ผู้ตั้ง
ข้อความ
เข้าร่วม: 06 Nov 2010
ตอบ: 8393
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Oct 14, 2015 1:27 am
คนไทยยังไม่พร้อม
จากคุณหมอ "ผมอยู่ข้างหลังคุณ" นะครับ

เลือกอ่านสเตตัสนี้แบบสบายตา ได้ที่บล็อกใหม่บล็อกนี้เลยจ้า

Blog No.9 : ในโลก(ที่ถูก)แบนและคนไทยยังไม่พร้อม

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=aorta&month=13-10-2015&group=19&gblog=9








(1) มันไม่ใช่ประเด็นที่ว่าทำไม ‘หนังเรื่องโน้น’ได้ฉายแต่เรื่องนี้ไม่ได้ฉาย เพราะหนัง ‘ทุกเรื่อง’ ควรได้ฉายโดยไม่ต้องถูกตัด ถูกเบลอ ภายใต้กฎหมายเรตติ้งที่จัดไว้แล้ว

(2) มันไม่ใช่ประเด็นที่ว่า ‘จัดเรตไปก็เท่านั้น’ เดี๋ยวพนักงานก็ไม่เอาจริงเดี๋ยวโรงหนังก็ไม่กวดขัน ฯลฯ เพราะประเด็นคือการเข้มงวดกับจริงจังในการทำตามกฎให้ได้ ไม่ใช่ยกเลิกกติกาที่สร้างขึ้นมา

(3) มันไม่ใช่เรื่องที่ว่า “พ่อแม่ยุคนี้ไม่มีเวลาเลี้ยงลูก ดังนั้นสังคมต้องช่วยกัน (ด้วยการเซ็นเซอร์)” เพราะสิ่งที่ควรเป็นคือสังคมต้องเพิ่มความตระหนักให้พ่อแม่ กระตุ้นให้พ่อแม่รับผิดชอบในภาระที่ควรทำ กระตุ้นให้พ่อแม่หาเวลาให้ลูกมากขึ้น

ซึ่งการจัดเรตนั่นคือสิ่งที่ทำดีแล้วตามนานาอารยประเทศพึงมี แล้วพ่อแม่ก็ต้องรู้จักใช้เรตนั้นให้เป็นประโยชน์

ไม่ใช่ถึงขั้นควบคุมหรือคัดกรองสื่อแบบที่อยากให้ประชาชนเสพ ซึ่งเท่ากับผลักหน้าที่ของพ่อแม่ไปให้สังคมหรือรัฐมาทำตัวผู้ปกครองแทน

แล้วยิ่งทำแบบนี้ ก็จะยิ่งทำให้กลายเป็นสังคมที่ผู้ใหญ่เชื่อฝังใจว่า หน้าที่บางอย่างที่ควรเป็นของพ่อแม่ คือ หน้าที่ของรัฐหรือผู้ใหญ่ในสังคมที่ต้องทำแทน

แล้วบ่อยครั้งที่มีคนพยายามเสนอเสรีภาพในการเสพสื่อ เสนอว่าไม่ต้องจำกัดรูปแบบให้สื่อมีแต่เชิงสั่งสอนศีลธรรมเพียงอย่างเดียว หรือมีคนพยายามจะบอกว่าเราโตๆกันแล้ว คิดเองได้ เลือกเองได้ ก็จะตามมาด้วยวลีสุดแคลสสิคว่า

"ก็คนไทยยังไม่พร้อม"

(4) มันไม่ใช่ประเด็นว่า “คนไทยไม่พร้อม” เพราะเท่าที่เห็นหรือลองกูเกิ้ลดู วลีนี้มักถูกใช้ในแทบทุกประเด็นที่โลกศิวิไลซ์แล้วเขามีกัน แต่เหมือนคนไทยยังอยู่ในโลกยุคกลางที่ยังไม่พร้อมจะทำตามเขา แล้วก็ไม่เคยพร้อมอะไรซักอย่าง

