ไว้คราวหน้า X
ไว้คราวหน้า X
ไม่ต้องแสดงข้อความนี้อีกเลย
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
ฝากรูป
ผู้ตั้ง
ข้อความ
ออฟไลน์
คอมเมนเตเตอร์
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 08 Aug 2009
ตอบ: 33727
ที่อยู่: Architecture l KMITL
โพสเมื่อ: Fri Nov 20, 2015 23:19
"อาร์เเซน เวงเกอร์" ชีวิต ความตาย ฟุตบอล
ไม่นานมานี้ อาร์แซน เวงเกอร์ ได้ให้สัมภาษณ์และถ่ายแบบกับนิตยสาร L'Equipe's sport & style ของฝรั่งเศส
บทสัมภาษณ์ในหนังสือนั้นค่อนข้างยาว ที่สำคัญน่าสนใจมาก สะท้อนได้ถึงความคิดของชายผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้จัดการทีมที่ดีคนหนึ่ง



1Q: อาร์แซน. ถ้าผมพูดกับคุณว่า 6945 ในวันนี้. วันที่ 9 ตุลาคม คุณจะนึกถึงอะไร
A: ไม่ได้คิดถึงอะไรเลย

2Q: คุณเป็นผู้จัดการทีมอาร์เซนอลมาเป็นเวลา 6945 วัน มากกว่าจำนวนวันทั้งหมดของผู้จัดการทีมในพรีเมียร์ลีก 19 ทีมรวมกัน
A: จริงหรือ? แล้วมันกี่วินาทีกันล่ะ? ถ้าคุณเก่งคณิตศาสตร์ (หัวเราะ)

3Q: ง่ายมาก 6945 x 24 x 3600!
A: แต่สำหรับผม มันไม่ได้มีความหมายอะไรมากไปกว่าการที่ผมยังคงได้ทำงานที่พิเศษจากจุดนี้ต่อไปเรื่อยๆในอนาคต ผมอยู่กับอนาคตเสมอ อนาคตที่ได้ถูกวางแผนและเข้มงวด จริงๆผมค่อนข้างมีความกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์เกี่ยวกับเวลา ผมกำลังอยู่ในกระบวนการที่ต่อสู้กับเวลา ก็แค่นั้น ผมไม่สนใจกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับอดีตอย่างสิ้นเชิง

4Q: คำว่าในนาทีต่อมา มันเป็นต้นตอของความกังวลของคุณได้อย่างไร?
A: ผมมักจะกลัวกับการไปสาย กับความไม่พร้อม ไม่สามารถทำตามแผนที่ผมได้วางไว้ ความสัมพันธ์ของผมกับเวลามาพร้อมกับความกังวลในทุกๆด้าน การย้อนกลับไปในอดีต การมองย้อนกลับเป็นเพียงไอระเหย อย่างแรกเลยคือความกลัว เพราะว่าสิ่งที่กำลังจะมาไม่ถึงไม่ได้มีมากไปกว่ากับสิ่งที่มีอยู่แล้ว หนทางเดียวที่จะต่อสู้กับเวลาคืออย่ามองย้อนกลับไปให้มาก เพราะถ้าคุณทำแบบนั้น คุณก็จะกลัว และในบางครั้งก็จะทำให้คุณรู้สึกผิด

5Q: คุณใช้คำว่าความกังวลอธิบายความหมายของทั้งคำว่าพรุ่งนี้และเมื่อวาน...
A: หนทางเดียวที่จะมีช่วงเวลาแห่งความสุขก็คือในปัจจุบัน อดีตมีความผิดหวัง อนาคตไม่แน่นอน มนุษย์เข้าใจสิ่งนี้ได้อย่างรวดเร็วและสร้างศาสนาขึ้นมา ศาสนายกโทษให้กับคนที่ทำผิดในอดีตและบอกพวกเขาว่าไม่ต้องกังวลกับอนาคต เพราะว่าคุณจะได้ขึ้นสวรรค์ นั่นหมายความว่าคุณจะต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุด มนุษย์วิเคราะห์จิตใจของตัวเองได้อย่างรวดเร็วผ่านทางความเชื่อ

6Q: คุณบอกอย่างชัดเจนว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และศาสนาแตกต่างอย่างมากจากมุมมองของคุณเมื่อตอนคุณเป็นวัยรุ่น ในตอนนั้นคุณอ่าน Roman Missal เพื่อช่วยให้ทีมคุณชนะ
A: น่าเศร้าที่ตอนนี้มันไม่ค่อยจะเวิร์ค ในขณะเดียวกันก็โชคดีนะที่ทีมของผมไม่จำเป็นต้องพึ่งพระเจ้าเมื่อต้องการชัยชนะ

7Q: ในมุมของความสัมพันธ์ของคุณกับปัจจุบัน ในแมตซ์การแข่งขัน ผู้จัดการทีมรู้สึกว่าเขาค่อนข้างจะมีอำนาจลึกลับหรือเปล่า? คุณคือผู้สร้างทีมของคุณ สไตล์การเล่นของทีม กลยุทธ์ของทีม
A: ในมุมมองของทางศาสนา มีคนพูดว่าพระเจ้าสร้างมนุษย์ สำหรับผม ผมเป็นเพียงแค่คนประสานงาน ผมให้คนนั้นๆแสดงสิ่งที่เขามีในตัวเขาออกมา ผมไม่ได้สร้างอะไรเลย ผมเป็นผู้จัดสรรให้กับสิ่งสวยงามในตัวมนุษย์ ผมจำกัดความตัวเองว่าเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี การต่อสู้ที่ไม่เคยสิ้นสุดในงานของผมคือการเอาสิ่งที่สวยงามในมนุษย์ออกมา ผมอาจจะถูกใครทรยศความเคารพนี้และอธิบายผมได้ด้วยคำว่าไร้เดียงสา ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ผมเชื่อและผมมักจะพิสูจน์ได้ค่อนข้างบ่อยครั้งว่าผมถูก

8Q: ไม่เสมอไป....
A: บางครั้งผมก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จในการนำสิ่งที่ดีที่สุดของคนคนนั้นออกมาจากข้างในของเขา มันให้โอกาสผมที่จะวิเคราะห์ว่าผมทำพลาดที่ตรงไหน

9Q: คุณบอกว่าพวกเราทรยศคุณด้วยคำว่าไร้เดียงสา คุณอาจจะชอบคำว่านักอุดมคติมากกว่าหรือเปล่า?
A: มีคนบอกผมว่า มีทางเดียวที่จะอยู่ในความคิดของความตาย คือการพยายามที่จะเปลี่ยนปัจจุบันให้เป็นศิลปะ นี่มันก็เกี่ยวข้องกับทุกๆสิ่งที่ผมเพิ่งพูดมา

