จากคุณหมอ
"ผมอยู่ข้างหลังคุณ" นะครับ
เลือกอ่านสเตตัสนี้แบบสบายตา ได้ที่บล็อกใหม่บล็อกนี้เลยจ้า
Blog No.9 : ในโลก(ที่ถูก)แบนและคนไทยยังไม่พร้อม
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=13-10-2015&group=19&gblog=9
(1) มันไม่ใช่ประเด็นที่ว่าทำไม ‘หนังเรื่องโน้น’ได้ฉายแต่เรื่องนี้ไม่ได้ฉาย เพราะหนัง ‘ทุกเรื่อง’ ควรได้ฉายโดยไม่ต้องถูกตัด ถูกเบลอ ภายใต้กฎหมายเรตติ้งที่จัดไว้แล้ว
(2) มันไม่ใช่ประเด็นที่ว่า ‘จัดเรตไปก็เท่านั้น’ เดี๋ยวพนักงานก็ไม่เอาจริงเดี๋ยวโรงหนังก็ไม่กวดขัน ฯลฯ เพราะประเด็นคือการเข้มงวดกับจริงจังในการทำตามกฎให้ได้ ไม่ใช่ยกเลิกกติกาที่สร้างขึ้นมา
(3) มันไม่ใช่เรื่องที่ว่า “พ่อแม่ยุคนี้ไม่มีเวลาเลี้ยงลูก ดังนั้นสังคมต้องช่วยกัน (ด้วยการเซ็นเซอร์)” เพราะสิ่งที่ควรเป็นคือสังคมต้องเพิ่มความตระหนักให้พ่อแม่ กระตุ้นให้พ่อแม่รับผิดชอบในภาระที่ควรทำ กระตุ้นให้พ่อแม่หาเวลาให้ลูกมากขึ้น
ซึ่งการจัดเรตนั่นคือสิ่งที่ทำดีแล้วตามนานาอารยประเทศพึงมี แล้วพ่อแม่ก็ต้องรู้จักใช้เรตนั้นให้เป็นประโยชน์
ไม่ใช่ถึงขั้นควบคุมหรือคัดกรองสื่อแบบที่อยากให้ประชาชนเสพ ซึ่งเท่ากับผลักหน้าที่ของพ่อแม่ไปให้สังคมหรือรัฐมาทำตัวผู้ปกครองแทน
แล้วยิ่งทำแบบนี้ ก็จะยิ่งทำให้กลายเป็นสังคมที่ผู้ใหญ่เชื่อฝังใจว่า หน้าที่บางอย่างที่ควรเป็นของพ่อแม่ คือ หน้าที่ของรัฐหรือผู้ใหญ่ในสังคมที่ต้องทำแทน
แล้วบ่อยครั้งที่มีคนพยายามเสนอเสรีภาพในการเสพสื่อ เสนอว่าไม่ต้องจำกัดรูปแบบให้สื่อมีแต่เชิงสั่งสอนศีลธรรมเพียงอย่างเดียว หรือมีคนพยายามจะบอกว่าเราโตๆกันแล้ว คิดเองได้ เลือกเองได้ ก็จะตามมาด้วยวลีสุดแคลสสิคว่า
"ก็คนไทยยังไม่พร้อม"
(4) มันไม่ใช่ประเด็นว่า “คนไทยไม่พร้อม” เพราะเท่าที่เห็นหรือลองกูเกิ้ลดู วลีนี้มักถูกใช้ในแทบทุกประเด็นที่โลกศิวิไลซ์แล้วเขามีกัน แต่เหมือนคนไทยยังอยู่ในโลกยุคกลางที่ยังไม่พร้อมจะทำตามเขา แล้วก็ไม่เคยพร้อมอะไรซักอย่าง
ทุกครั้งที่มีการใช้คำๆนี้คือการบอกถึงการสร้างสังคมแบบ Immaturity (ด้อยวุฒิภาวะ)
คือสังคมที่ต้องมีผู้ปกครองคอยดูแล คือสังคมที่คนอายุ 50 ถูกดูแลให้เสพสื่อไม่ว่าจะข่าวหรือหนังหรือละครเสมือนมีวุฒิภาวะเดียวกับเด็ก 5 ขวบ
แล้วก็บังเอิญที่ผู้ปกครองเต็มไปด้วยความกลัวโน่นกลัวนี่จะตามมา กลัวความเสียหาย กลัวความเจ็บปวด ฯลฯ เหมือนพ่อแม่ที่คิดว่าลูกไม่พร้อมจะเดินกลัวเดินแล้วจะล้ม ก็ยังอุ้มตลอดแม้จะเดินได้แล้ว
และสุดท้ายเด็กคนนั้นก็จะไม่มีวันโตอย่างมีวุฒิภาวะ หรือคนไทยก็จะไม่มีวันพร้อมกับอะไรเลย