ทุกครั้งที่มีการใช้คำๆนี้คือการบอกถึงการสร้างสังคมแบบ Immaturity (ด้อยวุฒิภาวะ)

คือสังคมที่ต้องมีผู้ปกครองคอยดูแล คือสังคมที่คนอายุ 50 ถูกดูแลให้เสพสื่อไม่ว่าจะข่าวหรือหนังหรือละครเสมือนมีวุฒิภาวะเดียวกับเด็ก 5 ขวบ

แล้วก็บังเอิญที่ผู้ปกครองเต็มไปด้วยความกลัวโน่นกลัวนี่จะตามมา กลัวความเสียหาย กลัวความเจ็บปวด ฯลฯ เหมือนพ่อแม่ที่คิดว่าลูกไม่พร้อมจะเดินกลัวเดินแล้วจะล้ม ก็ยังอุ้มตลอดแม้จะเดินได้แล้ว

และสุดท้ายเด็กคนนั้นก็จะไม่มีวันโตอย่างมีวุฒิภาวะ หรือคนไทยก็จะไม่มีวันพร้อมกับอะไรเลย

(5) มันไม่ใช่ประเด็นที่ว่า ‘สื่อต้องเป็นบทเรียนสอนใจเสมอถึงจะมีคุณค่า เช่น ตอนจบคนดีต้องได้ดี คนชั่วต้องโดนลงโทษหรือจบด้วยการมีพระมาเทศน์ให้ข้อคิดสอนใจ’

สื่อแบบนี้อาจจะเหมาะในการสอนเด็กเล็กให้รู้จักทำดี เป็นกลวิธีหนึ่ง แต่เมื่อโตขึ้นมาถ้ายังปลูกฝังแต่วิธีคิดแบบนี้ก็เหมือนกับคนเสพสื่อยังคงเป็นเด็กเล็ก แล้วพวกเขาโตขึ้นก็จะปรับตัวไม่ได้กับความจริงที่ว่า

‘มีคนชั่วที่ได้ดี คนดีๆต้องพ่ายแพ้ มีความพยายามที่จบลงด้วยความล้มเหลวมีขยะซ่อนอยู่ใต้พรม มีความเลวร้ายในตัวบุคคลหรือองค์กรที่เราศรัทธา’

การรับรู้สิ่งเลวร้ายในสังคมไม่ได้แปลว่าซ้ำเติมให้สังคมแย่ลง มิหนำซ้ำการรับรู้เหล่านี้จะเป็นผลดีเสียด้วยซ้ำ

เพราะการรับรู้ว่าในชีวิตจริงยังมีคนชั่วที่ได้ดี มีคนดีๆต้องพ่ายแพ้ มีความพยายามที่จบลงด้วยความล้มเหลวมีขยะซ่อนอยู่ใต้พรม มีความเลวร้ายในตัวบุคคลหรือองค์กรที่เราศรัทธา

จะทำให้พวกเขาโตมาโดยไม่ได้มีศรัทธาแบบ blind faith

ทำให้เขารู้จักคอยตรวจสอบสังคม รับรู้ว่ามีความอยุติธรรมในสังคม มองมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตสีเทา

และรู้ว่ามีหลายเรื่องที่ไม่ได้เป็นดั่งกฎตายตัวเหมือนสุภาษิตสอนใจ ซึ่งเขาต้องเตรียมรับมือและต้องอดทนสู้กับมัน

(6) และถ้าประเด็นที่ต้องแบนสื่อในรูปแบบหนังหรือละครบางเรื่องโดยเข้าข่ายว่า‘ห้ามเผยแพร่ในราชอาณาจักร’ภายใต้เกณฑ์ที่ตั้งไว้ 6 ข้อ

คำถามที่ควรใคร่ครวญมีอยู่สองประเด็นคือ

6.1 เกณฑ์ทั้ง 7 ข้อนั้นจะใช้อะไรเป็นมาตรฐาน เช่นเกณฑ์ข้อหนึ่งที่ใช้แบนหนังมีคำว่า ‘สาระสำคัญของเรื่องเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์”

อะไรคือสาระที่สำคัญหรือไม่สำคัญในการมีเพศสัมพันธ์ที่จะตัดสินใจแบนหนัง ?