10Q: ศิลปะไม่จำเป็นต้องเป็นต้นกำเนิดของความสวยงามของจักรวาล งานบางงานอาจจะถูกใจหรือน่าหวาดกลัวขึ้นอยู่กับความเชื่อมโยงกับความงามของแต่ละบุคคล
A: ผมเลือกกีฬาที่เล่นเป็นทีม มันมีเวทมนตร์อยู่อย่างหนึ่ง เมื่อมนุษย์รวมพลังกันเพื่อที่จะแสดงความคิดร่วมกัน นั่นคือเมื่อกีฬากลายเป็นความสวยงาม ความโชคร้ายของมนุษย์เกิดขึ้นเมื่อเขาพบว่าเขาต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวกับปัญหาหลายๆอย่างที่เขาจำเป็นต้องเผชิญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมยุคใหม่ กีฬาที่เล่นเป็นทีมมีคุณค่าพิเศษในตัวเอง มันอยู่เหนือกาลเวลา คุณสามารถจัดผู้เล่นทั้งสิบเอ็ดคนที่มาจากสิบเอ็ดสัญชาติและแสดงให้เห็นถึงความต่อเนื่องของผลงาน กีฬาในปัจจุบันอาจจะสามารถแสดงถึงโลกที่จะเป็นไปในอนาคต เราสามารถแบ่งปันความรู้สึกพิเศษกับคนโดยไม่จำเป็นต้องพูดกับเขา มันยังคงเป็นไปไม่ได้ในสังคมตอนนี้ ดังนั้นกีฬาที่เล่นเป็นทีมแสดงให้เห็นเป็นตัวอย่าง เมื่อเทนนิสกลายเป็นเดวิสคัพ มันแสดงให้เห็นบางอย่างที่ยังมีอยู่ กอล์ฟและไรเดอร์คัพก็เช่นกัน เราๆก็สัมผัสได้ ความสั่นสะเทือนอยู่ตรงนั้น

11Q: คุณเคยเป็นโค้ชในกีฬาประเภทบุคคลหรือเปล่า?
A: ผมเชื่อว่าไม่นะ การร่วมหัวจมท้ายไปกับคนๆหนึ่ง การเห็นว่าอะไรคือสิ่งขับเคลื่อนสร้างแรงบันดาลใจในตัวเขาสร้างความน่าสนใจให้ผมเป็นอย่างมาก แต่ว่าผมถูกเลี้ยงมาในกีฬาประเภททีมและจิตใจของผมก็ถูกสร้างมาในทางนั้น การที่จะเป็นโค้ชของใครเพียงคนเดียว นักกีฬาคนเดียวคงจะต้องผิดหวังในตัวผม มันเชื่อมโยงกับการศึกษาของผม ในหมู่บ้านของผมเราเล่นแต่ฟุตบอลและบาสเกตบอลเท่านั้น

12Q: คุณเคยเป็นนักฟุตบอลอาชีพมาก่อน แต่ก็ไม่ใช่นักเตะที่ดีเยี่ยม นั่นมันทำให้คุณประเมินมากกว่า ทำให้คุณมีความอดทนมากกว่าเมื่อพิจารณาถึงสิ่งที่ทีมของคุณที่จะได้รับ
A: คุณสามารถอธิบายสิ่งนั้นด้วยความสัมพันธ์เมื่อนักเตะมีความกังวลใจ เมื่อเขาไม่สามารถไปถึงสิ่งที่เขาปรารถนา สิ่งอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้นในอาชีพของผม ผมยังคงอยู่กับฟุตบอล สำหรับผม ฟุตบอลเป็นสิ่งที่ไม่น่าสงสัยเลย คล้ายๆกับความบ้าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็เคยมีบางครั้งตอนที่ผมอายุ 24-25 ปี ผมบอกกับตัวเองว่า ตายล่ะ ถ้าผมไม่สามารถเล่นฟุตบอลได้อีก ผมจะฆ่าตัวตาย มีประโยชน์อะไรที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป

13Q: จริงจังมาก?
A: มากๆ ผมใช้เวลาอย่างยาวนานเพื่อที่จะพยายามเข้าใจว่าคนเราสามารถโง่ได้ถึงเพียงนั้นได้อย่างไร แต่ก็อธิบายได้ง่ายๆเพราะผมถูกเลี้ยงมาในร้านอาหาร-บาร์ที่เป็นเหมือนกับสำนักงานใหญ่ของสโมสรฟุตบอล พวกเราพูดถึงแต่เพียงฟุตบอล ผู้คนสร้างทีมในวันพุธและวันอังคารเพื่อวันอาทิตย์
ผมแทบจะไม่รู้ว่าต้องเดินยังไง และผมมองพวกเขาอยู่แล้ว ฟังพวกเขาอยู่แล้ว และก็คิดว่า ว้าว พวกเขากำลังจะจัดคนนั้นเป็นปีกซ้าย พวกเขาต่อสู้ที่จะคว้าชัยชนะอีกครั้ง

14Q: คุณเข้าไปมีส่วนร่วมในการอภิปรายหรือเปล่า
A: ใช่ ตอนอายุ 4 หรือ 5 ขวบ ผมเริ่มที่จะรู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่และเริ่มที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมเมื่อตอนอายุ 9 หรือ 10 ขวบ ผมว่ามันเกี่ยวกับวัฒนธรรมของที่นั่น ในจิตใต้สำนึกตอนนั้นผมคิดว่าฟุตบอลสำคัญมากกว่าชีวิต เพราะเป็นสิ่งที่ผู้คนพูดมันออกมา

15Q: กลับมาถึงช่วงความกังวลของคุณในช่วงอายุ 24-25 ทำอย่างไรคุณถึงรู้สึกปลอดภัยและมั่นใจมากขึ้น
A: มันเกิดขึ้นเองตามลำดับ ตอนอายุ 25 หรือ 26 ปี ผมไปพูดในงานสัมมนาที่ Mulhouse กับเพื่อนของผมหนึ่งผู้เป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิค เขาเสนอโอกาสให้ผมเข้าไปเทรนเป็นโค้ช กระบวนการเปลี่ยนแปลงนี้ต่อมาก็เข้าที่เข้าทาง หลังจากนั้นผู้จัดการทีมของผมที่สตาร์บูร์ก Max Hild บอกกับผมว่าให้ไปที่ศูนย์ฝึกเยาวชนกับเขา ผมไปที่นั่นและกลายเป็นผู้ช่วยของเขา ต่อมาเขาก็ก้าวขึ้นเป็นผู้จัดการทีมชุดใหญ่อย่างรวดเร็ว ส่วนผมก็ถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าศูนย์ฝึกเยาวชนในตอนอายุ 30 และทำมันต่อเนื่องมาจนหยุดเล่นฟุตบอลในตอนอายุ 32 หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมไม่มีเวลาที่จะถามตัวเองถึงคำถามเหล่านั้น ในตอนเริ่มต้นแรงบันดาลใจปรับให้เข้ากับสภาพร่างกาย และศักยภาพของปัจจัย ผมรู้ว่าผมไม่สามารถเล่นฟุตบอลไปตลอดกาล

