เหมือนมู้ข่าวใน ss ไงครับ

ชอบพาดหัวดัก แบบ"ลูคัสยัน ย้ายแน่นอนซัมเมอร์นี้"

แต่จริงๆเป็นลูคัสไหนก็ไม่รู้ ทีมไหนก็ไม่รู้

มองว่าเป็นสีสันก็ได้ มองว่าเป็นหลอกคนอ่านก็ได้

ป.ล. แต่ผมมองว่าเป็นสีสันนะ ทั้งมู้ssและทีเซอร์สับขาหลอก

ผมว่ามันทำให้เกิดผลเสียคือ ทำให้คนที่ไม่ชอบหนังเรื่องนั้นที่ทีเซอร์หลอกให้เราคิดว่านี่แหละหนังแนวที่เราชอบ พอเข้าไปดูแล้วกลายเป็นอีกแนวที่เราไม่ชอบสุดท้ายหนังโดนด่า

เหมือนเรื่องsuper 8โอ้โหในทีเซอร์ที่โคตรลึกลับพอมาดูจริงนี่มันหนังเอเลี่ยนดราม่าครอบครัวนี่หว่า

ส่วนเรื่องฟรีแลนซ์ผมว่าเค้าใช้ชื่อค่ายในการดึงคนมาดูเพื่อให้ได้กำไรนั่นแหละ

ผมว่ามันเป็นผลเสียมากกว่าดีนะ เอาง่ายๆ แบบชาวบ้านทั่วไป เจอตัวอย่างหนังแบบที่ปล่อยออกมาก็คิดแล้วว่ามันต้องเป็นหนังรอมคอมแน่ๆ (ผมยังคิดเลย และยังคิดในใจว่า เฮ้ย! น่าดูว่ะ) และไม่ได้สนใจว่า เต๋อ นวพล คือใครหรอก (คือคนมันจะรู้มั้ยว่าหนังมันจะเป็นแบบนี้)

สรุปมันก็คือหลอกด้วยตัวอย่างหนังกลายๆ นั่นแหละ คนดูไม่มีทางรู้จนกว่าจะเสียตังค์ดู (ดีนะตรูอ่านสปอยล์ )

ผมว่าคนดูหนังทั่วไปเขาอยากดูเผื่อผ่อนคลาย ตามแนวที่เขาอยากดูมากกว่านะครับ
ถ้าต้องไปดูอะไรที่มันขัดกับสิ่งที่คิดมันก็ไม่ใช่
อีกอย่างถ้าอยากดูหนังแล้วต้องไปศึกษาสไตล์ของผู้กำกับแต่ละคน มันก็ไม่ใช่เรื่องนะครับ

แปลกดีที่คนเราก่อนจะเลือกซื้ออะไรต้องพิจารณาให้ดีก่อนที่จะซื้อ ต้องถามเพื่อน ต้องดูรีวิว หรือต้องหาฟีดแบค

ต้องเวลาจะดูหนังกลับไม่ศึกษาอะไรเลย คือก็เงินคุณไหม คุณบอกว่าคุณเสียดายตัง แต่ทำไมก่อนที่คุณจะตัดสินใจซื้อตั๋วทำไมคุณไม่ลองศึกษาดูก่อนล่ะ

สุดท้ายก็มาบ่นว่าตัวเองโดนหลอก ไม่อยากจะบอกว่าก็คุณไม่ดูตาม้าตาเรือเอง โลกอินเตอร์เน็ตแสนกว้างใหญ่ไพศาลแต่ก็ยังปิดตา แล้วชี้นิ้วโทษผู้อื่น