และ 6.2 ถ้าหนังต้องถูกแบนขึ้นมาเพราะจะนำมาซึ่งความเสื่อมเสีย,เสื่อมศรัทธา,แตกความสามัคคีฯลฯ

ประเด็นก็คือหนังเรื่องนั้นมี power มากขนาดนั้นจริงๆชนิดที่เรียกว่าเหมือนหนัง propagandaแบบของนาซี หรือมันดูหมิ่นเหยียดหยามรุนแรงชนิด offensive กับคนส่วนใหญ่ในประเทศจริงๆ เป็นเหมือนระเบิดนิวเคลียร์ที่ยิงออกมาแล้วตายราบทั้งประเทศ

หรือเป็นเพียงหนังสติ๊กที่ยิงไปแล้วเจ็บๆคันๆแค่บางคน แต่ก็ดันกลัวว่ามันจะไปสั่นคลอนฐานที่ไม่มั่นคงอยู่แล้วให้ทรุดลง หรือมันไปกระทบความรู้สึกของคนไม่กี่คนที่มีอำนาจ จนต้องแบนมันเสีย แทนที่จะปรับปรุงองค์กรหรือเพิ่มภูมิต้านทานของตัวเองในการรับคำวิจารณ์ด้านลบ

ไม่งั้นมันก็จะเหมือนกับที่ตัวละครใน The Hunger games เคยบอกไว้แล้วว่า

“มันคงเป็นระบบที่เปราะบางมาก หากเบอรี่เพียงหยิบมือจะทำให้มันล่มสลาย.”

(7) มันน่าเบื่ออยู่ที่ว่า ไม่ว่าเราจะมีวิธีคิดอย่างไร คนในเน็ตจะแสดงความเห็นมากแค่ไหน จะมีการรวมตัวกันอีกกี่ครั้ง เราก็ยังวนอยู่ในลูปเดิมๆ

สิบกว่าปีที่ผ่านมา เรื่องแบบนี้ก็วนเวียนอีหรอบเดิมๆ เคยเขียนถึงแล้วก็ต้องเขียนถึงอีก ซึ่งก็มาจากวิธีคิดแบบ 5 ข้อข้างต้นและความคลุมเครือในข้อ 6 มันคือวิธีคิดที่ต่อเนื่องมายาวนานตั้งแต่สมัยเบลอนมชิซูกะ ฯลฯ

มันคือวิธีคิดภายใต้มาตรการที่มีผู้อำนาจในการคัดกรองสื่อให้ประชาชน พวกเขาเป็นคนเลือกให้

แล้วสุดท้ายเสียงบ่นในโลกออนไลน์ที่ไร้พาวเวอร์ก็จะจางหายไปตามกาลเวลา สุดท้ายหนังหรือสื่อก็จะยอมประนีประนอมปรับตัวเพื่อให้ได้ฉายภายใต้ชุดความคิดเดิมๆ

มันจึงเป็นประเด็นที่ว่า 'วิธีคิดแบบผู้ใหญ่ปกครองเด็ก+คนไทยไม่พร้อม' จะเป็นแบบนี้ไปอีกกี่รุ่น ?

กระบวนการเซ็นเซอร์สื่อ กระบวนการเน้นนำเสนอแต่สิ่งดีงามแล้วไม่พูดถึงเรื่องเลวร้าย กระบวนการที่ประชาชนอยู่ภายใต้การดูแลแบบเด็กๆ ที่เป็นอยู่นี้มันดีจริงๆหรือ?

วิธีการแบบนี้มันช่วยปกป้องให้วิชาชีพ ,หน่วยงาน,องค์กรฯลฯ มั่นคงหรือดีงามโปร่งใสขึ้นจริงๆหรือ?