16Q: คุณพิจารณาตัวเองวันนี้ว่าจะจบอาชีพของโค้ชของคุณไหม? ความตายขนาดย่อมๆครั้งใหม่ คุณเพิ่งย่าง 66
A: ผมไม่สนใจคำถามนี้เลย ผมว่าผมคล้ายจะเป็นเหมือนชายหนุ่มอายุ 34 ปีและยังเล่นฟุตบอลอยู่ เขามีเกมที่ย่ำแย่และพวกเราก็บอกเขาว่า โอเค คุณต้องเลิกเล่นนะเพื่อน แต่ผมไม่เคยถามตัวเองว่าผมจะทำอะไรต่อไปหลังจากนี้เพราะว่ามันคงเป็นความน่าตกใจที่ยากลำบาก
มันคงเป็นความลำบากที่มากกว่าสิ่งที่ผมเคยประสบมาก่อนเมื่อเปลี่ยนจากนักเตะมาเป็นผู้จัดการทีม เพราะว่าสิ่งนี้จะเป็นการเปลี่ยนจากกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นสู่ความว่างเปล่า ด้วยเหตุผลดังกล่าวผมปฏิเสธที่จะถามตัวเองด้วยคำถามนั้น ผมเหมือนคนที่อยู่ไม่ไกลจากเป้าหมาย คนที่กำลังจะก้าวหน้า คนที่ไม่ใส่ใจอุปสรรค ตอนนี้ถ้าผมบอกคุณว่า อิริก คุณมีเวลาที่จะใช้ชีวิตอยู่อีกเพียงแค่ 24 ชั่วโมง คุณจะคิดถึงมีดที่จะตัดคอคุณ (ในอีก24ชั่วโมง) หรือคุณจะลองใช้เวลาที่เหลืออยู่เพื่อเติมเต็ม นี่เป็นคำถามของการสิ้นสุดของชีวิต

17Q: ตัวอย่างของอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่หยุดการเป็นโค้ชอย่างฉับพลันในตอนอายุ 71ปี จากการขอร้องของภรรยาของเขาที่เสียใจกับการจากไปของน้องสาว(พี่สาว) ของเธอ เป็นแรงบันดาลใจของคุณหรือเปล่า?
A: ในระดับนี้สำหรับผม เฟอร์กูสันคือตัวอย่าง ตั้งแต่ตอนเริ่มต้นเขารู้ว่าการบูรณาการตัวเองต้องทำอย่างไร วิธีการที่จะพัฒนาขึ้นต้องทำอย่างไร เขาก็ไม่ได้หยุดนิ่งกับความสำเร็จ นี่เป็นคุณภาพของเขาที่ผมชื่นชม เขารู้วิธีการที่จะท้าทายตัวเองแม้ว่าเขาทำมันโดยสัญชาตญาณ แต่เขามีความสนใจอย่างอื่น เขาชอบม้า ไวน์ เขารู้เกี่ยวกับไวน์แดงมากกว่าผม เมื่อเร็ว ๆ นี้ผมได้พบกับเขา และ ผมถามเขาว่า: "อเล็กซ์, คุณคิดถึงมันหรือเปล่า?" และเขาตอบผมว่า "ไม่เลย" ในขณะนั้นผมรู้สึกทั้งผิดหวังและสบายใจ มันเป็นตัวอย่างให้ผมมีความหวังสำหรับตัวผมเอง

18Q: คุณมีความคลั่งไคล้ในสิ่งอื่นหรือเปล่า
A: ไม่ นั่นคือความกังวลตามธรรมชาติของผมที่เกิดขึ้น ผมไม่ใช่เฟอร์กูสัน ผมไม่มีทางเลือกสำรองและผมไม่สนใจที่จะมองย้อนกลับไปเช่นกัน เหมือนกับการเขียนหนังสือเกี่ยวกับประสบการณ์ของผม ผมเจ็บเวลาที่เห็นอดีตผู้เล่นกลับมาผม และพวกเขาเหล่านั้นไม่มีความสุขอย่างเต็มเปี่ยม เวลาถูกแนะนำตัวว่า นายX อดีตผู้เล่นของอาร์เซนอล ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เขาเป็นในวันนี้ มันเป็นความเจ็บปวด ต้องเป็นในสิ่งที่คุณเคยเป็นในรูปแบบของความทุกข์ ผมหวังว่าชีวิตในช่วงหลังจากนี้ [ชีวิตหลังฟุตบอล] ผมสามารถทำอะไรที่มากกกว่าการเป็นอดีตผู้จัดการทีมของอาร์เซนอล เป็นโค้ชให้กับเด็กๆ ทำตัวให้มีประโยชน์

19Q: ทำไมคุณไม่เก็บความทรงจำเกี่ยวกับอดีต
A: มันทำให้ผมกังวลใจเล็กน้อย ถ้าคุณไปที่บ้านผม คุณคงเดาไม่ออกว่าคุณกำลังอยู่ในบ้านของผู้จัดการทีมฟุตบอล ถ้าคุณถามผมว่าเหรียญแชมป์เอฟเอคัพครั้งล่าสุดอยู่ที่ไหน ผมตอบคุณไม่ได้หรอก ผมคิดว่าผมให้แพทย์ประจำสโมสรหรือ เจ้าหน้าที่ฝ่ายชุดแข่งประจำทีมไปแล้ว

20Q: มันเป็นความขัดแย้งสำหรับผู้จัดการทีมของสโมสร ผู้ซึ่งผ่านความรุนแรงของประวัติศาสตร์มา
A: ผมมีความสนใจอย่างมากในเรื่องประวัติศาสตร์ของคนอื่น แต่ของตัวเองน้อยมาก เพราะผมผ่านประสบการณ์นั้นมาแล้วและการไม่ย้อนกลับไปมองทำให้ผมสามารถเพิกเฉยต่อสิ่งที่ผมทำมาในชีวิต มันช่วยให้คุณสามารถหลีกเลี่ยงความรู้สึกผิดได้ ผมมักจะพบว่ามันเป็นความน่าสงสารเล็กน้อยเมื่อมีคนมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ของตัวเองและเล่าขานสิ่งดีๆที่พวกเขาสร้างมันมาในชีวิต

21Q: นอกจากตัวคุณเองแล้ว ใครจะช่วยจารึกความเป็นมืออาชีพในอาชีพของคุณ?
A: สโมสรของผมคงทำมันได้ดี ในวันนี้สื่อก็กำลังขยายความมันออกมา และสื่อคงมีการบรรยายเกี่ยวกับผม ถึงแม้ว่าไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเรื่องของผม ความจริงอย่างที่ไม่น่าสงสัยก็คือมันมีสิ่งน่าสนใจมากกว่าเพราะสิ่งต่างๆจำนวนมากจะกลบเกลื่อนสิ่งที่ผมผ่านมันมาแล้ว
ยกตัวอย่างเช่น พ่อของผมเคยเก็บรวบรวมทุกอย่างที่เขียนเกี่ยวกับผม บางครั้งผมก็รู้สึกเหมือนได้ทรยศเขา เพราะผมไม่ได้สนใจในสิ่งนั้น แต่ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง วันหนึ่งใครจะรู้ว่าผมอาจจะพูดว่า: เพื่อน นี่เป็นเวลาที่หยุดพักและสะท้อนสิ่งที่ผมได้ผ่านมา