ฉะนั้น เงินคุณ จะลงทุนอะไรก็ศึกษามันซักหน่อยดีกว่า เดี๋ยวจะโดนหลอกไม่รู้ตัว

ใช้ชื่อค่ายจริงๆ

เราเอาความง่ายเข้าว่าครับ อย่างเวลาจะซื้อของซักชิ้น ทรัมป์ไดรฟ์อันระไม่กี่ร้อย

ถามจริง เราก็ศึกษาปะ ว่ายี่หอไหนดีไหนทน

ถ้าเปรียบกับหนังก็เช่นกัน ผมเข้าโรงดูหนังทุกเรื่องไม่นับตอนเด็ก ตั้งแต่มีโลกอินเตอร์เน็ตเข้ามา ผมศึกษานะว่าหนังใคร หนังมีแนวว่าทิศทางจะไปทางไหน ควรคาดหวังไว้ประมาณไหน ออกจากโรงผมจึงไม่เคยรู้สึกเสียดายเงินในการตีตั๋วเลยแม้แต่น้อย

ไม่รู้สิ คนเรายังมีเวลานั่งเล่นเฟส นั่งแต่งภาพตั้งนมนาน ถ้าจะเข้าเน็ตไปศึกษาหนังที่จะดูก่อนเข้าโรง ผมว่ามันคงไม่ทำให้เสียเวลาเสียสายตาซักเท่าไหรหรอก หรืออาจเพราะเราแค่

เอาง่ายเข้าว่า

ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับบริษัททำหนังของไทยเลยนะ เลยไม่รู้ว่าทำแบบชาวบ้านที่โปรๆหน่อยไหม

แต่ถ้าเป็นต่างประเทศตัวอย่างหนังส่วนใหญ่จะใช้บริษัทนอกทำครับ จะไม่เป็นตัวเดียวกับตัดต่อสุดท้ายโดยสตูดิโอ
คือฝ่ายอำนวยการผลิต บริษัทถ่ายทำ โปรดิวอะไรพวกนี้หมดน่าที่หมดละ เค้าก็จะไปหาพวกตัดต่อตัวอย่างอีกที
แต่ถ้าผู้กำกับเก่งๆ ทีมงานเก่งๆก็ทำเองเลย ถ้าไม่ทำก็ไปจ้างเอา
ยกตัวอย่างนะ บริษัท wildcard เนี่ยหนังต่างประเทศยักษ์ๆจ้างตัดเยอะมาก ผลงานตามลิ้งค์ http://www.wildcardav.com/campaigns
เพราะบริษัทนี้ตัดตัวอย่างได้ดึงดูดสุดละ ทำหนังกากๆให้กลายเป็นเทพมาเยอะ หนังเทพๆหลายเรื่องก็จ้างตัด
เอาง่ายๆ ล่าสุดเลยตัด TOMORROWLAND ให้น่าดูขนาดไหนคิดดู อันนี้พูดถึงการทำงานนะ

ตัดตัวอย่างคนละเรื่องกับหนัง นี่มันไม่ใช่เรื่องรู้เท่าทันสื่อ หรือวิจารณญาณไอ้พวกศัพท์หรูๆอะไรพวกนี้แล้ว
คือมึง-หลอก-กู จะให้คนดูไปค้นหาประวัติผู้สร้างลึกถึงเกรดวิชาเพิ่มเติมสมัยเรียนเลยเหรือเปล่า ใครจะไปสนใจว่าเอ็งเป็นใคร
เพราะไม่มีหนังเรื่องไหนเผยเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบหรอก แน่นอนว่าคนซวยคือผู้บริโภคเต็มๆ

ผมนับถือ woody allen ในฐานะคนทำงานนะ เพราะไอ้ลุงนี่อยู่กับหนังตั้งแต่ต้นจบจบ ไม่เคยเห็นหนังของลุงแกตัดตัวอย่างหลอกใคร
ขายได้บ้าง เจ๊งบ้าง ก็เอาตามมีตามเกิด แต่จริงใจกับคนดูล้วนๆ

Creative Advertising ยุคเก่าๆมันหายไปหมดแล้ว ไม่เชื่อลองไปคนหาหนังยุค 80-90 ที่ชอบสักเรื่องแล้วหาตัวอย่างดู อย่าง Fight club หนังติสท์จะตาย ไม่เห็นมันจะตัดหลอกเลย จบกันวิชาที่ร่ำเรียนมา ต้องมาเจอความโลภของสื่อที่หนักขึ้นทุกวัน

