวนมาก เช่น การขับรถมอเตอร์ไซค์ตีฝ่ากองทัพของศัตรู หรือมินิเกมวางแผนการรบปกป้องหอคอย ไปจนถึงมินิเกมสกีบอร์ดข้ามภูเขาหิมะอันกว้างใหญ่ หรือกระทั่งการขับเรือดำน้ำต่อสู้กับข้าศึก ที่เรียกได้ว่าแต่ละเกมนั้นมีรูปแบบการเล่นที่แตกต่างกันมากทีเดียว และแทบทุกเกม ผู้เล่นจะได้พบระหว่างการดำเนินเรื่อง ซึ่งการเล่นผ่านหรือไม่ผ่านนั้นก็จะมีผลต่อเนื้อเรื่องอีกด้วย
และเรื่องของ “สวนสนุก” ก็หมายถึงสถานที่แห่งหนึ่งในเกมที่มีชื่อว่า Gold Saucer อันเป็นธีมปาร์คในรูปแบบหอคอยสีทองขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลทรายอันเวิ้งว้าง ซึ่งเป็นสวนสนุกมหึมาที่มีผู้เล่นจากทั่วโลกหลั่งไหลเข้าไปสนุกสนานกันสุดเหวี่ยง โดยผู้เล่นเกมนี้จะสามารถมาเยือนสถานที่นี้ได้ในช่วงต้น ๆ เกม แต่จะสามารถเล่นมินิเกมทั้งหมดในสวนสนุกได้ก็หลังกลางเกมไปแล้ว
โดยสวนสนุก Gold Saucer นี้ นอกจากจะเป็นแหล่งบันเทิงครบวงจรของเกมนี้ ยังจะเป็นแหล่งในการรวบรวมไอเท็มหรือบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญต่อการเล่นอย่างมาก ๆ อีกด้วย เพราะเมื่อผู้เล่นทำการเล่นมินิเกมในสถานที่นี้แต่ละครั้ง ก็จะได้แต้มคะแนนที่ใช้ในการแลกซื้อสิ่งของบางอย่าง และแน่นอนว่า ท่าไม้ตายสูงสุดของตัวละครในเกมนี้ ก็จะได้รับจากสวนสนุกแห่งนี้อีกเช่นเดียวกัน
ความสุดยอด 5 : ไม่เคยมีการเดินทางครั้งใดที่ยิ่งใหญ่เท่า “ขี่นกวิ่งรอบโลก”
โดยปกติแล้ว ซีรี่ยส์ Final Fantasy นั้น มักจะเริ่มต้นด้วยการให้ตัวละครเดินเท้าไปยังสถานที่ต่าง ๆ จุดต่อจุด ผจญภัยไปตามลำดับเส้นทางที่สามารถเดินทางไปได้ แล้วค่อย ๆ เพิ่มพาหนะหรือวิธีการเดินทางแบบใหม่ ๆ ให้กับกลุ่มตัวละคร เพื่อให้สามารถเดินทางไปยังสถานที่ใหม่ ๆ ได้มากขึ้น และดำเนินเรื่องต่อได้ไกลขึ้น เช่น เรือเดินสมุทร และสุดท้ายแล้วกลุ่มตัวละครก็จะได้รับ “ยานพาหนะที่บินได้” ที่สามารถเดินทางรอบโลกได้อย่างอิสระนั่นเอง
แต่ปกติแล้วจะมีพาหนะ “ชนิดหนึ่ง” ที่อยู่คู่กับซีรี่ยส์นี้มาตั้งแต่แรก ๆ นั่นก็คือ นกยักษ์ที่คล้ายนกกระจอกเทศขนาดใหญ่ขนสีเหลืองที่เรียกว่า โจโคโบะ (Chocobo) ซึ่งมันเป็นนกยักษ์ที่บินไม่ได้ แต่มีขาที่แข็งแรงและฝีเท้าที่ว่องไว ฉะนั้นแล้วในจักรวาลของ Final Fantasy แทบทุกภาคนั้น มักจะเป็นพาหนะทางบกของมนุษย์ที่สำคัญ (คล้าย ๆ มาทดแทนม้า ซึ่งแทบไม่ปรากฏในจักรวาลแฟรนไชส์ในฐานะพาหนะนี้เลย) อยู่เสมอ
สำหรับ Final Fantasy ภาคที่ผ่าน ๆ มา นกโจโคโบะจะมีบทบาทอยู่บ้างเป็นครั้งคราว เพราะการเดินทางบางอย่างที่ไม่สามารถเดินเท้าปกติผ่านไปได้ เช่น ลำธารหรือหนองน้ำขนาดเล็ก ที่จำเป็นต้องขี่นกดังกล่าวนี้ข้ามไป หรือบางภาคก็จะมีนกโจโคโบะที่บินในระยะสั้น ๆ ได้ และเมื่อผ่านจุดที่จำเป็นต้องพึ่งพาเหล่านกพวกนี้ไปแล้ว ก็มักจะไม่จำเป็นต้องใช้งานพวกมันอีก