(5) มันไม่ใช่ประเด็นที่ว่า ‘สื่อต้องเป็นบทเรียนสอนใจเสมอถึงจะมีคุณค่า เช่น ตอนจบคนดีต้องได้ดี คนชั่วต้องโดนลงโทษหรือจบด้วยการมีพระมาเทศน์ให้ข้อคิดสอนใจ’
สื่อแบบนี้อาจจะเหมาะในการสอนเด็กเล็กให้รู้จักทำดี เป็นกลวิธีหนึ่ง แต่เมื่อโตขึ้นมาถ้ายังปลูกฝังแต่วิธีคิดแบบนี้ก็เหมือนกับคนเสพสื่อยังคงเป็นเด็กเล็ก แล้วพวกเขาโตขึ้นก็จะปรับตัวไม่ได้กับความจริงที่ว่า
‘มีคนชั่วที่ได้ดี คนดีๆต้องพ่ายแพ้ มีความพยายามที่จบลงด้วยความล้มเหลวมีขยะซ่อนอยู่ใต้พรม มีความเลวร้ายในตัวบุคคลหรือองค์กรที่เราศรัทธา’
การรับรู้สิ่งเลวร้ายในสังคมไม่ได้แปลว่าซ้ำเติมให้สังคมแย่ลง มิหนำซ้ำการรับรู้เหล่านี้จะเป็นผลดีเสียด้วยซ้ำ
เพราะการรับรู้ว่าในชีวิตจริงยังมีคนชั่วที่ได้ดี มีคนดีๆต้องพ่ายแพ้ มีความพยายามที่จบลงด้วยความล้มเหลวมีขยะซ่อนอยู่ใต้พรม มีความเลวร้ายในตัวบุคคลหรือองค์กรที่เราศรัทธา
จะทำให้พวกเขาโตมาโดยไม่ได้มีศรัทธาแบบ blind faith
ทำให้เขารู้จักคอยตรวจสอบสังคม รับรู้ว่ามีความอยุติธรรมในสังคม มองมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตสีเทา
และรู้ว่ามีหลายเรื่องที่ไม่ได้เป็นดั่งกฎตายตัวเหมือนสุภาษิตสอนใจ ซึ่งเขาต้องเตรียมรับมือและต้องอดทนสู้กับมัน
(6) และถ้าประเด็นที่ต้องแบนสื่อในรูปแบบหนังหรือละครบางเรื่องโดยเข้าข่ายว่า‘ห้ามเผยแพร่ในราชอาณาจักร’ภายใต้เกณฑ์ที่ตั้งไว้ 6 ข้อ
คำถามที่ควรใคร่ครวญมีอยู่สองประเด็นคือ
6.1 เกณฑ์ทั้ง 7 ข้อนั้นจะใช้อะไรเป็นมาตรฐาน เช่นเกณฑ์ข้อหนึ่งที่ใช้แบนหนังมีคำว่า ‘สาระสำคัญของเรื่องเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์”
อะไรคือสาระที่สำคัญหรือไม่สำคัญในการมีเพศสัมพันธ์ที่จะตัดสินใจแบนหนัง ?
และ 6.2 ถ้าหนังต้องถูกแบนขึ้นมาเพราะจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสีย,เสื่อมศรัทธา,แตกความสามัคคีฯลฯ
ประเด็นก็คือหนังเรื่องนั้นมี power มากขนาดนั้นจริงๆชนิดที่เรียกว่าเหมือนหนัง propagandaแบบของนาซี หรือมันดูหมิ่นเหยียดหยามรุนแรงชนิด offensive กับคนส่วนใหญ่ในประเทศจริงๆ เป็นเหมือนระเบิดนิวเคลียร์ที่ยิงออกมาแล้วตายราบทั้งประเทศ
หรือเป็นเพียงหนังสติ๊กที่ยิงไปแล้วเจ็บๆคันๆแค่บางคน แต่ก็ดันกลัวว่ามันจะไปสั่นคลอนฐานที่ไม่มั่นคงอยู่แล้วให้ทรุดลง หรือมันไปกระทบความรู้สึกของคนไม่กี่คนที่มีอำนาจ จนต้องแบนมันเสีย แทนที่จะปรับปรุงองค์กรหรือเพิ่มภูมิต้านทานของตัวเองในการรับคำวิจารณ์ด้านลบ
ไม่งั้นมันก็จะเหมือนกับที่ตัวละครใน The Hunger games เคยบอกไว้แล้วว่า
“มันคงเป็นระบบที่เปราะบางมาก หากเบอรี่เพียงหยิบมือจะทำให้มันล่มสลาย.”