22Q: การบอก(ผู้คนว่าคุณได้ผ่านประสบการณ์มา) มันทำให้ผ่านสิ่งต่างๆไปอย่างง่ายขึ้นหรือเปล่า?
A: สิ่งที่สวยงามที่สุดเกี่ยวกับงานของผมคือการที่ได้สามารถส่งต่อและมีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ในทางที่ดีนะ

23Q: คุณมีความรู้สึกอย่างไรหากจะมีรูปปั้นของคุณ ทั้งๆที่คุณยังมีชีวิตอยู่ เหมือนอย่างเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หรือ เธียร์รี่ อองรี?
A: มันคงทำให้ผมรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย ผมชอบที่จะต่อสู้ในแต่ละวันเพื่อที่จะโน้มน้าวความคิดเห็นทั่วๆไปว่าสิ่งที่ผมทำนั้นมันไม่ได้เลวร้าย ในตอนนี้พวกเราตั้งคำถามกันขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงในงานของเราคือความสำเร็จที่สั่งสมมาไม่ได้ปกป้องคุณ เราถูกบังคับให้ต่อสู้อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยที่จะได้รับความเคารพ

24Q: สำหรับผู้จัดการทีมฟุตบอลสมัยใหม่ การโน้มน้าวใจมันยากมากกว่าชัยชนะหรือเปล่า
A: เพื่อที่ชนะ คุณต้องการการโน้มน้าวใจ สังคมเปลี่ยนผ่านจากยุคแนวตั้งสู่แนวนอน ผู้จัดการทีมในปี 1960 จะกล่าวว่า "หนุ่มๆ พวกเรากำลังทำอย่างนี้นะ" และไม่มีใครประท้วงเขา ในวันนี้คุณต้องมีการโน้มน้าวใจก่อน นักฟุตบอลเป็นเศรษฐี และลักษณะของเศรษฐีคือจำเป็นต้องใช้การโน้มนาวใจ เพราะพวกเขามีสถานะ มีแนวทางการคิด ในปัจจุบันผู้คนถูกป้อนข้อมูล ดังนั้นพวกเขามีความความคิดเห็น และต่างคิดว่าความคิดของตัวเองถูก เขาไม่จำเป็นต้องแบ่งปันความคิดเห็นกับผม ดังนั้นผมจำเป็นต้องโน้มพวกเขาให้ได้

25Q: ช่วงเวลาแรกๆที่อาร์เซนอล คุณต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะโน้มนาวใจให้สโมสรกับแฟนบอลคล้อยตามหลักการของคุณ
A: อาร์เซนอลเป็นสโมสรที่มีพื้นฐานอยู่บนขนบธรรมเนียมไม่กลัวการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ

26Q: นั่นเป็นเพราะว่าคุณ เดวิด ดีน รองประธาน และเหล่าเพื่อนๆของคุณ ได้สั่นคลอนธรรมเนียมปฏิบัติ
A: พวกเขาไม่กลัวที่ปฏิบัติตามผม นับว่าเป็นความกล้าหาญอย่างแท้จริง

27Q: แน่นอนว่าพวกเขาให้เวลาคุณทำงาน ตอนนี้คุณได้ก้าวเข้าสู่ปีที่ 20 ที่อาร์เซนอลแล้ว
A: เวลาคือสิ่งที่มีค่า ส่วนที่ดีของผมอย่างหนึ่งคือ ผมปฏิบัติต่ออาร์เซนอลประหนึ่งว่าผมเป็นเจ้าของทีมเอง ผมมักโดนวิจารณ์อยู่บ่อยครั้งเรื่องที่ไม่ยอมใช้จ่ายเงิน วิตกกังวลมากเกินไป
ผมให้เครดิตตัวเองที่มีความกล้าพอที่จะทำตามความคิดของตัวเองและพยายามต่อสู้เพื่อมัน อีกด้านหนึ่ง ผมก็เข้าใจได้ว่าอาจจะมีคนที่ไม่เห็นด้วย ความภาคภูมิใจสูงสุดของผมก็คือ ผมสามารถพูดได้ว่า ในวันที่ผมทิ้งที่นี่ไป ผมได้ทิ้งทีมที่ดีเอาไว้ ทีมที่สถานะมั่งคงและมีศักยภาพที่จะดำรงต่อไปได้ในอนาคต
ผมอาจจะพูดกับตัวเองว่า ผมจะอยู่ที่นี่สักสี่ห้าปี คว้าแชมป์ทุกอย่าง แล้วก็ทิ้งทีมไป ทิ้งทีมให้เผชิญปัญหา เผชิญความเสี่ยงที่จะล้มละลาย สำหรับผม ความมั่งคงในระดับสูงสุดคือสัญญาณที่ดีของทีม อย่างทีมรีล มาดริด ที่ไม่ได้แชมป์มา 21 ปีก่อนการมาของ Di Stefano ในปี 1952

28Q: ทุกวันนี้ที่รีล มาดริด ถึงคุณจะคว้าแชมป์ได้แต่สุดท้ายก็โดนปลดอยู่ดี..
A: พวกเขาเข้าสู่วังวนของโลกสมัยใหม่ ต้องการคนหน้าใหม่ๆ มันดึงดูดพวกพาดหัวข่าวนะ สำหรับผม ความมั่นคงในผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับความเป็นหนึ่งเดียวกันในสโมสร การโยนทุกอย่างทิ้งได้ทุกเวลา มันจะได้ผลก็ต่อเมื่อคุณมีแหล่งเงินทุนไม่จำกัด และนั่น คุณต้องคว้าแชมป์ให้ได้ ถ้าทำไม่ได้ คุณก็จบ

29Q: คุณพูดถึงความมั่นคงและอดทน สมัยที่คุณยังคุมทีมโมนาโก คุณดูแปรปรวนง่ายกว่านี้นะ
A: ผมได้เติบโตขึ้น ผมไปญี่ปุ่น เรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเอง กระตือรือร้นเมื่อทำได้สำเร็จทีละนิดๆ ผมเริ่มงานคุมทีมเมื่ออายุ 33 และตอนนี้ผมอายุ 66 ปี เพื่อความอยู่รอด ผมต้องปรับตัว

30Q: มันมีผลกระทบต่อสุขภาพของคุณหรือเปล่าถ้าคุณไม่ได้ทำ
A: ไม่นะ ผมพร้อมจะสละสุขภาพตัวเองแบบโง่ๆ แต่การเอาตัวรอดในวงการนี้สิ เพราะผมรู้ดีว่าผมอาจสร้างความเสียหายที่กลับคืนมาไม่ได้ภายหลังจากการแข่งขัน