แต่สำหรับ Final Fantasy VII นั้น นกโจโคโบะถูกเพิ่มบทบาทและความสำคัญของมันเข้าไปเยอะมาก แรกเริ่มเดิมทีพวกมันถูกใช้เพื่อผ่านการผจญภัยช่วงต้นเกมเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อถึง “สวนสนุก” Gold Saucer ที่ระบุไว้ในข้อ 4 เราก็จะพบว่า โจโคโบะนี้มีความสำคัญมากกว่าที่เห็น เริ่มตั้งแต่มินิเกมวิ่งแข่งโจโคโบะ เพื่อไถ่ตัวให้รอดจากคุกกลางทะเลทราย ไปจนถึงจุดที่เกมเผยออกมาว่า นกโจโคโบะเหล่านี้ มี “เกรด” ที่ต่างระดับกัน และมี “ชนิด” ที่หลากหลายอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ช่วงกลางเกมนั้น นกเหล่านี้อาจจะไม่ได้มีความจำเป็นอะไรต่อการดำเนินเรื่องมากเท่าไหร่ แต่ทันทีที่เกมเปิดเผยถึง “ความลับ” หลาย ๆ อย่างที่ถูกซ่อนไว้ท่ามกลางธรรมชาติอันเร้นลับของโลกใบนี้ ผู้เล่นก็จำเป็นที่จะต้องมาให้ความสนใจเจ้านกชนิดนี้อีกครั้ง เพราะยังมี “สถานที่ลับ” อีกหลายจุดทั่วโลกที่ ไม่ว่ายานพาหนะชนิดไหนก็ไม่สามารถไปถึงได้ซ่อนอยู่
ฉะนั้นหากผู้เล่นต้องการไขว่คว้าความลับเหล่านั้นมา ก็จำเป็นที่ต้อง “พัฒนาสายพันธุ์” ของนกโจโคโบะในฟาร์มของตนเองด้วยการทุ่มเทแรงกายแรงใจเลือดตาแทบกระเด็น ให้นกของท่านนั้นยกระดับความสามารถในการเดินทางไปในสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ได้ เช่น ไต่เนินผา ข้ามลำธาร ไต่ข้ามภูเขา ไปจนถึงระดับสูงสุดที่เจ้านกของท่านจะ “ว่ายน้ำทะเลได้” นั่นเอง
แนวทางการพัฒนาสายพันธุ์โจโคโบะเป็นอีกหนึ่งลูกเล่นใหม่ของเกมซีรี่ยส์นี้ที่แฟน ๆ หลายคนล้วนจดจำสิ่งที่เรียกว่า “โจโคโบะทอง” ได้ ซึ่งลูกเล่นนี้กลับถูกใช้เพียงไม่กี่ครั้งตลอดแฟรนไชส์นี้ โดยแฟน ๆ จะได้พบกับโจโคโบะระดับสุดยอดอีกครั้งก็ในภาค 9 และหลังจากนั้นก็ไม่มีระบบนี้อีกเลย
ความสุดยอด 6 : “อิสระ” ในการพัฒนาตัวละคร
ที่ผ่านมาสำหรับซีรี่ยส์ Final Fantasy นั้น สิ่งที่จำแนกศักยภาพและความสามารถของตัวละครคือ “อาชีพ” ของตัวละครนั้น ๆ ซึ่งก็จะเป็นตัวแปรสำคัญในการจัดทีมเพื่อออกผจญภัยในแต่ละสถานที่ตามช่วงเวลาของเนื้อเรื่อง บางครั้งก็จะมีการจัดบทบาทกลุ่มตัวละครให้ขาดความสมดุลเพื่อท้าทายความสามารถของผู้เล่น และหลาย ๆ ครั้งผู้เล่นก็จะจำเป็นต้องวางกลุ่มตัวละครให้สมดุลต่อการเล่นด้วยตัวเอง
ฉะนั้น อาชีพเฉพาะตัวละครจึงมีความสำคัญแตกต่างกันไป เช่น อัศวินหรือนักรบจะสามารถต่อกรกับศัตรูที่แข็งแกร่งได้ดีกว่าอาชีพอื่น ๆ แต่ก็มักจะมีศัตรูหลายชนิดที่อ่อนแอต่อมนต์คาถา ก็จำเป็นที่จะต้องมีอาชีพจอมเวทย์ในการรับมือกับสิ่งเหล่านี้ หรืออาชีพสายสนับสนุนก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ต่อการผจญภัยทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นพลังให้ตัวละคร หรือการเสริมค่าพลังบางด้านให้ตัวละครในกลุ่ม