แล้วมันทำให้สังคมไทยดีขึ้นจริงหรือ ?

แล้วถ้าไม่ , ในอนาคตเราในฐานะประชาชนจะมีสิทธิเลือกหรือไม่

ในอนาคตเราจะมีอำนาจมากพอในการเลือก ‘ใคร’ มากำหนดแนวทางการใช้ชีวิต หรือเลือก ‘วิธีคิด’ ใหม่ๆหรือเปล่า ?






สรุปให้หน่อยละกัน สำหรับคนที่ไม่สามารถอ่านอะไรยาวๆ ได้

- หนังทุกเรื่องควรได้ฉาย เพราะมีกฎหมายเรตติ้งอยู่แล้ว

- ถ้าจะบอกว่าจัดไปพนักงานไม่ตรวจขัน ก็ต้องคุมพนักงานให้เข้ม

- ถ้าจะบอกว่าพ่อแม่ไม่มีเวลาดูแล ก็ควรจะทำให้พ่อแม่ตระหนักได้แล้ว ว่ามันเป็นหน้าที่คุณที่ต้องดูแล

- ประเด็นคนไทยยังไม่พร้อม ถ้ายังพูดกรอกหูอยู่ทุกวัน แล้วเมื่อไหร่จะพร้อม

- สื่อสอนใจเป็นสื่อที่เหมาะสมสำหรับเด็ก อย่าปกปิดเรื่องราวไม่ดี เพราะสังคมมีเรื่องราวเหล่านี้อยู่เป็นปกติ

- ประเด็นการแบน มันไม่ชัดเจน และทำไมบางเรื่องถึงห้ามพูด ต้องชมทุกอย่างเลยใช่ไหม

- สุดท้าย เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ที่เพิ่งเป็นปัญหา แต่มันเป็นปัญหามานานแล้ว และไม่มีอะไรพัฒนาขึ้นเลย

ประมาณนี้มั้ง


เราเล่าหนัง: https://goo.gl/grOQ6i
เข้าร่วม: 04 Sep 2013
ตอบ: 5526
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Oct 14, 2015 1:33 am
[RE: คนไทยยังไม่พร้อม]
ยาวอ้ะ
0
0
เข้าร่วม: 01 Feb 2009
ตอบ: 16420
ที่อยู่: on board
โพสเมื่อ: Wed Oct 14, 2015 1:37 am
[RE: คนไทยยังไม่พร้อม]
อ่าน 2 รอบ แล้วยังงง

ไว้กลับมาอ่านใหม่พรุ่งนี้
0
0
เข้าร่วม: 12 Oct 2010
ตอบ: 18066
ที่อยู่: Thammasat Rangsit
โพสเมื่อ: Wed Oct 14, 2015 1:38 am
[RE: คนไทยยังไม่พร้อม]
สงสัยง่วง ตาลัย
0
0


เข้าร่วม: 14 Nov 2013
ตอบ: 4032
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Oct 14, 2015 1:42 am
[RE: คนไทยยังไม่พร้อม]
0
0
วิธีเล่นบอลสไตล์เกาหลี

เข้าร่วม: 02 Mar 2010
ตอบ: 4739
ที่อยู่: ทับแก้ว
โพสเมื่อ: Wed Oct 14, 2015 1:48 am
[RE: คนไทยยังไม่พร้อม]
หมอแกกลับมาเขียนบล็อกแล้วสินะครับ
0
0

เข้าร่วม: 06 Nov 2010
ตอบ: 8393
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Oct 14, 2015 1:49 am
[RE: คนไทยยังไม่พร้อม]
VodkaMartini พิมพ์ว่า:
หมอแกกลับมาเขียนบล็อกแล้วสินะครับ  


ใช่ครับ หายไปนานเลย


เราเล่าหนัง: https://goo.gl/grOQ6i
เข้าร่วม: 10 Jan 2011
ตอบ: 8092
ที่อยู่: CNX
โพสเมื่อ: Wed Oct 14, 2015 1:51 am
[RE: คนไทยยังไม่พร้อม]
ถ้าไม่แบนหนังก็ไม่เป็นกระแสนะ