31Q: ช่วงเวลาที่ญี่ปุ่น ที่คุณคุมทีมนาโยกาแคมปัสเอจ ได้เปลี่ยนแปลงคุณอย่างลึกซึ้ง
A: ประธานของผม Shoichiro Toyoda ได้บอกผมว่า เขาฝันว่าจะทำให้ทีมนาโกยาเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นและในโลก ภายใน 100 ปี นั่นได้กำจัดความกดดันได้ทันทีอย่างมหัศจรรย์ ความพ่ายแพ้คืออะไรเมื่อคุณวางแผนอนาคตไว้ในหนึ่งศตวรรษ ผมคิดว่านั่นเป็นหลักการที่อารีย์มากๆ
การเป็นส่วนหนึ่งของความเปลี่ยนแปลงในหน้าประวัติศาสตร์ ที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวคุณ การเป็นส่วนหนึ่งของบางอย่างที่เหนือกว่าคุณ แต่ว่านะ เรามักอยู่กับความคิดที่ว่าโลกจะต้องหยุดรอบตัวเรา นี่ไม่ใช่มนุษยธรรม นี่คือรูปแบบของวิทยาศาสตร์ การเป็นผู้กุมโชคชะตาของมนุษยชาติที่กำลังพัฒนา ทุกวันนี้เราตั้งคำถามกับมัน

32Q: อย่างน้อยสักคนก็พูดได้ว่า...
A: นาโกยาตั้งคำถามเช่นกัน (หัวเราะ) หลังจากผมจากมา พวกเขาก็ไม่ได้ก้าวหน้าอะไรมากขึ้น อย่างที่ว่า ผ่านมาแค่ 20 ปีเท่านั้น อันที่จริงท่านประธาน Toyoda ได้กลับมาพบปะกับผมเพื่อขอคำแนะนำอยู่บ่อยๆ เดือนละครั้งโดยประมาณ ผมยังคงสนิทกับพวกเขา

33Q: ก่อนหน้านี้ ระหว่างที่รอคุณแต่งตัวสำหรับการถ่ายแบบ ผมได้หวนนึกถึงคำพูดของ Mircea Lucescu ผู้จัดการทีม Shakhtar Donetsk เกี่ยวกับคุณ "อาร์เซน เขาคือผู้ดี เขาไม่ได้ถูกผลักดันไปตามความคิดแบบใช้แรงงานอย่าง เซอร์ อเล็ก เฟอร์กูสัน หรือความก้าวร้าวอย่างโจเซ่ มูรินโญ่ เขาดูเป็นคนมีการศึกษาที่เหนือกว่า" คุณคิดว่านั่นได้สะท้อนตัวตนคุณหรือไม่
A: ผมไม่ปฏิเสธว่า ในขั้นแรก ผมเป็นผู้ใฝ่การศึกษา ในอีกทางหนึ่ง ผมไม่คิดว่าตัวเองเป็นผู้ดีอะไร ถ้าคุณอาศัยอยู่กับผม ผมโกยปุ๋ยคอกลงรถเข็น คุณจะเข้าใจ ผมพยายามที่จะซื่อสัตย์ต่อคุณค่าของสิ่งที่เห็นว่าสำคัญต่อชีวิตและส่งต่อให้กับผู้อื่น
30 ปีที่ได้คุมทีมมา ผมไม่เคยให้ผู้เล่นใช้ยากระตุ้นเพื่อให้เล่นได้ดีขึ้นเลย ผมภูมิใจในเรื่องนั้น ผมเคยแข่งกับหลายทีมที่ไม่ได้คิดในแบบเดียวกันนี้

34Q: ผู้ดี คือสถานะที่เป็น ไม่จำเป็นว่าต้องสืบทอดมา
A: ผมไม่รู้นะว่าคนอื่นจะนึกถึงแบบไหน แต่สำหรับผม ผมอยากจะเป็นชายจากบ้านนอกวิ่งไปตามท้องทุ่งนาทุกวัน และแน่นอน เหล่าผู้ดีจะโดนตัดหัว สิ่งที่ผมมุ่งมั่นคือการส่งผ่านด้านคุณค่า ไม่ใช่ส่งผ่านสายเลือด
อารยธรรมที่ไม่ให้เกียรติความตายหรือคุณค่า สุดท้ายจะหายสาบสูญไป

35Q: เอาล่ะ แน่นอน คุณอยู่ในอังกฤษ และคุณไม่ได้เป็นชาวนา คุณดูภูมิฐานมากเมื่อคุมทีมอยู่ข้างสนามวันแข่งขัน
A: เพราะผมรู้สึกว่าต้องตอบสนองต่อภาพลักษณ์ของฟุตบอล และภาพลักษณ์ที่ผมต้องการมีต่อสโมสร ในขณะเดียวกัน ฟุตบอลคือการเฉลิมฉลอง ที่ฝรั่งเศส เมื่อตอนผมยังเด็ก เราจะแต่งตัวดีๆกันในวันอาทิตย์ ผมชอบมากเมื่อมาที่อังกฤษแล้วพบว่าเหล่าผู้จัดการทีมต่างใส่สูทผูกไทด์กัน
ถ้าต้องพูดว่า "ฟังนะพวกนาย เป้าหมายเราคือทำให้ตอนนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง" ผมยึดมั่นกับสิ่งนั้น ผมอยากเป็นคนที่ตื่นขึ้นมาตอนเข้าและพูดกับตัวเองว่า "อาร์เซนอลมีแข่งวันนี้ล่ะ ฉันจะมีช่วงเวลาดีๆแน่นอน"
คนๆนี้เริ่มต้นวันใหม่โดยการบอกตัวเองว่าสิ่งดีๆกำลังจะเกิดขึ้น แล้วด้วยเหตุผลนี้ สโมสรใหญ่ๆต้องมีความทะเยอทะยานที่จะแสดงออกมา เพื่อที่จะแบ่งปันความสุข เราไม่ได้บรรลุผลเสมอไปหรอก

36Q: ช่วงเวลาดีๆที่เอมิเรตส์ ค่อนข้างแตกต่างจากช่วงเวลาดีๆที่ไฮบิวรี่ สนามเก่าของคุณ ใช่ไหม
A: ความคาดหวังกลายเป็นเรื่องสำคัญมากขึ้น ปรัชญาของความสุข คือ จุดที่สิ่งที่คุณต้องการกับสิ่งที่คุณมีนั้นสอดคล้องกัน แต่เมื่อใดที่คุณได้บรรลุสิ่งที่ต้องการแล้ว เมื่อนั้น คุณจะต้องการมากขึ้น ต้องการสิ่งที่ดียิ่งขึ้น จนถึงจุดที่ยากจะตอบสนองความพึงพอใจ เมื่อคุณจบตำแหน่งที่ 4 เหล่ากูนเนอร์จะบอกคุณว่า "เฮ้ เราจบที่ 4 มา 20 ปีแล้วเนี่ย เราต้องการเป็นแชมป์!"
พวกเขาไม่สนใจหรอกว่าทีมอย่างแมนเชสเตอร์ซิตี้หรือเชลซีได้ใช้เงินไปกว่า 300 ถึง 400 ล้านยูโร พวกเขาต้องการเอาชนะเท่านั้น แต่ถ้าสมมติคุณจบที่อันดับ 15 สักสองปี พวกเขาจะมีความสุขแน่เมื่อคุณได้อันดับ 4 ในปีถัดไป