มีบางภาคที่ให้อิสระในการพัฒนาความสามารถของตัวละครให้หลากหลายและพร้อมสับเปลี่ยนบทบาทในการรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ อยู่บ่อยครั้ง เช่น ภาค 5 ที่ตัวละครทุกตัวนั้นสามารถเปลี่ยนอาชีพได้อย่างอิสระ หรือภาค 6 ที่ตัวละครทุกตัวสามารถติดตั้งผลึกมนต์อสูรเพื่อเรียนรู้สกิลเฉพาะผลึกนั้น ๆ ได้ และสามารถสับเปลี่ยนกันเรียนรู้ได้ แต่สิ่งเหล่านี้ดูเล็กน้อยลงไปเลยเมื่อเทียบกับระบบในภาค 7 ครับ
Final Fantasy VII มีระบบพัฒนาตัวละครรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า มาทีเรีย (Materia) ซึ่งเป็นชื่อเรียกของวัสดุผลึกทรงกลมคล้ายลูกแก้วขนาดเท่ากำมือ ซึ่งเปรียบดั่งลูกแก้ววิเศษที่ซุกซ่อนพลังงานจากธรรมชาติไว้ และเมื่อตัวละครนำลูกแก้วเหล่านั้นมาติดตั้งบนอุปกรณ์ของตนเอง ก็จะมีความสามารถใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นจากพลังของลูกแก้วนั้น ๆ นั่นเอง
ซึ่งดูเหมือนจะไม่มีอะไรซับซ้อนและอาจจะดูไม่ได้พิเศษไปกว่าภาค 6 ตรงไหน แต่หากว่า ในอุปกรณ์แต่ละชิ้น ทั้งอาวุธและเครื่องป้องกันต่าง ๆ เหล่านั้น ไม่ได้ติดตั้งมาทีเรียได้เพียงแค่ลูกเดียว แต่มีความแตกต่างกันไปในแต่ละชิ้นล่ะ ? นั่นจึงกลายเป็นลูกเล่นของระบบพัฒนาตัวละครที่สร้างความหลากหลายในการเล่นได้อย่างน่ามหัศจรรย์เลยทีเดียว เพราะหมายความว่า เมื่อผู้เล่นค้นหามาทีเรียใหม่ ๆ ได้ พร้อมกับอุปกรณ์ที่มีช่องใส่มาทีเรียมากขึ้น ตัวละครของเราก็จะมีความสามารถมากขึ้น และหลากหลายขึ้นเช่นเดียวกัน
และแน่นอนว่าช่องใส่มาทีเรียถึงจะมีมากก็ยังมีจำกัด แต่มาทีเรียทั้งเกมนั้นมีจำนวนมหาศาล ผู้เล่นจึงต้องใช้ความคิดในการตกแต่งและเลือกใช้มาทีเรียอย่างเหมาะสม บางตัวอาจจะเน้นมนต์คาถาที่ใช้ในการต่อสู้ จนไม่สามารถติดตั้งมาทีเรียสายฟื้นฟูส่งเสริมได้ ก็จะต้องเป็นหน้าที่ของตัวละครตัวอื่น หรือมาทีเรียที่มีรูปแบบพลิกแพลงอื่น ๆ เช่น เพิ่มศักยภาพบางด้านของตัวละคร หรือเพิ่มสกิลแปลก ๆ ใหม่ ๆ เช่นการ ขโมย ใช้ท่าพิเศษ หรืออื่น ๆ ก็ช่วยเพิ่มความสนุกในการเล่นไปได้อย่างมากเช่นกัน
นอกจากนั้นจุดนี้ยังรวมไปถึงการคำนึงเรื่องความสามารถเฉพาะตัวละครที่แตกต่างกันอีกด้วย เพราะในภาคนี้นั้น ตัวละครแต่ละตัวมีจุดเด่นที่ไม่ซ้ำกัน เช่น Cloud ใช้ดาบขนาดใหญ่ Barret ใช้ปืนติดแขน หรือ Tifa ต่อสู้รูปแบบประชิดตัว ซึ่งค่าพลังพื้นฐานของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ท่าพิเศษก็แตกต่างกัน แน่นอนว่าความสำคัญของศักยภาพส่วนตัวก็ไม่เท่ากันด้วย ดังนั้นระบบมาทีเรียจึงเป็นโจทย์สำคัญของผู้เล่นที่จะต้องวางแผนให้ดี ว่าจะพัฒนาความสามารถให้ตัวละครนั้น ๆ โดดเด่นในแบบใด จึงจะเป็นรูปแบบที่เหมาะสมต่อผู้เล่นมากที่สุด