(7) มันน่าเบื่ออยู่ที่ว่า ไม่ว่าเราจะมีวิธีคิดอย่างไร คนในเน็ตจะแสดงความเห็นมากแค่ไหน จะมีการรวมตัวกันอีกกี่ครั้ง เราก็ยังวนอยู่ในลูปเดิมๆ
สิบกว่าปีที่ผ่านมา เรื่องแบบนี้ก็วนเวียนอีหรอบเดิมๆ เคยเขียนถึงแล้วก็ต้องเขียนถึงอีก ซึ่งก็มาจากวิธีคิดแบบ 5 ข้อข้างต้นและความคลุมเครือในข้อ 6 มันคือวิธีคิดที่ต่อเนื่องมายาวนานตั้งแต่สมัยเบลอนมชิซูกะ ฯลฯ
มันคือวิธีคิดภายใต้มาตรการที่มีผู้อำนาจในการคัดกรองสื่อให้ประชาชน พวกเขาเป็นคนเลือกให้
แล้วสุดท้ายเสียงบ่นในโลกออนไลน์ที่ไร้พาวเวอร์ก็จะจางหายไปตามกาลเวลา สุดท้ายหนังหรือสื่อก็จะยอมประนีประนอมปรับตัวเพื่อให้ได้ฉายภายใต้ชุดความคิดเดิมๆ
มันจึงเป็นประเด็นที่ว่า 'วิธีคิดแบบผู้ใหญ่ปกครองเด็ก+คนไทยไม่พร้อม' จะเป็นแบบนี้ไปอีกกี่รุ่น ?
กระบวนการเซ็นเซอร์สื่อ กระบวนการเน้นนำเสนอแต่สิ่งดีงามแล้วไม่พูดถึงเรื่องเลวร้าย กระบวนการที่ประชาชนอยู่ภายใต้การดูแลแบบเด็กๆ ที่เป็นอยู่นี้มันดีจริงๆหรือ?
วิธีการแบบนี้มันช่วยปกป้องให้วิชาชีพ ,หน่วยงาน,องค์กรฯลฯ มั่นคงหรือดีงามโปร่งใสขึ้นจริงๆหรือ?
แล้วมันทำให้สังคมไทยดีขึ้นจริงหรือ ?
แล้วถ้าไม่ , ในอนาคตเราในฐานะประชาชนจะมีสิทธิเลือกหรือไม่
ในอนาคตเราจะมีอำนาจมากพอในการเลือก ‘ใคร’ มากำหนดแนวทางการใช้ชีวิต หรือเลือก ‘วิธีคิด’ ใหม่ๆหรือเปล่า ?
่
สรุปให้หน่อยละกัน สำหรับคนที่ไม่สามารถอ่านอะไรยาวๆ ได้
- หนังทุกเรื่องควรได้ฉาย เพราะมีกฎหมายเรตติ้งอยู่แล้ว
- ถ้าจะบอกว่าจัดไปพนักงานไม่ตรวจขัน ก็ต้องคุมพนักงานให้เข้ม
- ถ้าจะบอกว่าพ่อแม่ไม่มีเวลาดูแล ก็ควรจะทำให้พ่อแม่ตระหนักได้แล้ว ว่ามันเป็นหน้าที่คุณที่ต้องดูแล
- ประเด็นคนไทยยังไม่พร้อม ถ้ายังพูดกรอกหูอยู่ทุกวัน แล้วเมื่อไหร่จะพร้อม
- สื่อสอนใจเป็นสื่อที่เหมาะสมสำหรับเด็ก อย่าปกปิดเรื่องราวไม่ดี เพราะสังคมมีเรื่องราวเหล่านี้อยู่เป็นปกติ
- ประเด็นการแบน มันไม่ชัดเจน และทำไมบางเรื่องถึงห้ามพูด ต้องชมทุกอย่างเลยใช่ไหม
- สุดท้าย เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ที่เพิ่งเป็นปัญหา แต่มันเป็นปัญหามานานแล้ว และไม่มีอะไรพัฒนาขึ้นเลย
ประมาณนี้มั้ง