ว่าแต่ทำไมผมพิมพ์ๆไปคิดถึงเรื่อง The Truman Show แปลกๆ มันสะท้อนอะไรบางอย่างจากการตัดตัวอย่างหนังสั่วๆหลอกคนดูเหมือนกัน

เทรลเลอร์ไม่ตรงกับหนังไม่เท่าไหร่ ดีกว่าหนังไม่ตรงปก

เอาง่ายๆพี่มากพระขโนง เป็นหนังพี่ตลกที่ผมน้ำตารินเลยครับตอนออกจากโรง ซึ่งเรื่องนี้ผมเลยไม่ดู

ทั้งเสียเวลา ทั้งเสียแรง

จะเปลี่ยนก็ไม่ได้ หมดอารมณ์ บิ้วตั้งนาน

ดูหนังนะครับพี่ จะให้ไปหาสปอยก่อนดูว่างั้น

เอาจิงไม่ชอบแนวนี้อยากพาแฟนไปดูตอนแรก โอเค จบ......

รีวิวแบบไม่สปอยล์ก็มี หรือหาไม่ได้เหรอ

เนอะ มีเวลาแต่งภาพนมตั้งนาน

ผญ ในเฟสผมบ่นกันระงม ทีแต่งนม บีบหน้า ลบสิว ยืดขา รูปนึงบางที ครึ่ง ชม. อย่างต่ำทำได้ แต่กับไปดูแนวทางหนัง ที่มากกว่าตัวอย่างกับบอกว่าไม่ใช่เรื่อง งั้นตังมรึงก็เรื่องของมรึงเถอะ

1. ก่อนดูหนังทุกเรื่อง ผมอ่านรีวิว + feedback จากคนดูส่วนนึงก่อนทุกครั้ง เพราะกลัวเสียดายตังค์

ทำให้ผมไม่ได้อยู่ในส่วนนึงของคนที่จะออกมาโวยเรื่อง trailer ไม่ตรงกับหนังอันนี้

(และผมสรุปได้ว่า คงไม่ไปดูหนังเรื่องนี้ละ..เพราะเหมือน feedback ออกมาไม่ค่อยดี )


2. แต่กับกรณี trailer หลอกคนดู (ตามที่อ่านคร่าวๆมานะ ผมยังไม่ได้ดูหนัง) ผมก็มองว่าค่ายหนังทำไม่ถูกนะ..

นี่มันคือการหลอกลวงผู้บริโภคอย่างนึงนะ..มันไม่ใช่การโฆษณาบอกว่าหนังดีน่าไปดู แต่สุดท้ายกลับไม่ค่อยดี

เพราะแบบนั้นพอจะอนุโลมได้ว่ามันคือการโฆษณา ซึ่งก็ต้องบรรยายสรรพคุณเกินจริงอยู่แล้ว

แต่กับกรณีนี้ (ถ้าผมอ่านมาแล้วเข้าใจไม่ผิด) มันคือการโฆษณาบอกว่าหนังเป็นแนวนึง แต่พอเข้าไปดูกลับออกมาอีกแนวนึง

เหมือนโฆษณาผงซักฟองซักมือ แต่แกะกล่องออกมาดันเป็นแบบใช้ซักเครื่องแบบนั้นอ่ะ..

ซึ่งแน่นอนมันก็ยังซักได้ แต่คนซื้อมันก็ผิดหวังแหละ (ตอนกรูซื้อไม่ได้อยากซื้อแบบนี้ซักหน่อย)

คนทุกคนไม่ได้เข้า internet กันทุกวัน มันต้องมีกลุ่มใหญ่ๆกลุ่มนึง เห็น trailer ทาง TV

หรือแค่ตัวอย่างก่อนหนังฉาย แล้วถึงตัดสินใจซื้อตั๋วเรื่องนี้เข้ามาดู..ซึ่งแน่นอนว่าเค้ารู้สึกเหมือนถูกหลอก..


ก็ต้องถามกลับไปค่ายหนังว่า จุดประสงค์คืออะไร??..มันคุ้มค่ากันรึเปล่ากับผลตอบรับแบบนี้??