ฉะนั้นแล้ว Final Fantasy VII จึงเป็นอีกหนึ่ง “ครั้งแรก” ของ Final Fantasy ที่ให้อิสระแก่ผู้เล่นในการพัฒนา วางแผน และต่อยอดความสามารถของตัวละครในระดับที่ต้องใช้ความคิดและจินตนาการที่หลากหลายอย่างมาก ซึ่งแน่นอนว่ามันก็เป็นหนึ่งความสนุกที่แฟน ๆ ให้การยอมรับมากที่สุดเช่นเดียวกัน
ความสุดยอด 7 : “อารมณ์ขัน” ที่ผู้สร้างถ่ายทอดไปสู่ผู้เล่น
สุดท้ายนี้เป็นจุดหนึ่งที่อาจจะไม่ได้สัมผัสกันได้โดยตรง แต่นับได้ว่าเป็นสิ่งที่ถูกจดเข้าไปในความทรงจำของผู้เล่นทั่วโลกได้อย่างชัดเจนสำหรับ Final Fantasy VII ก็คือ “อารมณ์ขัน” ที่ปรากฏอยู่ประปรายตลอดเกม ซึ่งฉากหนึ่งที่จะมองข้ามไปไม่ได้เลยก็คงเป็นเรื่อง
“พระเอกแต่งหญิง”
มีเหตุการณ์หนึ่งที่ Cloud และผองเพื่อน พบว่า Tifa ได้ถูกเจ้าพ่อมาเฟียจับตัวไป การจะเข้าถึงตัวเจ้าพ่อมาเฟียนั้นได้ ก็เห็นจะมีเพียงแต่การเข้าไปยังแหล่งกบดานของเขาเท่านั้น ซึ่งคนนอกจะเข้าไปได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นแผนของพวกตัวเอกก็คือ การปลอมตัวเป็นคุณโส (เภณี) เข้าไปสมัครเป็นนางบำเรอของเจ้าพ่อผู้นั้นนั่นเอง ซึ่งสำหรับ Aerith ที่เป็นสาวสวยอยู่แล้วก็ไม่ใช่ปัญหา แต่กับ Cloud ที่เป็นชายทั้งแท่งเนี่ยสิคือปัญหาหลักของเหตุการณ์นี้เลยทีเดียว
เพราะฉะนั้นแล้ว หน้าที่ของผู้เล่นก็คือ การพาพระเอกของเราไปทำเควสตามเก็บเสื้อผ้าและเครื่องประทินโฉมทั้งหลาย ในการบันดาลให้ Cloud กลายเป็นสาวสวยที่งดงามพอจะหลอกยามเฝ้าประตูในการเข้าหาเจ้าพ่อมาเฟียเป้าหมายได้นั่นเอง เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในฉากที่แฟน ๆ ฮากันมาก และทุกคนก็คาดหวังกันไม่น้อยเลยทีเดียวที่จะได้เห็นฉากนี้อีกครั้งในฉบับ remake
และไม่เพียงแค่ฉากนี้เท่านั้น ตลอดทั้งเกมยังคงมีการสอดแทรกมุกตลกที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขันมาทำให้เกมเฮฮาขึ้นอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็น อาวุธตลก ๆ เช่น ไม้เบสบอลหรือร่ม มุกล้อเลียนเกมภาคก่อน ๆ ที่มีให้เห็นประปราย หรือตัวโจ๊กอย่าง Yuffie ที่เป็นหัวขโมยสุดเป๋อสร้างความฮาให้กับผู้เล่นอยู่บ่อย ๆ หรือมุกการออกเดทของ Cloud ที่หากดำเนินเรื่องมาผิด ๆ ถูก ๆ คุณอาจได้ไปเดทกับพี่กล้ามผิวเข้มอย่าง Barret แทนที่จะได้เดทกับสาว ๆ ก็เป็นได้ รวมไปถึงฉากการ “ตบกัน” ระหว่างสองสาวสองขั้วอย่าง Tifa และ Scarlet ที่ตราตรึงสายตาแฟน ๆ ทุกคน หรือแม้กระทั่งการจองบ้านพักตากอากาศริมหาดสุดหรูสำหรับคนเงินหนาเท่านั้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะได้พบในเกมนี้ เรียกได้ว่า หากจะเขียนรวบรวมมุกตลกที่ซ่อนอยู่ใน Final Fantasy VII แล้วล่ะก็ คงต้องเรียบเรียงกันหลายวันเลยทีเดียวครับ
แถม
ถ้าชอบฝากโหวตด้วยนะครับ
cr.
http://akibatan.com/2015/12/7-greatest-things-make-final-fantasy-7-as-legend/