37Q: ไม่ใช่แค่แฟนๆเท่านั้นที่ไม่อาจอดทนได้ แม้แต่เธียร์รี่ อองรี ยังพูดผ่าน Sky Sports ว่าอาร์เซนอล "ต้องชนะ" ต้องคว้าแชมป์ลีกในฤดูกาลนี้
A: "ต้อง" เป็นคำที่ใช้ได้สำหรับความตาย เรา "ต้อง" ตายสักวันหนึ่ง ผมชอบที่จะใช้คำว่า "อยาก" แทนคำว่า "ต้อง" อยากทำมากกว่าต้องทำ ถ้าคุณบอกผมว่า คุณต้องออกไปข้างนอกคืนนี้นะ ผมจะรู้สึกไม่ค่อยอยากออกไป ถ้าคุณถามผมแทนว่า อยากออกไปข้างนอกคืนนี้ไหม ได้เลย ผมอยากไป นี่ละชีวิตที่ควรจะเป็น ต้อง.. ต้อง.. ไม่มีอะไรที่ผม "ต้อง" ทำหรอก

38Q: อย่างน้อยก็จบลงด้วย...
A: สำหรับผม ความสวยงามของกีฬาคือทุกๆคนต้องการเอาชนะ แต่มันจะมีผู้ชนะได้เพียงหนึ่งเดียว คุณเอามหาเศรษฐี 20 คนมาเป็นเจ้าของสโมสรในอังกฤษดูสิ สุดท้ายก็มีแชมป์ได้เพียงคนเดียว และผู้ผิดหวัง 19 คน
ปู่ของผมเคยพูดว่า "ฉันไม่เข้าใจ ในการวิ่งแข่ง 100 เมตร มีคนหนึ่งทำเวลา 10.1 วินาที ในขณะที่อีกคนหนึ่งทำเวลาได้ 10.2 วินาที พวกเขาต่างเร็วทั้งคู่ แล้วจุดประสงค์คืออะไร" สรุปคือทั้งสองต่างวิ่งเร็วทั้งคู่ นี่เป็นอันตรายสำหรับวงการกีฬา
เรามาถึงจุดที่ เราชื่นชมคนที่ชนะโดยที่ไม่สนใจว่าจะชนะมาด้วยวิธีการใดหรือที่มาเป็นอย่างไร เราอาจเจอใน 10 ปีต่อมาว่าผู้ชนะคนนั้นโกง แล้วคนที่ได้ที่สองตอนนั้นละ เขาต้องผ่านอะไรมา ไม่เป็นที่จดจำใดๆ ไม่มีอะไรที่กล่าวถึงเขาเลย นั่นเป็นสิ่งที่น่าเสียใจ

39Q: คุณยึดมั่นในการเล่นแฟร์เพลย์ นั่นแสดงว่าคุณเป็นชาวอังกฤษเต็มตัว
A: ผมไม่ได้เล่นเกมแฟร์เพลย์เสมอไป เราแต่ละคน ล้วนมีความปรารถนาที่จะเอาชนะและเกลียดความพ่ายแพ้ ผมมีช่วงเวลาที่ต้องฝืนใจเล่นแฟร์เพลย์ เพราะความเกลียดความพ่ายแพ้ของผม แต่ก็พูดได้ว่า ผมเป็นผู้จัดการทีมคนเดียวที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกโดยไม่แพ้ใครเลย แต่ที่อังกฤษนั้นมีอะไรพิเศษสำหรับเรื่องแฟร์เพลย์ด้วย
ลองดูทีมรักบี้ที่ตกรอบแบ่งกลุ่มในบ้านตัวเอง แต่ก็ยังยืนตั้งแถวสดุดีให้กับทีมออสเตรเลียตอนที่ออกจากสนาม อย่างที่ผมบอก น่านับถือ คุณก็รู้ว่าพวกเขาต้องผ่านอะไรมา กล้ำกลืนความพ่ายแพ้ ต้องยอมรับว่านี่คือความสวยงามของกีฬาจริงๆ
สิ่งที่ผมชอบมากในกีฬาซูโม่ของญี่ปุ่น คือในตอนที่จบการแข่งขัน ผู้ชนะจะไม่แสดงอาการดีใจเพื่อเป็นการให้เกียรติคู่ต่อสู้ ผมได้ผ่านความพ่ายแพ้มากมาย ผมได้เห็นพฤติกรรมและการแสดงออกของแต่ละประเทศ และได้พบว่าวัฒนธรรมญี่ปุ่นในการแสดงออก หรือความสำนึกในคุณค่าของชาวอังกฤษ ล้วนแล้วแต่น่าจดจำ

40Q: ทำแบบไหนที่จะทำให้คุณเป็นชาวอังกฤษเต็มตัว
A: นี่คือประเทศแห่งจิตใจ ไม่เกรงกลัวที่จะแสดงอารมณ์ ที่อังกฤษ เราอาจพูดว่า "ฉันรักนี่จัง" นี่ละอารมณ์ของพวกเราต่างปกคลุมไปด้วยจิตวิญญาณแห่งคาร์ทีเซียนที่ครอบงำเรา ที่นี่ เราไม่รู้จักการรักแบบไม่มีขีดจำกัดหรอก เราชอบ PSG นะ แต่.. ชาวอังกฤษรู้วิธีปล่อยวางในอารมณ์ดี

41Q: อดีตนักฟุตบอลอาร์เซนอลหลายคนที่มีอาชีพบั้นปลายในประเทศอังกฤษ อย่างโรแบร์ ปิเรส ปาทริค วิเอร่า หรือ เธียร์รี่ อองรี คุณจะเป็นชาวลอนดอนตลอดไปไหม
A: ผมยังไม่ได้ตัดสินใจ ในตอนนี้ ความผูกพันของผมต่ออาร์เซนอลยังคงมีอยู่จนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต มีช่วงเวลาที่ผมมีโอกาสยกเลิกสัญญา (ข้อเสนอจากทีมอื่น) แต่ผมก็ปฏิเสธเสมอ ผมไม่คิดว่าตัวเองจะไปคุมทีมที่ไหนได้อีก

42Q: คุณแน่ใจนะ
A: เกือบจะแน่ใจ (หัวเราะ) ถ้าเกิดพรุ่งนี้ผมโดนอาร์เซนอลกล่าวขอบคุณและบอกลา ผมไม่สัญญาหรอกว่าผมจะไม่หางานอื่นทำต่อเพื่อสานต่อความหลงใหลของผม แต่มั่นใจได้ว่าไม่ใช่ในอังกฤษแน่นอน