จริงๆทำ trailer ให้มันตรงกับแนวหนังแล้วก็ยังคงความน่าไปดู ก็ทำได้ไม่ใช่หรอ?? ทำไมไม่ทำ??

แนวคิดนี้ไม่ถูกซักทีเดียวนะครับ คนดูหนังไม่ใช่มีแค่วัยรุ่นๆนะ
วัยลุงๆป้าๆที่ไม่รู้จักอินเตอร์เน็ตก็มี อย่างลุงผม แก่เห็นทริลเลอร์ในทีวี แกก็ไปดู
แกก็มาบอกไม่ใช่หนังรักเหมือนในโฆษณา แกจะไปดูคลายเครียดก็เป็นยิ่งเครียดเลย

คนดูหนังสำหรับผมไม่เห็นจำเป็นต้องไปอ่านรีวงรีวิวเลย
เห็นตัวอย่างน่าดูแล้วมันถูกจริตก็ไปแล้ว

มันมีหลายวัยที่ไปดูหนัง trailer มันเลยเปนส่วนเหมือนทางเปิดที่จะไปดูหนัง
คนส่วนใหญ่เขาไม่สนใจหรอก(ก่อนดูหนัง) เขาก็หวังจาก trailer ทั้งนั้นละว่านั้นจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ หรือ trailerหนังฝรั่ง เขาก็สนใจตรงนี้ก่อนไปดูทั้งนั้น
เช่น สมมุติ suicide squad trailer ออกไปแลัว แต่เนื้อหนัง มันเป็น feel good
คุณว่าคนดูจะคิดยังไง? คนดูก็หวังอีกทางเลยจากtrailerแล้ว
trailer โคดจะเกี่ยวเลย
ส่วน feedback มันอีกเรือง ที่จะให้กระแสด้านไหนก็ว่าไป

เห็นด้วยนะครับ แต่ก็นั่นแหละครับ ถ้าคุณลุงแก่ๆ ป้าๆ อยากดูหนังแล้วตัดสินใจไปเลย เพราะตัวอย่างหนัง หรือหน้าหนัง โดยไม่ถามคนรู้จัก หรือลูกหลานก่อน ผมว่าลุงแก่ๆ ป้าๆ ก็ต้องยอมรับได้นะครับ ถ้าหนังมันจะไม่ได้เป็นไปอย่างที่หน้าหนังเป็น ผมคิดว่าลุงแก่ๆ ป้าๆ เค้าคงผ่านโลกมาเยอะ รู้ว่าเทรลเลอร์หลอกก็บ่อย (และนี่ก็ไม่ใช่เหตุการณ์ครั้งแรก)

ไม่รู้ดิ ผมว่าจะแก่แค่ไหนไม่สำคัญนะ สำคัญที่เราจริงจังแค่ไหนมากกว่า ถ้ากลัวเสียดายเงินมาก ก็ต้องระวังตัวเองให้ดี ถ้าไม่เสียดายเงิน คิดว่าเงินร้อยกว่าบาทมันเรื่องเล็กน้อย ก็ไม่ต้องคิดไรมาก ทำตามใจเลย

แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่าค่ายหนังทำถูกนะ แค่โลกจริงมันเป็นอย่างนี้ เค้าก็ต้องอยากได้กำไร และคิดว่าไม่ได้มีจรรยาบรรณของนักทำหนังข้อไหนที่บอกว่า ให้ทำเทรลเลอร์ออกมาให้ตรงกับความจริงที่สุด หรืออาจจะมีก็ได้

การดูหนังซักเรื่องมันจะต้องยุ่งยากขนาดนั้นเชียวรึครับ
ที่จะต้องไปไล่เที่ยวถามคนนุ้นทีคนนั้นที ว่าเป็นไงหนังสนุกไหม
เกิดเค้าไม่รู้ไปถามมากก็กลายเป็นรำคาญได้
อยากดูก็ดูไม่ดูก็ไม่ดู การจะทำทริลเลอร์แบบนี้
ก็ต้องรับกับฟีดแบ๊คที่จะตอบกลับมาให้ได้ก็แค่นั้น