เอาตรงๆ

แบนแต่ละทีทำหนังเป็นกระแสเลย

0
0
เข้าร่วม: 11 Jul 2010
ตอบ: 29646
ที่อยู่: C05
โพสเมื่อ: Wed Oct 14, 2015 1:53 am
[RE: คนไทยยังไม่พร้อม]
คำว่าพร้อมมันไม่มีอยู่จริง มันเป็นนามธรรมมากๆ อยากจะให้คนไทยเติบโตทางวุฒิภาวะก็ต้องให้อยู่กับโลกของความจริง ไม่ใช่โลกที่ต้องมีคนมาคอยเซ็นเซอร์นมชิซูกะให้ตลอดทั้งชาติ


เข้าร่วม: 31 Jan 2014
ตอบ: 9695
ที่อยู่: บนต้นไม้
โพสเมื่อ: Wed Oct 14, 2015 1:58 am
[RE: คนไทยยังไม่พร้อม]
เอาไงดี

เหมือนเค้าบอกว่า รับไม่ได้ที่เด็ก พูด มึง-กู กัน แต่หารู้ไม่เด็กก็เลียนแบบมาจากคุณมึงนี่แหละ
0
0

Spoil
 
เข้าร่วม: 02 Nov 2008
ตอบ: 1625
ที่อยู่: โพรงข้างต้นสะแบง
โพสเมื่อ: Wed Oct 14, 2015 5:03 am
[RE: คนไทยยังไม่พร้อม]
ถ้าเป็นหนังจัดเรต โรงหนังก็คัดคนดูตามเรต จบปิ๊ง....
แต่โรงหนังลูกค้าหลักมันคือเด็ก ๆ วัยรุ่นเป็นส่วนใหญ่ ถ้าเป็นหนัง 18+ หรือ 20+ ลูกค้าก็หายไป....รายได้ก็หายไปด้วย


และท่านผู้มีศึลธรรมสูงส่งท่านเป็นห่วงชาวเรา
คิดว่าคนดูจะแยกไม่ออกดี-ชั่ว เลยไม่ให้เห็นความชั่วในหนัง เพราะคนจะทำความชั่วเหมือนในหนัง....เจริญล่ะพ่อ
0
0
เข้าร่วม: 27 Sep 2008
ตอบ: 556
ที่อยู่:
โพสเมื่อ: Wed Oct 14, 2015 5:44 am
[RE: คนไทยยังไม่พร้อม]
ปัญหาของคนแก่ไดโนเสาร์ในประเทศเราในตอนนี้คือ ไม่ยอมรับว่าปัญหามีอยู่ เอาซุกใว้ใต้พรมแล้วหลอกตัวเองว่า ประเทศเราดียังนู้นยังนี้ ปัญหามันก็ยังอยู่ตรงนั้นไม่หายไปซักที

ต้องเฝ้าคอยให้ไดโนเสาร์หมดอำนาจไป แล้วคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้สืบทอดเจตนารมณ์ของไดโนเสาร์เข้ามาแทน
0
0
เข้าร่วม: 17 Aug 2006
ตอบ: 413
ที่อยู่: สมุทรปราการ
โพสเมื่อ: Wed Oct 14, 2015 5:58 am
[RE: คนไทยยังไม่พร้อม]
หลังอ่านจบก็คิดอยู่ในใจว่า คนไทยไม่พร้อมจริงๆหรือเปิดใจยอมรับความจริงไม่ได้
0
0



เข้าร่วม: 19 Jan 2007
ตอบ: 5639
ที่อยู่: Carrington & Old Trafford
โพสเมื่อ: Wed Oct 14, 2015 3:17 pm
[RE: คนไทยยังไม่พร้อม]
ใครก็ดั้ยอ่านให้ผมฟังทีคับบบ
0
0


No.1 of EPL Glory Glory MUTD