43Q: ให้ความรู้ มากกว่าบริหาร
A: เหนือสิ่งอื่นใด ผมไม่ได้ต้องการที่เป็นผู้ฝึกสอน ที่ถูกจัดให้อยู่ในตำแหน่งที่ตรงกันข้ามกับความต้องการที่จะชนะ มันทำให้ผู้ฝึกสอนฟังดูงี่เง่านะ จุดเริ่มต้นของผู้จัดการทีมทุกคนคือความต้องการจะถ่ายทอด สิ่งที่งดงามในงานของเราก็คือสร้างแรงบันดาลใจในด้านบวกให้กับชีวิตคน
คุณ ก็เหมือนผม เรามีโอกาสที่จะพบผู้คนที่เชื่อมั่นในตัวเราและพาเราไปข้างหน้า ตามท้องถนนต่างเต็มไปด้วยผู้คนที่มีความสามารถ แต่พวกเขาไม่มีโอกาสค้นหาผู้ที่สามารถสร้างความเชื่อให้พวกเขาได้ ผมสามารถเป็นคนนั้น คนที่ให้การสนับสนุนและให้โอกาส

44Q: ระหว่างการแข่งขัน บนม้านั่งฝ่ายตรงข้าม เมื่อคุณต้องเผชิญหน้ากับผู้จัดการทีมที่สนใจแต่ผลการแข่งขันเท่านั้นไม่ว่าโดยวิธีใด
A: ตัวผมเรียกได้ว่าไร้เดียงสาในกรณีดังกล่าว ในทุกๆเหตุการณ์ มีหนทางเดียวที่แต่ละคนจะมีชีวิตไปตามทางของตัวเอง ความสอดคล้องกับคุณค่าที่คุณรู้สึกก็เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าผมไม่ได้ให้ความนับถือพวกเขา ผมคงจะไม่มีความสุข ไม่ว่าจะกรณีไหนก็ตาม ผมจะถูกมองว่าเป็นต้นเหตุ ทั้งด้านดีและด้านร้ายของผม

45Q: ถ้าคุณต้องเลือกช่วงเวลาหนึ่งในชีวิตการทำงานของคุณ
A: มารับงานที่ลอนดอนแล้วก็เผชิญกับความเคลือบแคลงใจ คว้าแชมป์แรก ดับเบิลแชมป์ครั้งแรก จาก "ใครคืออาร์แซน?" สู่คนที่กลายเป็นดั่งผู้บุกเบิก ผู้จัดการทีมต่างชาติคนแรกที่ประสบความสำเร็จในอังกฤษ

46Q: แล้วมีสิ่งใดที่คุณรู้สึกเจ็บปวดกับมันไหม
A: การถูกตั้งคำถามถึงสิ่งที่ได้ทำ ในความพ่ายแพ้ทุกๆครั้ง ถึงแม้ว่าเราได้ทุ่มเทเต็มที่กับงานอย่างสม่ำเสมอ ปฏิกิริยาตอบสนองอย่างกับว่าทุกอย่างพังทลาย ควรมีความสมดุลระหว่างความสามารถที่จะรับความเจ็บปวดในสิ่งที่คุณต้องอดทน กับความยินดีปลาบปลื้มของคุณต่อความสำเร็จ
ทุกวันนี้ ความอดทนต่อความเจ็บปวดนั้นสำคัญเกินกว่าการแสดงออกของผม ผมเข้าใจจุดนั้นดีและต้องทำหลายอย่างเพื่อให้ผ่านพ้นไปได้

47Q: นั่นคือเหตุผลที่คุณหลีกหนีจากสื่อ
A: แน่นอน คุณรู้จักใครไหมล่ะที่ตื่นมาตอนเช้าแล้วพูดว่า "เฮ้ ฉันอยากจะถูกฟาดสัก 50 ทีจัง"

48Q: อาร์แซน เวงเกอร์ พูดถึงความหลงใหลต่อนาฬิกา
A: ไม่เชิงเป็นความหมกมุ่น มันเป็นความสุข มันสามารถบ่งบอกถึงตัวตนของผู้สวมใส่ได้ นาฬิกาเป็นเครื่องประดับชิ้นแรกในชีวิตผม ในตอนนั้น ตอนที่คุณทำพิธีศีลจุ่มตอนอายุ 14 พ่อทูนหัวของคุณจะมอบนาฬิกาให้เป็นธรรมเนียม วันนั้นผมได้รับนาฬิกา Lip เป็นของขวัญชิ้นใหญ่อันแรก
มันบันทึกการก้าวผ่านชีวิตจากเด็กสู่ผู้ใหญ่ ผมเริ่มสูบบุหรี่ได้ถ้าผมต้องการ พ่อของผมไม่เคยบอกว่านั่นเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ ผมอยู่ในแวดวงสังคมผู้ใหญ่ เพราะผมคาดหวังว่าจะได้ทำงานใช้แรงงานเหมือนผู้ชาย มันเป็นแบบนั้นในแถบต่างจังหวัด ผมชอบมองดูนาฬิกาที่คนอื่นสวม มันเปิดเผยว่าคนๆนั้นเป็นอย่างไร สำหรับในการฝึกซ้อม ผมจะใส่นาฬิกา all -terrain ไม่ใช่อันที่ผมใส่มาวันนี้หรอก ผมจะเลือกใส่นาฬิกาให้เข้ากับเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่
นาฬิกาคือเครื่องประดับเดียวของผม

ที่มา http://www.getfootballnewsfrance.com/2015/arsene-wengers-entire-interview-from-lequipes-sport-style-magazine/

แปลโดย
บิทเทอร์ และ ปั้นโลมา
http://pantip.com/topic/34466597/
แก้ไขล่าสุดโดย Pablo Honey เมื่อ Fri Nov 20, 2015 23:25, ทั้งหมด 1 ครั้ง
โหวตเป็นกระทู้แนะนำ
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status: To Dare is To Do
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 06 Dec 2014
ตอบ: 748
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Fri Nov 20, 2015 23:23
[RE: "อาร์เเซน เวงเกอร์" ชีวิต ความตาย ฟุตบอล]
ยาวไป ค่อยอ่าน
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
คอมเมนเตเตอร์
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 08 Aug 2009
ตอบ: 33727
ที่อยู่: Architecture l KMITL
โพสเมื่อ: Fri Nov 20, 2015 23:26
[RE: "อาร์เเซน เวงเกอร์" ชีวิต ความตาย ฟุตบอล]
เป็นบทสัมภาษณ์ที่แฟนปืนทุกคนควรอ่านจริงๆครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแฟนๆรุ่นใหม่ แล้วจะรู้จักอะไรในตัวบอสขึ้นอีกเยอะมากกกกก
2
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออนไลน์
นักเตะเทศบาล
Status: ShitHappen
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 18 Dec 2009
ตอบ: 5504
ที่อยู่: TCC
โพสเมื่อ: Fri Nov 20, 2015 23:55
[RE: "อาร์เเซน เวงเกอร์" ชีวิต ความตาย ฟุตบอล]
อ่านจนจบ เป็นคนที่ยึดมั่นและวางตัวดีมากๆ
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะท้ายซอย
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 03 Apr 2009
ตอบ: 1192
ที่อยู่: กรุงเทพ
โพสเมื่อ: Sat Nov 21, 2015 01:06
[RE: "อาร์เเซน เวงเกอร์" ชีวิต ความตาย ฟุตบอล]
ในเหี่ยวกูเชื่อ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
ดาวซัลโวยุโรป
Status: Francis C.Xavier
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 01 May 2008
ตอบ: 11107
ที่อยู่: โรงเรียนสำหรับผู้มีพรสวรรค์
โพสเมื่อ: Sat Nov 21, 2015 01:12
[RE: "อาร์เเซน เวงเกอร์" ชีวิต ความตาย ฟุตบอล]
ผมด่าเจ๊ประจำ แต่ผมรักเจ๊นะคับ

0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะท้ายซอย
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 12 Aug 2015
ตอบ: 2063
ที่อยู่: ในความคิด
โพสเมื่อ: Sat Nov 21, 2015 02:29
[RE: "อาร์เเซน เวงเกอร์" ชีวิต ความตาย ฟุตบอล]
อ้างอิงจาก:
เมื่อคุณจบตำแหน่งที่ 4 เหล่ากูนเนอร์จะบอกคุณว่า "เฮ้ เราจบที่ 4 มา 20 ปีแล้วเนี่ย เราต้องการเป็นแชมป์!"  