ส่วนเรื่องโดนหลอกจากทริลเลอร์น่าจะเป็นเรื่องแรกนะครับ
ที่ทริลเลอร์เป็นอีกแนวแล้วตัวหนังเป็นอีกแนว

ความเห็นของผมแค่นี้แหละครับ

นั่นแหละครับ อย่างที่ผมบอกไป ถ้าคิดว่ามันยุ่งยากก็ต้องรับผลมันให้ได้

ส่วนอันนี้ตัวอย่างหนังที่ Trailer กับหนังไม่ใช่แนวเดียวกันครับ

http://whatculture.com/film/10-famous-movies-whose-genres-everybody-always-seems-get-wrong.php

ส่วนมากเป็นหนังเก่าๆทั้งนั้นเลยนะครับ
แบทแมนผมว่าไม่หลอกเท่าไหร่ นอกจากมันจะหักไปเป็นแฟนตาซีจ๋าแบบแบทแมนยุคก่อน

ผมว่าประเด็นเรื่องนี้กำลังจะเปลี่ยนไปนะ

คือกลายเป็นว่า เราให้ความสำคัญกับสินค้าที่ชื่อ"หนัง"มากน้อยแค่ไหน

เราพร้อมจะลงทุนหาข้อมูลก่อนซื้อสินค้าหรือไม่

ที่แน่ๆ ต่อจากนี้ไป การให้คะแนนหนังว่าได้เท่าไหร่เต็ม10 ต้องมีส่วนสำหรับทีเซอร์แน่นอน



ในมุมมองของผม ผมว่านี่เป็นนิมิตรหมายที่ดีสำหรับวงการหนังไทยนะครับ

เพราะจะได้รู้ไปเลยว่า

-คนไทยชอบทีเซอร์แบบไหน
-คนไทยชอบหนังแบบไหน

(เพราะเรื่องนี้โปรโมตเยอะ ค่ายคงหวัง100+แน่ๆ )

ผมเห็นด้วยกับบทความที่ จขกท เอามาลงนะ
ค่ายหนังทำไม่ถูกก็จริง แต่คนที่ไปดูแล้วผิดหวังก็คือคนที่คิดไปเองทั้งนั้น
จะมาบอกว่า ก็แค่อยากดูหนังเรื่องนึงทำไมต้องหาข้อมูลมากมาย ขี้เกียจทำ
งั้นก็ต้องยอมรับผลไปซะนะ ถ้าหนังไม่ถูกใจเพราะ มันก็แค่หนังเรื่องนึง
ที่เราเสียเงินไปดูแล้วไม่ชอบใจ จะไปคิดอะไรมากมาย
แต่ขอบคุณหลาย ๆ คนที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์นะ เพราะผมก็รอดูกระแสตอบรับอยู่เหมือนกัน

คนไทยขาด คิด วิเคราะห์ แยกแยะ กันเยอะครับ
ชอบตามกระแส ไม่มีจุดยืนเป็นของตนเอง

ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันนี้ ผมก้เพิ่งโดนหลอกจากเรื่องฟรีแลนซ์เป็นเรื่องแรกนี่แหละครับ

ก่อนหน้านั้นจะดูเรื่องอะไรก็ช่าง ผมดูรีวิวก่อนตลอด ไม่อยากเสียเงินฟรี ๆ ถามพี่มั่ง ถามเพื่อนมั่ง ถ้ามันดีผมก็ไป ถ้าเรตติ่้งไม่ดี ก็ไม่ไป..

แต่บังเอิญวันนั้นเสือกว่างช่วงเช้าพอดี เลยได้ไปดูวันแรก - รอบแรกเลย ไม่มีรีวิวให้อ่านหรอกครับ มีก้แต่พวกนักรีวิวที่มันเกรงใจเขียนเข้าข้างค่ายหนัง ชมซะดิบดี มีแต่อยากให้ไปดู

ตล้าย ๆ AV ไม่ตรง ปก