อ่านไปเจออันนี้ ลั่น


0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
#พวกกูกลับมาแล้ว

Arsenal <3
ออฟไลน์
ดาวซัลโวยุโรป
Status: Searching heavens for another earth
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 14 Aug 2012
ตอบ: 54717
ที่อยู่: Fox River State Penitentiary. Joliet , Illinois.
โพสเมื่อ: Sat Nov 21, 2015 03:20
[RE: "อาร์เเซน เวงเกอร์" ชีวิต ความตาย ฟุตบอล]
ยาวมาก อ่านเพลินเลย

เป็นชายที่คลั่งใคล้ฟุตบอลสุดๆ และมีแนวความคิดเกี่ยวกับชีวิตที่น่าสนใจนะ

ปล รูปเท่มากบอส

0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะเทศบาล
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 09 Jun 2009
ตอบ: 3426
ที่อยู่: ~เหนือฟ้า ใต้พิภพ~
โพสเมื่อ: Sat Nov 21, 2015 07:02
[RE: "อาร์เเซน เวงเกอร์" ชีวิต ความตาย ฟุตบอล]
อ้างอิงจาก:
A: "ต้อง" เป็นคำที่ใช้ได้สำหรับความตาย เรา "ต้อง" ตายสักวันหนึ่ง ผมชอบที่จะใช้คำว่า "อยาก" แทนคำว่า "ต้อง" อยากทำมากกว่าต้องทำ ถ้าคุณบอกผมว่า คุณต้องออกไปข้างนอกคืนนี้นะ ผมจะรู้สึกไม่ค่อยอยากออกไป ถ้าคุณถามผมแทนว่า อยากออกไปข้างนอกคืนนี้ไหม ได้เลย ผมอยากไป นี่ละชีวิตที่ควรจะเป็น ต้อง.. ต้อง.. ไม่มีอะไรที่ผม "ต้อง" ทำหรอก  



ชอบท่อนนี้มากๆ
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
กำเนิดดาวรุ่ง
Status: Arsenal FC
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 21 Feb 2011
ตอบ: 162
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Nov 21, 2015 08:05
[RE: "อาร์เเซน เวงเกอร์" ชีวิต ความตาย ฟุตบอล]
"เฮ้ เราจบที่ 4 มา 20 ปีแล้วเนี่ย เราต้องการเป็นแชมป์!"
พวกเขาไม่สนใจหรอกว่าทีมอย่างแมนเชสเตอร์ซิตี้หรือเชลซีได้ใช้เงินไปกว่า 300 ถึง 400 ล้านยูโร พวกเขาต้องการเอาชนะเท่านั้น แต่ถ้าสมมติคุณจบที่อันดับ 15 สักสองปี พวกเขาจะมีความสุขแน่เมื่อคุณได้อันดับ 4 ในปีถัด
ตอนนี้มี 3 ทีมแล้วที่ได้รับความรู้สึกนี้ ไม่น่าเชื่อแต่ก็เกิดแล้วกับโคตรทีมเหล่านั้น
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักเตะตำบล
Status: #COYG
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 21 Oct 2008
ตอบ: 1387
ที่อยู่: ระหว่างใจ ~
โพสเมื่อ: Sat Nov 21, 2015 08:11
[RE: "อาร์เเซน เวงเกอร์" ชีวิต ความตาย ฟุตบอล]
เราก็บ่นบอสเยอะเหมือนกัน แต่เราก็รักบอสอยู่ดี

ไม่อยากคิดถึงวันที่บอสวางมือ คนที่มาสานต่อจะทำได้ดีแล้วอยู่กับทีมไปนานๆแบบนี้รึเปล่า
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
#AnunKamol ∞♡ #AndaLookkaew

ออฟไลน์
นักเตะเทศบาล
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 17 Sep 2013
ตอบ: 3621
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Nov 21, 2015 08:39
[RE: "อาร์เเซน เวงเกอร์" ชีวิต ความตาย ฟุตบอล]
อ่านแล้วอยากมีบอสแบบนี้
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอลลีกภูมิภาค
Status:
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 10 Nov 2013
ตอบ: 10030
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Sat Nov 21, 2015 09:27
[RE: "อาร์เเซน เวงเกอร์" ชีวิต ความตาย ฟุตบอล]
อ่านแล้วเหมือนเป็นศาตราจารย์ ดัมเบิ้ลดอร์ เลย เพียงแต่ในโลกลูกหนังเท่านั้นเอง
แก้ไขล่าสุดโดย maggilek เมื่อ Sat Nov 21, 2015 14:49, ทั้งหมด 1 ครั้ง
1
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ออฟไลน์
นักบอล ดิวิชั่น 1
Status: FCB
: 0 ใบ : 0 ใบ
เข้าร่วม: 08 Jan 2011
ตอบ: 6244
ที่อยู่: Camp nou
โพสเมื่อ: Sat Nov 21, 2015 11:33
[RE: "อาร์เเซน เวงเกอร์" ชีวิต ความตาย ฟุตบอล]
เวนเกอร์เป็นโค้ชที่เก่งที่สุด1ใน3ตลอดกาลสำหรับผมเลย ที่สำคัญทัศนคติที่ว่า เลือกที่จะสร้างรากฐานให้ทีมหลังจากที่โบกมือลาออกไป ดีกว่าคว้าแชมป์ภายใน5ปีแล้วทิ้งปัญหาไว้กับทีม แนวคิดนี้เป็นอะไรที่มันไม่ใช่แค่โค้ชฟุตบอลแล้วอะ แต่แกรักอาร์เซนอลจริงๆ อิจฉา เดอะกันเนอร์สมากกกกก
0
0
หากโดน 40 เรื้อน จะถูกแบน
ไปหน้าที่ 1
ไปที่หน้า
GO
ตั้งกระทู้ใหม่
กรุณาระบุเหตุผลที่จะแจ้งความ
ผู้ต้องหา:
ข้อความ:
Submit
Cancel
กรุณาเลือก Forum และ ประเภทกระทู้
Forum:

ประเภท:
Submit
Cancel